สืบค้นงานวิจัย
การตรวจสอบความใช้ได้ของเทคนิคเนียร์อินฟราเรดในการทำนายค่าวิเคราะห์ปริมาณอินทรียวัตถุในดินกรณีศึกษา : ปัจจัยด้านปริมาณอนุภาคดินเหนียวของดินในประเทศไทย
สุพรรณิกา ธรรมานนท์ - กรมพัฒนาที่ดิน
ชื่อเรื่อง: การตรวจสอบความใช้ได้ของเทคนิคเนียร์อินฟราเรดในการทำนายค่าวิเคราะห์ปริมาณอินทรียวัตถุในดินกรณีศึกษา : ปัจจัยด้านปริมาณอนุภาคดินเหนียวของดินในประเทศไทย
ชื่อเรื่อง (EN): Method Validation of Near Infrared Technique to Predict Soil Organic Matter Contents Case Study :Factor related to Clay Particle fraction of Thai Soils.
บทคัดย่อ: การตรวจสอบความใช้ได้ของเทคนิคเนียร์อินฟราเรดในการทำนายค่าวิเคราะห์ปริมาณอินทรียวัตถุในดินเมื่อเทียบกับการวิเคราะห์ด้วยวิธีไดโครเมตออกซิเดชันด้วยการแปลงข้อมูลสเปกตรัมเนียร์อินฟราเรดและสร้างสมการคาลิเบรชันด้วย OPUS Quant 2 Software ใช้กลุ่มตัวอย่างดินจากพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศไทย และใช้ปัจจัยด้านปริมาณอนุภาคดินเหนียวเป็นเกณฑ์ในการสร้างสมการวิเคราะห์กลุ่มตัวอย่างดินที่ศึกษาจำนวน 7,433 ตัวอย่างด้วยวิธีการทางเคมี (ไดโครเมตออกซิเดชัน) เปรียบเทียบกับการวิเคราะห์ด้วยเทคนิคเนียร์อินฟราเรดด้วยเทคนิคการสะท้อนกลับแบบแพร่กระจาย ตัวอย่างดินถูกสแกนที่ย่านช่วงคลื่น 4000-9000 cm-1 เก็บสเปกตรัมในรูปของลอการิทึมของการสะท้อน (log (1/R)) ผลการศึกษา พบว่า 1) กลุ่มตัวอย่างดินทั้งหมดที่ไม่มีการแยกปริมาณของอนุภาคดินเหนียว ได้สมการคาลิเบรชันที่มีค่าสัมประสิทธิ์ของการพิจารณา (coefficient of determination, R2) เท่ากับ 57.06, ค่าเฉลี่ยกำลังสองของการสร้างสมการ (Root mean square of the Equation, RMSEE) เท่ากับ 0.666% และ RPD เท่ากับ 1.53% เมื่อตรวจสอบความใช้ได้ของสมการด้วย cross validation ได้สมการ validation ที่มีค่า R2 เท่ากับ 49.67, RMSECV เท่ากับ 0.72%, RPD เท่ากับ 1.41% และ Bias เท่ากับ 0.00355% โดยสมการคาลิเบรชันครอบคลุมปริมาณอินทรียวัตถุ 0.05%-5.60% 2) กลุ่มตัวอย่างที่มีปริมาณอนุภาคดินเหนียว (% clay) น้อยกว่า 20% ได้สมการคาลิเบรชันมีค่า R2 เท่ากับ 72.39, RMSEE เท่ากับ 0.497% และ RPD เท่ากับ 1.90% และสมการ validation มีค่า R2 เท่ากับ 68.49, RMSECV เท่ากับ 0.531%, RPD เท่ากับ 1.78% และ Bias เท่ากับ 0.00351% ครอบคลุมปริมาณอินทรียวัตถุเท่ากับ 0.05%-4.40% 3) กลุ่มตัวอย่างที่มีปริมาณของอนุภาคดินเหนียว 20-40% ได้สมการคาลิเบรชันมีค่า R2 เท่ากับ 75.27, RMSEE เท่ากับ 0.429% และ RPD เท่ากับ 2.01% และสมการ validation มีค่า R2 เท่ากับ 71.30, RMSECV เท่ากับ 0.461%, RPD เท่ากับ 1.87% และ Bias เท่ากับ -0.0092% ครอบคลุมปริมาณอินทรียวัตถุเท่ากับ 0.10%-5.60% 4) กลุ่มตัวอย่างที่มีปริมาณของอนุภาคดินเหนียว 40-60% ได้สมการคาลิเบรชันมีค่า R2 เท่ากับ 76.56, RMSEE เท่ากับ 0.468% และ RPD เท่ากับ 2.07% และสมการ validation ที่มีค่า R2 เท่ากับ 72.16, RMSECV เท่ากับ 0.507%, RPD เท่ากับ 1.9% และ Bias เท่ากับ 0.00673% ครอบคลุมปริมาณอินทรียวัตถุเท่ากับ 0.10%-4.90% 5) กลุ่มตัวอย่างที่มีปริมาณของอนุภาคดินเหนียวมากกว่า 60% ได้สมการคาลิเบรชันมีค่า R2 เท่ากับ 86.14, RMSEE เท่ากับ 0.339% และ RPD เท่ากับ 2.69% และสมการ validation ที่มีค่า R2 เท่ากับ 80.08, RMSECV เท่ากับ 0.397%, RPD เท่ากับ 2.24% และ Bias เท่ากับ -0.0142% ครอบคลุมช่วงปริมาณอินทรียวัตถุเท่ากับ 0.6%-4.8% การตรวจสอบความใช้ได้ของเทคนิคเนียร์อินฟราเรดในการทำนายค่าวิเคราะห์ปริมาณอินทรียวัตถุในดิน โดยใช้กลุ่มตัวอย่าง test set คือกลุ่มตัวอย่างดินเหนียวภาคกลาง และกลุ่มตัวอย่างที่ไม่มีค่าวิเคราะห์ปริมาณอนุภาคดินเหนียว พบว่าให้ผลน่าพอใจ โดยการเลือกใช้สมการให้ตรงตามเงื่อนไข จะให้ประสิทธิภาพการทำนายสูงสุด สำหรับการทดสอบความถูกต้องและแม่นยำ พบว่า สมการสามารถทำนายปริมาณอินทรียวัตถุในดินของตัวอย่างดินควบคุมภายในชุดดินกุลาร้องไห้ (Ki-IRM) และชุดดินลพบุรี (Lb-IRM) ได้ โดยมีค่าเฉลี่ยของการทำนายอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้และมีเปอร์เซ็นต์ความคลาดเคลื่อนต่ำ แต่ตัวอย่างควบคุมภายในชุดดินกุลาร้องไห้ ไม่ผ่านเกณฑ์การทดสอบความเที่ยงตามมาตรฐาน AOAC ในขณะที่ตัวอย่างควบคุมชุดดินลพบุรี ผ่านเกณฑ์การทดสอบความเที่ยงตามมาตรฐาน AOAC ผลการศึกษาพบว่าการวิเคราะห์ปริมาณอินทรียวัตถุในดินด้วยเทคนิคเนียร์อินฟราเรดและวิธีไดโครเมตสามารถใช้ทดแทนหรือร่วมกันได้ในห้องปฎิบัติการ แต่ควรมีการเลือกใช้สมการที่มีการแบ่งแยกเนื้อดิน เนื่องจากให้ค่าการทำนายที่มีความแม่นยำมากกว่าสมการรวมเนื้อดิน และควรศึกษาเพิ่มเติมสำหรับปัจจัยอื่น เพื่อพัฒนาเทคนิคดังกล่าวให้ได้สมการที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น คำสำคัญ ปริมาณอินทรียวัตถุในดิน, ไดโครเมตออกซิเดชัน, เนียร์อินฟราเรด, ปริมาณอนุภาคดินเหนียว, การตรวจสอบความใช้ได้
บทคัดย่อ (EN): Method validation of Near infrared technique compared to Dicromate oxidation method were studied by develop robust calibration models to predict soil organic matter contents over an extended wavelength range from 4000-9000 cm-1 by Diffuse reflection. Spectrum data was calibrated as log (1/R) and calibrations were developped using OPUS Quant 2 Software for all soil samples collected thoughout Thailand (7,433 samples). The results revealed that 1) For all soil samples, the calibration model for soil organic matter contents (0.05%-5.60%) showed coefficient of determination (R2) 57.06, Root mean square of the equation (RMSEE) 0.666% and RPD 1.53%. Cross validation showed R2 49.67, RMSECV 0.72%, RPD 1.41% and Bias 0.00355%. 2) For the soil samples that have % clay 60% cover the range of 0.6%-4.8% OM, calibration model was R2 86.14, RMSEE 0.339% and RPD 2.69% and validation model R2 80.08, RMSECV 0.397%, RPD 2.24% and Bias -0.0142%. The Validation of Near Infrared technique by 2 test sets (clayey soil from central part of Thailand and no clay analyte soil), the results showed good validation for both sets and precise selection the model that fit with the clay content of the samples is recommended for better validation. Validation by the accuracy of the Near Infrared technique to predict OM by 2 soil Internl References (IRM) also showed accept range and low percentage error of prediction. However, the Ki-IRM failed for the precision validate according to AOAC standard in contrast to Lb–IRM. From this study, we concluded that the Near Infrared technique is able to alternate or co-analyte in the laboratory for OM determination. However, to precise select the model that fit with the clay content of the samples is recommended. Further study with difference factors is recommend to improve the quality of the NIR model. Key word:. Soil organic matter content, dichromate oxidation, near infrared technique, clay particle contents, method validation
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เอกสารแนบ: http://dric.nrct.go.th//Search/SearchDetail/292543
เผยแพร่โดย: กรมพัฒนาที่ดิน
คำสำคัญ: อินทรียวัตถุ
เจ้าของลิขสิทธิ์: สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
การตรวจสอบความใช้ได้ของเทคนิคเนียร์อินฟราเรดในการทำนายค่าวิเคราะห์ปริมาณอินทรียวัตถุในดินกรณีศึกษา : ปัจจัยด้านปริมาณอนุภาคดินเหนียวของดินในประเทศไทย
กรมพัฒนาที่ดิน
30 กันยายน 2558
การพัฒนาวิธีการตรวจวิเคราะห์การปลอมปนในข้าวหอมมะลิเปลือกและข้าวหอมมะลิขาวอย่างรวดเร็วด้วยเทคนิคเนียร์อินฟราเรด การประเมินปริมาณอินทรียวัตถุในดินด้วยเทคนิค Near Infared Spectroscopy ชุดตรวจสอบอินทรียวัตถุในดิน : แนวทางการพัฒนาและการใช้ประโยชน์ การพัฒนาวิธี Permanganate Oxidizable Carbon วัดปริมาณอินทรียวัตถุเพื่อประเมินความอุดมสมบูรณ์ของดิน การเพิ่มอินทรียวัตถุและความอุดมสมบูรณ์ของดินนาโดยการไถกลบฟางหลังเก็บเกี่ยวข้าวในดินชุดโคกสำโรงและชุดร้อยเอ็ด อิทธิพลของอินทรียวัตถุต่อความหลากหลายของกลุ่มจุลินทรีย์ในพื้นที่นาข้าวดินเค็ม การประเมินค่าการย่อยได้ของอินทรียวัตถุ และพลังงานที่ใช้ประโยชน์ได้ของอาหารสัตว์โดยวิธี Hohenhien Gas Test (2) วัตถุดิบอาหารสัตว์ การย่อยได้ของอินทรียวัตถุและค่าพลังงานที่วัดโดยวิธี in vitro gas production technique ของฟางข้าวที่หมักด้วยยูเรียและเก็บไว้ที่ระยะเวลาต่างกัน การพัฒนาวิธีการวิเคราะห์ Permanganate Oxidizable Carbon เพื่อใช้ในการวัดปริมาณอินทรียวัตถุในการประเมินความอุดมสมบูรณ์ของดิน สถานะภาพของโลหะหนัก และความสัมพันธ์กับแร่ดินเหนียวของดินในที่ราบภาคกลางของประเทศไทย
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก