สืบค้นงานวิจัย
การวิเคราะห์ทางโปรติโอมิกส์เพื่อค้นหาโปรตีนตัวบ่งชี้สำหรับลักษณะต้านทานโรค แอนแทรคโนสในหน้าวัว
นายณัฐพงษ์ ศรีสมุทร - มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตกาฬสินธุ์
ชื่อเรื่อง: การวิเคราะห์ทางโปรติโอมิกส์เพื่อค้นหาโปรตีนตัวบ่งชี้สำหรับลักษณะต้านทานโรค แอนแทรคโนสในหน้าวัว
ชื่อเรื่อง (EN): Identification of Protein Markers for Anthracnose Resistant Trait in Anthurium Using Proteomics Analysis
ผู้แต่ง / หัวหน้าโครงการ: นายณัฐพงษ์ ศรีสมุทร
บทคัดย่อ: หน้าวัว จัดเป็นไม้เศรษฐกิจชนิดหนึ่ง จานรองดอกมีสีสันสวยงามสะดุดตา ก้านดอกยาวและแข็งแรง มีอายุการใช้งานนานกว่า 10 วัน เป็นที่นิยมของตลาดทั้ง ในและต่าง ประเทศแต่ปัญหาที่สำคัญของการปลูกหน้าวัว คือ ปัญหาจากโรคพืช ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโรคที่มีสาเหตุมาจากเชื้อรา โดยเฉพาะโรคแอนแทรคโนส (Anthracnose) ที่เกิดจา กเชื้อราสกุล Colletotrichum ซึ่งส่งผลให้ผลผลิตหน้าวัวลดลง ดัง นั้นการศึกษาในครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อคัดแยกเชื้อรา สาเหตุโรคแอนแทรคโนสในหน้าวัวและ ค้นห าโปรตีนบ่งชี้ที่เกี่ยวข้องกับความต้านทานต่อโรคโดยการวิเคราะห์ทางโปรติโอมิกส์ อย่างไรก็ตามงานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยต่อเนื่อง ซึ่งในปีที่ 1 นี้ จะเป็นการแยกเชื้อรา สาเหตุ โ รค จากต้นหน้าวัวที่แสดงอาการของโรคแอนแทรคโนสด้วยวิธี Tissue transplanting โดยพบว่า เชื้อรา ไอโซเลทที่ 4 ( F4) มีโคโลนีสีขาวถึงสีชมพูอ่อนและ สปอร์ มีรูปร่างทรงกระบอกปลายเรียว ที่คาดว่าน่าจะเป็นลักษณะสปอร์ของเชื้อราสกุลColletotrichum จากนั้นเมื่อนำเชื้อรา F4 ที่แยกด้ไปพิสูจน์โรคด้วย วิธี Koch's postulates พบว่า ต้นหน้าวัวที่ได้รับการฉีดพ่น สารละลายสปอร์ แสดงอาการของโรคแอนแทรคโนสในวันที่ 6 และในสัปดาห์ที่ 4 สามารถประเมินระดับความรุนแรงของโรคได้ในระดับที่ 1 คือมีการเกิดลักษณะอาการของโรคแอนแทรคโนส 1 - 20% ของพื้นที่ใบ นอกจากนั้นจากการตรวจสอบสายพันธุ์ เชื้อราด้วยวีธีทางอณูชีววิทยา โดย ก ารหาลำดับเบสบริเวณ ITS ด้วยเทคนิคพีซีอาร์ แล้วนำมา เปรียบเทียบกับข้อมูล ลำดับเบสที่มีอยู่ ในฐานข้อมูลของ NCBI สามารถสรุปได้ว่า เชื้อรา F4 ที่แยกได้เป็น C. gloeosporioides คำสำคัญ: โรคแอนแทรคโนส, หน้าวัว, เชื ้ อราสกุ ล Colletotrichum, สมมติฐานของค็อด Anthurium (flamingo flower) is an economic plant that produces beautifully coloured spathe and a tail like spike, long stalk and strength. Vase life of a cut flower is 10 days or more. It is popular in both domestic and international markets. Nevertheless t he most important planting problem i s fungal diseases . Anthracnose which caused by Colletotrichum is a plant disease that result in poor productivity of Anthurium. Therefore, the aims of this study are isolation of fungal causing anthracnose disease and identification of proteins which cause anthracnose resistant in Anthurium using proteomics analysis. However, this research is the first year experiment. The samples of Anthurium that showed symptoms of anthracnose were collected for isolation of fungal pathogen by tissue transplanting method. The result shown that fungal isolate no.4 (F4) was white to pink colonies and fusiform conidia. Hence, they were expected as spores of Colletotrichum. Pathogenicity test of fungal F4 was performed by inoculation the plants with spore suspension. After inoculation, Anthurium exhibited anthracnose symptoms at day 6. The severity of symptoms were level 1 (1 -20% of leaf area) at week 4. The internal transcribed spacer (ITS) region of the fungal F4 was amplified by using PCR assay. The deduced nucleotide sequence was compared to NCBI nucleotide databases. Therefore, it can conclude that fungal isolate no.4 is C. gloeosporioides . Keywords : anthracnose, Anthurium, Colletotrichum, Koch's postulates
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เผยแพร่โดย: มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตกาฬสินธุ์
คำสำคัญ: การวิเคราะห์ทางโปรติโอมิกส์เพื่อค้นหาโปรตีนตัวบ่งชี้สำหรับลักษณะต้านทานโรค แอนแทรคโนสในหน้าวัวIdentification of Protein Markers for Anthracnose Resistant Trait in Anthurium Using Proteomics Analysis
เจ้าของลิขสิทธิ์: มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล อีสาน
รายละเอียด: หน้าวัว จัดเป็นไม้เศรษฐกิจชนิดหนึ่ง จานรองดอกมีสีสันสวยงามสะดุดตา ก้านดอกยาวและแข็งแรง มีอายุการใช้งานนานกว่า 10 วัน เป็นที่นิยมของตลาดทั้ง ในและต่าง ประเทศแต่ปัญหาที่สำคัญของการปลูกหน้าวัว คือ ปัญหาจากโรคพืช ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโรคที่มีสาเหตุมาจากเชื้อรา โดยเฉพาะโรคแอนแทรคโนส (Anthracnose) ที่เกิดจา กเชื้อราสกุล Colletotrichum ซึ่งส่งผลให้ผลผลิตหน้าวัวลดลง ดัง นั้นการศึกษาในครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อคัดแยกเชื้อรา สาเหตุโรคแอนแทรคโนสในหน้าวัวและ ค้นห าโปรตีนบ่งชี้ที่เกี่ยวข้องกับความต้านทานต่อโรคโดยการวิเคราะห์ทางโปรติโอมิกส์ อย่างไรก็ตามงานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยต่อเนื่อง ซึ่งในปีที่ 1 นี้ จะเป็นการแยกเชื้อรา สาเหตุ โ รค จากต้นหน้าวัวที่แสดงอาการของโรคแอนแทรคโนสด้วยวิธี Tissue transplanting โดยพบว่า เชื้อรา ไอโซเลทที่ 4 ( F4) มีโคโลนีสีขาวถึงสีชมพูอ่อนและ สปอร์ มีรูปร่างทรงกระบอกปลายเรียว ที่คาดว่าน่าจะเป็นลักษณะสปอร์ของเชื้อราสกุลColletotrichum จากนั้นเมื่อนำเชื้อรา F4 ที่แยกด้ไปพิสูจน์โรคด้วย วิธี Koch's postulates พบว่า ต้นหน้าวัวที่ได้รับการฉีดพ่น สารละลายสปอร์ แสดงอาการของโรคแอนแทรคโนสในวันที่ 6 และในสัปดาห์ที่ 4 สามารถประเมินระดับความรุนแรงของโรคได้ในระดับที่ 1 คือมีการเกิดลักษณะอาการของโรคแอนแทรคโนส 1 - 20% ของพื้นที่ใบ นอกจากนั้นจากการตรวจสอบสายพันธุ์ เชื้อราด้วยวีธีทางอณูชีววิทยา โดย ก ารหาลำดับเบสบริเวณ ITS ด้วยเทคนิคพีซีอาร์ แล้วนำมา เปรียบเทียบกับข้อมูล ลำดับเบสที่มีอยู่ ในฐานข้อมูลของ NCBI สามารถสรุปได้ว่า เชื้อรา F4 ที่แยกได้เป็น C. gloeosporioides คำสำคัญ: โรคแอนแทรคโนส, หน้าวัว, เชื ้ อราสกุ ล Colletotrichum, สมมติฐานของค็อด Anthurium (flamingo flower) is an economic plant that produces beautifully coloured spathe and a tail like spike, long stalk and strength. Vase life of a cut flower is 10 days or more. It is popular in both domestic and international markets. Nevertheless t he most important planting problem i s fungal diseases . Anthracnose which caused by Colletotrichum is a plant disease that result in poor productivity of Anthurium. Therefore, the aims of this study are isolation of fungal causing anthracnose disease and identification of proteins which cause anthracnose resistant in Anthurium using proteomics analysis. However, this research is the first year experiment. The samples of Anthurium that showed symptoms of anthracnose were collected for isolation of fungal pathogen by tissue transplanting method. The result shown that fungal isolate no.4 (F4) was white to pink colonies and fusiform conidia. Hence, they were expected as spores of Colletotrichum. Pathogenicity test of fungal F4 was performed by inoculation the plants with spore suspension. After inoculation, Anthurium exhibited anthracnose symptoms at day 6. The severity of symptoms were level 1 (1 -20% of leaf area) at week 4. The internal transcribed spacer (ITS) region of the fungal F4 was amplified by using PCR assay. The deduced nucleotide sequence was compared to NCBI nucleotide databases. Therefore, it can conclude that fungal isolate no.4 is C. gloeosporioides . Keywords : anthracnose, Anthurium, Colletotrichum, Koch's postulates
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
การวิเคราะห์ทางโปรติโอมิกส์เพื่อค้นหาโปรตีนตัวบ่งชี้สำหรับลักษณะต้านทานโรค แอนแทรคโนสในหน้าวัว
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตกาฬสินธุ์
2557
การศึกษาโรคของตำลึง บัวบก และผำ โครงการศึกษารูปแบบ และออกแบบบรรจุภัณฑ์หัตถกรรมโลหะดุลลายบ้านวัวลาย เชียงใหม่ ลักษณะทางพันธุกรรมของยีนที่เกี่ยวข้องกับความต้านทานโรคแอนแทรคโนส ในหน้าวัว ประสิทธิภาพของวัคซีนป้องกันโรควิบริโอซีสชนิดเชื้อตาย ต่ออัตรารอดของกุ้งกุลาดำ (Penaeus monodon) ที่อายุต่างๆ กัน การวิเคราะห์หาปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์อิสระในน้ำแม่น้ำเลย การทดลองรักษาโรค Eperythrozoonosis ในสุกรที่แสดงอาการทางคลีนิคด้วยยา Imidocarb โรคกบนาจากฟาร์มเลี้ยงในพื้นที่ภาคใต้ของประเทศไทย ความสัมพันธ์ระหว่าง Macrophomina phasseol และMeloidogyne janvaica ต่อโรคโคเน่าดำของถั่วเขียว : รายงานผลงานวิจัยสถาบันเทคโนโลยีการเกษตรแม่โจ้ รายงานการวิจัยเรื่องการศึกษาหาปริมาณโปรตีนในผักพื้นบ้านเขตทุ่งกุลาร้องไห้ จังหวัดยโสธร การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างโปรตีนก่อความรุนแรงของแคนดิดา อัลบิแคนส์ กับอาการแสดงทางคลินิกของรอยโรคไลเคน แพลนัสชนิดต่างๆ
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก