จากการศึกษาการบริโภคอาหารและเครื่องดื่มบรรจุกระป๋องภายในประเทศ พบว่า มีการผลิตกระป๋องสำหรับบรรจุอาหารและเครื่องดื่มประมาณ 14,700 ล้านกระป๋องต่อปี โดยแบ่งเป็น การผลิตอาหารและเครื่องดื่มกระป๋องที่ส่งออก 11,000 ล้านกระป๋องต่อปี และจำหน่ายในประเทศ 3,700 ล้านกระป๋องต่อปี แสดงว่า อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มกระป๋องยังพึ่งพาการส่งออกมากกว่าการบริโภคในประเทศ และจากการวิเคราะห์แลกเกอร์เคลือบกระป๋องโดยใช้เทคนิค <-span>Fourier Transform Infared Spectroscopy หรือ <-span>FTIR พบว่า กระป๋องทุกชนิด ตรวจพบ <-span>BADGE 0.0029-0.8063 <-span>mg-kg และ <-span>BPA 0.0002-0.1088 mg-kg ซึ่งต่ำกว่าค่าที่สหภาพยุโรปกำหนด คือ ไมเกรชันจำเพาะรวมของ <-span>Hydrolysis BADGE ต้องไม่เกิน 9 <-span>mg-kg, Chlorohydroxy BADGE ต้องไม่เกิน 1 <-span>mg-kg และ ไมเกรชันจำเพาะของ <-span>BPA ต้องไม่เกิน <-span>6 mg-kg แสดงให้เห็นว่า กระป๋องเคลือบแลกเกอร์ผลิตในประเทศไทยที่ใช้สำหรับบรรจุอาหารและเครื่องดื่มเป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยของสหภาพยุโรป แต่อาหารทะเลบางตัวอย่างเช่น แมคเคอเรลในซอสมะเขือเทศ มีความเข้มข้นของ <-span>BPA สูงกว่า 0.01 <-span>mg-kg อาจทำให้มีปัญหาเมื่อจะส่งออกสินค้าดังกล่าวไปจำหน่ายที่ประเทศญี่ปุ่น เนื่องจากสมาคมผู้ผลิตกระป๋องในประเทศญี่ปุ่นกำหนดค่าไมเกรชันของ <-span>BPA ต้องไม่เกิน 0.01 <-span>mg-kg ในอาหาร และไม่เกิน 0.005 <-span>mg-kg ในเครื่องดื่ม<-o-p><-span><-span><-p>

          ประโยชน์ที่ได้รับจากโครงการนี้คือ ได้ข้อมูล องค์ความรู้ ความเชี่ยวชาญในการตรวจสอบไมเกรชันรวมถึงการประเมินการได้รับสัมผัสสาร <-span>BPA และ <-span>BADGE จากอาหารและเครื่องดื่มกระป๋อง ซึ่งหน่วยงานของรัฐสามารถนำไปพิจารณาในการกำกับดูแลความปลอดภัยของอาหารและวัสดุสัมผัสอาหาร อีกทั้งใช้ในการวางแผนนโยบายเชิงรุกให้ประเทศไทยเป็นผู้นำในการกำหนดมาตรฐานด้านความปลอดภัยภาชนะบรรจุอาหารสำหรับประเทศสมาชิกในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในอนาคต และภาคอุตสาหกรรมได้มีข้อมูลสำหรับการพัฒนาคุณภาพสินค้า การเจรจาการค้าและเตรียมความพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบของประเทศคู่ค้า<-o-p><-span><-span><-p>