สืบค้นงานวิจัย
การประเมินภาวะเสี่ยงด้านอุทกภัยและความแห้งแล้งเพื่อบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการ ในพื้นที่อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่
ระพงษ์ เตชะ - มหาวิทยาลัยแม่โจ้
ชื่อเรื่อง: การประเมินภาวะเสี่ยงด้านอุทกภัยและความแห้งแล้งเพื่อบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการ ในพื้นที่อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่
ชื่อเรื่อง (EN): Flood and Drought Risk Assessment for Integrated Water Management of SanSai District, Chiang Mai Province.
บทคัดย่อ: แม่ออนเป็นลุ่มน้ำตัวแทนที่สามารถใช้อธิบายสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของลุ่มน้ำขนาดเล็กที่อยู่ ซึ่งอยู่ภายใต้เขตอิทธิพลของการขยายตัวเมืองรอบแอ่งเชียงใหม่ ที่ปรากฏภาพสวนทางกันอย่างเด่นชัดระหว่าง ฝ่าย consumptive users หรือกลุ่มผู้ลงทุนภาคพาณิชย์ และ productive users หรือชุมชนดั้งเดิมและกลุ่มเกษตรกร ยิ่งไปกว่านั้นภาวะแห้งแล้งและภาวะน้ำท่วมภาวะแห้งแล้งและภาวะน้ำท่วมขยายพื้นที่และระดับความรุนแรงมากขึ้น มิใช่เพียงเพราะปัจจัยทางธรรมชาติ แต่เพราะความต้องการใช้น้ำมากขึ้นทั้งอุปโภค บริโภคและภาคธุรกิจ ทั้งจากชุมชนเมืองและกลุ่มผู้มีส่วนได้ คือภาคธุรกิจทั้งอสังหาริมทรัพย์ สนามกอล์ฟและอุตสาหกรรมขนาดเล็ก ผสานกับการใช้ทรัพยากรมากเกินความสามารถของธรรมชาติ กลายเป็นปัญหาเรื้อรังส่งผลกระทบต่อลุ่มน้ำแม่ออนจนยากจะแก้ไขได้ แนวทางการแก้ปัญหาให้สัมฤทธิ์ผลนั้น กลุ่มองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) พื้นที่ลุ่มน้ำ ต้องร่วมกันเป็นเจ้าภาพแสดงความคิด พลังและความตั้งใจ ในการสร้างแผนปฏิบัติการพัฒนาลุ่มน้ำแม่ออนแบบบูรณาการ เพื่อเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนการพัฒนาลุ่มน้ำแม่ ดังนั้นวัตถุประสงค์การวิจัยโครงการนี้ประกอบด้วย 1) สร้างเครือข่ายลุ่มน้ำแม่ออน ร่วมกันระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ในพื้นที่ลุ่มน้ำแม่ออน 2) พัฒนาแผนปฎิบัติการเชิงพื้นที่ เพื่อนำเสนอต่อหน่วยงานกลางที่มีบทบาทหน้าที่บริหารจัดการน้ำ 3) กำหนดข้อบัญญัติท้องถิ่นในการบริหารจัดการน้ำ แหล่งน้ำ เขตการใช้ที่ดินที่ที่อาจสร้างผลกระทบต่อทรัพยากรน้ำ วิธีการวิจัย มีจุดเน้นที่กระบวนการเรียนรู้มากกว่าระเบียบวิธีวิจัยที่เป็นวิทยาศาสตร์ โดยทีมวิจัยพยายามปรับวิธีการให้เข้ากับปัญหา (Adaptive Methodology) ด้วย PAR (Participatory Action Research) การร่วมวิเคราะห์ปัญหา หาทางแก้ร่วมกับกลุ่มประชากรเป้าหมาย ประกอบด้วยตัวแทนชุมชน กลุ่มผู้เกษตรผู้ใช้น้ำ ผู้บริหารระดับท้องถิ่น กระบวนการศึกษา เริ่มจากนำฐานข้อมูลภูมิสารสนเทศรวมทั้งแผนที่มาเป็นเครื่องมือ บอกเล่าอธิบายสถานการณ์ปัญหาภาวะแห้งแล้ง และผลกระทบเชิงพื้นที่แต่ละเขตลุ่มน้ำ จากนั้นหาหลักฐานเชิงประจักษ์อธิบายผลเชื่อมโยงกับเหตุผลทางวิชาการ พร้อมๆ ไปกับการประเมินและกรองเหตุปัจจัยหลัก และหาตัวชี้เป้าการบริหารจัดการลุ่มน้ำ กระบวนการนี้ คณะวิจัยเป็น catalyst ทำหน้าที่ผสมผสานหลักฐานและอธิบายเชื่อมโยงสถานการณ์ปัญหาและตัวแปรการจัดการให้เป็นเรื่องเดียวกัน กระบวนการสุดท้ายคือการใช้ทั้งเวทีชุมชน การเสวนาร่วมกับกลุ่มเป้าหมาย การสำรวจ หาพิกัดและฝึกอบรมเชิงปฎิบัติการเพื่อสร้างแผนพัฒนาลุ่มน้ำแม่ออน และร่างข้อบัญญัติท้องถิ่น ผลการศึกษาพบว่า แต่มิได้มีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา ขณะที่ชุมชนดั้งเดิมและกลุ่มเกษตรกร คือกลุ่มผู้ประสบปัญหา มีความพยายามที่จะร่วมตัวกันเพื่อจัดการลุ่มน้ำแม่ออน จากการเสวนากลุ่มร่วมกับ อปท. กลุ่มผู้ใช้น้ำและชาวบ้าน พบว่ามีความพยายามการแก้ไขปัญหา แต่ขาดการประสานงานเชื่อมโยงกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐเอง กับ อปท. หรือหากมีโครงการมักอยู่ในรูปแบบของโครงการระยะยาว หรือโครงการขนาดใหญ่ ขาดการมีส่วนร่วมของท้องถิ่น ทางออกที่ชุมชนแม่ออนมองเห็นคือ กลุ่มองค์กรท้องถิ่นและหน่วยงานภาครัฐในพื้นที่รวมตัวกันเป็นเครือข่ายจัดการลุ่มน้ำแม่ออนที่ปรากฎเค้าโครงขึ้น จากนั้นจึงร่วมกันสร้างแผนพัฒนาลุ่มน้ำแบบบูรณาการ มีข้อบัญญัติท้องถิ่นกำกับ เพื่อขับเคลื่อนการทำงานและควบคุมการใช้ทรัพยากร ผสานความร่วมมือกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงานภาครัฐในพื้นที่ ประการสำคัญการใช้เครื่องมือขับเคลื่อนการสร้างกลุ่มและแผนพัฒนาลุ่มน้ำ คือฐานข้อมูล และ Guideline ทางวิชาการที่เข้าใจง่ายและชาวบ้านดำเนินการเองได้ง่าย ครอบคลุมทั้งมิติเชิงพื้นที่ กลุ่มผู้ใช้ประโยชน์ผู้เสียประโยชน์ ท้ายสุดคือการบริหารจัดการที่มีผลต่อทรัพยากรต้นทุนน้ำ ทั้งป่าต้นน้ำ ระบบลำน้ำและการจัดการที่ดี ซึ่งการพัฒนาเครือข่ายต้องอาศัยกระบวนการเรียนรู้ร่วมกัน หลายเวที ผสมผสานเทคโนโลยีการแสดงข้อมูลเชิงประจักษ์กับความรู้ท้องถิ่นที่เหมาะสม ข้อค้นพบจากการดำเนินการวิจัย 1) การใช้ฐานข้อมูลเพื่อกรองตัวชี้เป้าสถานการณ์ปัญหาและการจัดการ ผ่านการผสมผสานเทคโนโลยี (เช่น GIS) กับวิธีการจัดการแบบดั้งเดิมระดับท้องถิ่น มาเป็นเครื่องมือใส่ในกระบวนการวิจัยพร้อมๆ กับเรียนรู้วิเคราะห์ประเมินสถานการณ์ร่วมกัน ภายใต้ฐานข้อมูลที่อัพเดตแล้ว จากนั้นนำผลมาใช้เป็นโจทย์ในการวางแผนจัดการลุ่มน้ำ รวมทั้งเครื่องมือในการวางแผนงานกิจกรรมติดตามประเมิน ผลตั้งแต่ระดับชุมชน อปท. ลุ่มน้ำ ซึ่งปรากฎความชัดเจนว่า ข้อมูล/ข้อเท็จจริงที่ยอมรับร่วมกัน (Evidence-based) เป็นกุญแจสำคัญที่นำไปสู่การพัฒนาแผนปฎิบัติการเชิงพื้นที่ ร่วมกับ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และกำหนดข้อบัญญัติท้องถิ่นในการบริหารจัดการน้ำ 2) รูปแบบงานวิจัยด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ในอนาคต ควรเป็นอย่างไร นั้น โจทย์วิจัยกับสถานการณ์ปัญหาจริงในพื้นที่อาจไม่สอดคล้อง หรือโจทย์อาจไม่ทันสมัย เพราะสถานการณ์ อาจเปลี่ยนแปลง ดังนั้นทางออกทางเดียวสำหรับการแก้ปัญหาหรือขับเคลื่อนการพัฒนาที่เป็นรูปธรรมและทันสมัย จากการผลงานวิจัยที่สามารถนำไปสู่การตอบคำถามตามโจทย์และสอดคล้องกับปรากฏการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้นจริง ทัศนะที่นักวิจัยต้องปรับคือ ต้องมีการปรับวิธีคิดหรือแนวคิดใหม่ ดังนั้น (ลดช่องว่างระหว่างโจทย์วิจัย กับ นักวิจัย โจทย์วิจัยกับสถานการณ์ปัญหาจริงในพื้นที่อาจไม่สอดคล้อง หรือโจทย์อาจไม่ทันสมัย เพราะสถานการณ์ อาจเปลี่ยนแปลง จากสถานการณ์ปัญหาที่เกิดขึ้นในพื้นที่ลุ่มน้ำแม่ออน ซึ่งนับวันจะทวีความรุนแรง มีความเชื่อมโยงสลับซับซ้อน และมีความเป็นพลวัตของปัญหาอยู่ในทุกขณะ ส่วนแนวทางในการแก้ไขปัญหาหรือการขับเคลื่อนการพัฒนาที่ผ่านมา ยังขาดประสิทธิภาพและประสิทธิผลเท่าที่ควร ดังนั้นทางออกทางเดียวสำหรับการแก้ปัญหาหรือขับเคลื่อนการพัฒนาที่เป็นรูปธรรมและทันสมัย จากการผลงานวิจัยที่สามารถนำไปสู่การตอบคำถามตามโจทย์และสอดคล้องกับปรากฏการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้นจริง ทัศนะที่นักวิจัยต้องปรับคือ ต้องมีการปรับวิธีคิดหรือแนวคิดใหม่ 1) การจัดการกับปัญหาแบบองค์รวม (Holistic Approach) ได้แก่ ต้องเข้าใจสภาพปัญหาที่เกิดในลุ่มน้ำว่ามีความซับซ้อน (Complex) แตกต่างหลากหลายในแต่ละพื้นที่ (Diversity) และมีความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา (Dynamism) การแก้ปัญหาก็ต้องทำความเข้าใจอย่างเชื่อมโยงก่อน ที่จะหาทางจัดการกับปัญหาเชิงพื้นที่และเหตุปัจจัยอย่างเชื่อมโยง 2) การทำความเข้าใจกับสาเหตุแห่งปัญหาที่เชื่อมโยงจะต้องอาศัยเครื่องมือเดียวเท่านั้นคือ ข้อมูลและข้อเท็จจริง ที่เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ เป็นข้อมูลที่ครอบคลุม สมบูรณ์ ทันสมัยจากภายนอกและภายในลุ่มน้ำ และต้องใช้ข้อมูลข้อเท็จจริงที่ทุกฝ่ายยอมรับ พิสูจน์ได้ว่าจริง มาประเมินสถานการณ์ปัญหา ทาความเข้าใจกับสาเหตุ และผลกระทบที่เกิดขึ้นอย่างเชื่อมโยงเป็นธรรมชาติ โดยใช้ข้อมูลเป็นหลักมาแทนที่การคาดเดาหรือประเมินตามความคิดเห็น ซึ่งไม่ใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ ทำให้ความเข้าใจคาดเคลื่อนจากความเป็นจริง
บทคัดย่อ (EN): Mae On can be a watershed model which is used as explanation of a small watershed change situations around Chiangmai vicinity under the influence of urban expansion which is clearly not consistent between consumptive users and productive users. Moreover, flood and drought circumstances as well as over natural resource exploitation become chronic problems having an effect on Mao On watershed until it is difficult to solve the problem. Regarding a guideline for effective problem solving, the local administrative organizations group must have the coordination in brainstorming for the construction of an action plan to integratory develop Mao On watershed. Therefore, the objectives of the study were to: 1) The local administrative organizations needed to build up Mae On watershed networks ; 2) develop an area action plan in order to propose to the center agency having roles in water management; 3) determine local legislation on the management of water resources , and landuse areas which might have an effect on water resource. This study focused on learning process rather than scientific research method (adaptive methodology) in which participatory action research was employed. The target papulation group comprised farmer water use groups, and LAO (local administrative organizations) including irrigation officers. The study began with the application of geo-information database and maps as tools for explanation of drought and flood risk level including area impacts leach watershed. Then, empirical evidence were found to explain results which connected with academic reasons. Meanwhile, main factors were estimated and screened target indicators on watershed management area found. Regarding this process, the team of researchers as catalysts played roles in the combination of evidence and explained problem situations and management variables. The last process included community venue, target group colloquium, positioning survey, action training for construction of Mae On development plan, and building up local legislations. Results of the study revealed that flood and drought conditions had been expanding and increasing in the hazardousness. This was not depended on the natural factors, but also an increase in needs for water consumption for household and farming , and needs of the business sector, urban community by other stakeholders i.e. real estate, golf course, and small industries. Meanwhile, the traditional community and the farmer groups or those facing the problem tried to form a group to manage Mae On watershed. According to the group colloquium with the local administrative organizations group, water use groups, and local villagers, it was found that they had been trying to solve those worse situation due to gap of coordination between action government agencies and LAOs. In the case of there was a long-term of related projects. , local groups never have an opportunity to participate. Thus, Mae On community perceives that local organizations group and concerned government agencies in the area should be formed themselves as Mae On watershed management networks. Then, they would create an integrated Mae On watershed development plan under the supervision Chiangmai irrigation department. Importantly, database and academic guideline were tools for steering group formation including watershed development plan. In addition, head watershed, water system, and good management relied on mutual learning process together with the combination of technology on empirical evidence presentation and appropriate local wisdom. Based on results of the study, the following were found :1) using database to screen target indicators which indicated problem situations and focused management through the combination of technology (e.g. GIS) with the traditional management method at the local levels as a tool in the study process. This was done together with situation learning and analysis under updated database. After that, obtained results were used for watershed management planning. Evidence-based was an important key leaching the preparation of an area action plan with the LAOs group for determination of local legislation on water management and its related issues. 2) Another topic of the future mode of research problem may not be consistent with the real problem situation or it may be not up-to-date due to change in situations. Currently, problem situations happening in Mae On watershed area are complex, serious, and dynamic but the previous guideline for solving the problems was ineffective. Therefore, an alternative for solving this problem is that the researchers must adapt their concept: 2.1) Management of holistic approach i.e. understanding of complex problem conditions happening in the watershed area, diversity, and dynamism. Besides, problem-solving must be understood before the management of area problems. 2.2) Understanding of causes of the connected problems needs to rely on the only one tool-data and facts as an empirical evidence. The data must cover completeness and up-to-date and recognized by all concerned parties through verification.
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เผยแพร่โดย: มหาวิทยาลัยแม่โจ้
คำสำคัญ: การบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการ
เจ้าของลิขสิทธิ์: สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
การประเมินภาวะเสี่ยงด้านอุทกภัยและความแห้งแล้งเพื่อบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการ ในพื้นที่อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่
ระพงษ์ เตชะ
มหาวิทยาลัยแม่โจ้
30 กันยายน 2559
กระบวนการจัดตั้งกลุ่มเกษตรเศรษกิจพอเพียงตามแนวเกษตรทฤฎีใหม่ใน อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ ความคิดเห็นของเกษตรกรผู้ปลูกถั่วเหลืองต่อการใช้ประโยชน์จากซากถั่วเหลืองในเขตตำบลแม่แฝก อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ การประเมินภาวะเสี่ยงด้านอุทกภัยและความแห้งแล้งเพื่อบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการ ในพื้นที่อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ ปัจจัยบางประการที่มีผลต่อการยอมรับวิทยาการแผนใหม่ในการปลูกถั่วเหลืองของเกษตรกรอำเภอสันปาตอง จังหวัดเชียงใหม่ ภาวะโภชนาการของนักเรียนในเขตเทศบาลนครเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ การประเมินความสามารถการต้านออกซิเดชันในผลไม้พื้นบ้านไทยบางชนิดในจังหวัดเชียงใหม่ กลยุทธ์การบริหารจัดการธุรกิจการท่องเที่ยวโดยชุมชนบนพื้นที่สูงในจังหวัดเชียงใหม่ เส้นทางการเข้าถึงพื้นที่ประสบอุทกภัยจังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยการวิเคราะห์ด้วยระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ การบริหารจัดการป่าชุมชน: กรณีศึกษา บ้านป่าสักงาม ตำบลลวงเหนือ อำเภอดอยละเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ โครงการวิจัยเห็นหลินจือและสปอร์เห็ดหลินจือในโครงการพิเศษสวนเกษตรเมืองงายฯ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก