สืบค้นงานวิจัย
การตอบสนองและการปรับตัวของข้าวต่อสภาวะแล้ง ดินเค็ม และอุณหภูมิสูง
ปิยะดา ธีระกุลพิศุทธิ์ - สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน)
ชื่อเรื่อง: การตอบสนองและการปรับตัวของข้าวต่อสภาวะแล้ง ดินเค็ม และอุณหภูมิสูง
ชื่อเรื่อง (EN): Responses and adaptations of rice to drought, soil salinity and high temperature
ผู้แต่ง / หัวหน้าโครงการ: ปิยะดา ธีระกุลพิศุทธิ์
หน่วยงานสังกัดผู้แต่ง:
  1. สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ
บทคัดย่อ: การเพาะปลูกข้าวในภาคตะวันออกเฉียงเหนือต้องประสบปัญหาผลผลิตต่ำ เนื่องมาจากภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงและแปรปรวนซึ่งทวีความรุนแรงขึ้นทุกปี โดยเฉพาะปัญหาความแห้งแล้ง ความร้อน และดินเค็มแนวทางการเพิ่มผลผลิตของข้าวคือการปรับปรุงพันธุ์ข้าวให้ทนต่อสภาวะเครียดต่างๆ ซึ่งการศึกษาวิจัยที่นำไปสู่ความเข้าใจในเรื่องการตอบสนองและกลไกการปรับตัวในระดับชีววิทยาโมเลกุล ชีวเคมี และสรีรวิทยาของข้าวต่อสภาวะแล้ง ดินเค็ม และอุณหภูมิสูง เป็นองค์ความรู้ที่สำคัญที่เป็นประโยชน์สำหรับการปรับปรุงพันธุ์ข้าวให้ทนทานต่อสภาวะเครียด แผนงานวิจัยนี้เป็นโครงการต่อเนื่อง 3 ปี ประกอบด้วย 5 โครงการย่อย ซึ่งมีวัตถุประสงค์หลัก 2 ด้าน คือ 1) ด้านการปรับปรุงพันธุ์ ต้องการปรับปรุงพันธุ์ข้าวให้ทนแล้งโดยเทคโนโลยีชีวภาพโดยการชักนำให้เกิดความแปรปรวนของเชลล์พืช และปรับปรุงข้าวเหนียวพันธุ์ กข6 ให้ทนดินเค็มและต้านทานต่อโรคไหม้โดยวิธีผสมกลับและใช้เครื่องหมายโมเลกุลช่วยในการคัดเลือก 2) ด้านการสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับการปรับตัวของข้าวทางด้านสรีรวิทยาและชีวเคมี ต่อสภาวะแห้งแล้ง ดินเค็ม และอุณหภูมิสูง เพื่อเป็นพื้นฐานสำหรับการปรับปรุงพันธุ์ข้าวให้ทนต่อสภาวะการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ รายงานฉบับนี้เป็นรายงานผลการวิจัยในปีที่3 ซึ่งมีความก้าวหน้าดังต่อไปนี้ (1) ด้านการปรับปรุงข้าวเหนียวพันธุ์ กข 6 และข้าวเจ้าหอมพิษณุโลก 1 ให้ทนแล้ง โดยการชักนำให้เกิดความแปรปรวนของเซลล์พืชดำเนินการโดยโครงการย่อยที่ 1 สามารถคัดเลือก somaclone ข้าวพันธุ์ กข 6 ที่ทนแล้งได้ 2 somaclones คือ somaclone ที่ 3 และ somaclone ที่ 5 หลังจากนั้นนำต้นอ่อน ของข้าวของ somaclone ที่ 3 และ somaclone ที่ 5 ที่มีอายุ 4 เดือน ออกจากขวดเพาะเลี้ยงไปปลูกในกระถางในสภาพธรรมชาติ ทำการปรับสภาพต้นข้าวที่เป็น somaclone โดยการรดน้ำปกติเป็นระยะเวลา 1 สัปดาห์ และหลังจากนั้นรดด้วยสารละลาย polyethyeneglycol (PEG) เข้มข้น 29 สัปดาห์ละครั้ง เป็นเวลา 6 เดือน จนได้เมล็ดรุ่น S1 นำเมล็ดข้าว somaclone (S1) ที่ 3 และ somaclone (S1) ที่ 5 มาเพาะเลี้ยงบนอาหารสูตรสังเคราะห์ NN เพื่อชักนำเมล็ดข้าวให้เจริญเป็นต้นใหม่ และจากการตรวจสอบความแตกต่างของดีเอ็นเอ โดยใช้เทคนิค Random Amplification of Polymorphic DNA (RAPD) พบว่า somaclones (S1) ทั้งสอง แตกต่างจากกลุ่มควบคุมที่เพาะเลี้ยงในสภาพธรรมชาติ และกลุ่มควบคุมที่เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ สำหรับข้าวเจ้าหอมพิษณุโลก 1 สามารถคัดเลือก somaclone ได้ 1 somaclone ที่ทนต่อสภาพแล้ง เมื่อเลี้ยงในอาหาร Mร ที่มี PEG 1.5% และนำต้นอ่อนของข้าวที่เป็น somaclone ที่มีอายุ 4 เดือน ออกจากขวดเพาะเลี้ยงไปปลูกในกระถางในสภาพธรรมชาติ ทำการปรับสภาพต้นข้าวที่เป็น somaclone โดยการรดน้ำปกติเป็นระยะเวลา 1 สัปดาห์ และหลังจากนั้นรดน้ำที่มี PEG ความเข้มข้น 1.5% อาทิตย์ละ 1 ครั้งเป็นเวลา 6 เดือน จนได้เมล็ดข้าวเจ้าหอมพิษณุโลก 1 somaclone รุ่น S1 หลังจากนั้นนำเมล็ดข้าวมาเพาะเลี้ยงบนอาหารสูตรสังเคราะห์ MS ที่ไม่เติม ฮอร์โมน เพื่อชักนำให้เมล็ดข้าวเจริญเป็นต้นใหม่ และเมื่อทำการตรวจสอบความแตกต่างของดีเอ็นเอโดยใช้เทคนิค RAPD พบว่า DNA ของ somaclone (5S1) แตกต่างจากกลุ่มควบคุมที่เพาะเลี้ยงในสภาพธรรมชาติ และ กลุ่มควบคุมที่เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ (2) ด้านการปรับปรุงข้าวพันธุ์ กข6 ให้ทนเค็มและต้านทานโรคไหม้โดยวิธีผสมกลับดำเนินการโดยโครงการย่อยที่ 5 ได้ทำการพัฒนาประชากรคู่ผสม RD6(NIL)9BL x Pokkali โดยวิธีผสมกลับและใช้เครื่องหมายโมเลกุลช่วยในการคัดเลือกลักษณะความทนเค็มทางพันธุกรรมที่เป็น homozygous และความต้านทานต่อโรคไหม้ คัดเลือกได้ประชากรชั่วรุ่น BC. F23 ได้จำนวน 32 สายพันธุ์นำมาคัดเลือกลักษณะทนเค็มในระยะกล้าพบว่าทุกสายพันธุ์มีความทนเค็มอยู่ในระดับทนทานปานกลาง ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกันกับพันธุ์เปรียบเทียบทนเค็ม (พันธุ์ Pokkali) นำทั้ง 32 สายพันธุ์ไปประเมินความต้านทานต่อโรคไหม้โดยวิธี Upland short row wuว่าทุกสายพันธุ์มีความต้านทานโรคได้ดี เช่นเดียวกับพันธุ์เปรียบเทียบต้านทาน (เจ้าหอมนิล P0489และ HY71) เมื่อนำสายพันธุ์ดังกล่าวไปคัดเลือกลักษณะคุณภาพเมล็ดทงกายภาพและเคมีพบว่า สามารถคัดเลือกสายพันธุ์ข้าวที่มีขนาดเมล็ดยาวและรูปร่างเรียวใกล้เคียงกับพันธุ์ กข6 ได้จำนวน 25 สายพันธุ์ สายพันธุ์ดังกล่าวนี้จะนำไปพัฒนาต่อในโครงการวิจัยข้าวทนเค็มในระยะต่อไป ในด้านการสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับกลไกการตอบสนองต่อสภาวะเครียดดำเนินการโดยโครงการอยที่ 2, 3 และ 4 ได้ผลการศึกษาดังนี้ (3) โครงการย่อยที่ 2 ศึกษาผลของโพลิเอมีนต่อการทนแล้งของข้าวพันธุ์ขาวดอกมะลิ 105 และพันธุ์ กข6 ในระยะสืบพันธุ์ โดยปลูกในแปลงนาทดลองที่ตำบลท่าพระ จังหวัดขอนแก่น ใน 2 ฤดูปลูก คือ ในปี 2557 และ 2558 ปลูกข้าวจนถึงอายุ 60 วัน สูบน้ำออก แล้วฉีดพ่นต้นข้าวด้วยสารละลายโพลิเอมีน 3 ชนิด คือ สเปอร์มีน สเปอร์มิดีน และพุเทรสซีนเข้มข้น 50 ไมโครโมลาร์ เป็นเวลา 3 วันติดต่อกัน แล้วปล่อยให้ข้าวอยู่ในสภาวะแล้งจนถึงระยะเก็บเกี่ยว พบว่าสภาวะแล้งไม่ส่งผลต่อความสูงของต้นและจำนวนต้นต่อกอ ในขณะที่สารโพลิเอมีนไม่มีผลต่อความสูงของต้นและจำนวนต้นต่อกอ ในส่วนของผลผลิต พบว่า สภาวะแล้งส่งผลให้จำนวนเมล็ดดีต่อรวงและน้ำหนักเมล็ดดีต่อรวงลดลง แต่น้ำหนักเมล็ดเสียต่อรวงเพิ่มสูงขึ้น สารโพลิเอมีนทั้งสามชนิดช่วยลดผลกระทบจากสภาวะแล้ง โดยส่งผลให้จำนวนเมล็ดดีต่อรวงและน้ำหนักเมล็ดดีต่อรวงเพิ่มขึ้น และทำให้น้ำหนักเมล็ดเสียต่อรวงลดลง ในขณะที่น้ำหนักเมล็ดดี 100 เมล็ดมีค่าไม่แตกต่างกันในทุกกลุ่มทดลอง ทั้งนี้ สเปอร์มีน เป็นสารที่มีประสิทธิภาพในการทำให้ข้าวทั้งสองพันธุ์ที่อยู่ในสภาวะแล้งมีผลผลิตดีขึ้ โพลิเอมีนที่มีประสิทธิภาพรองลงมาคือ สเปอร์มิดีน ส่วนเทรสซิน แม้ว่าจะส่งผลให้ข้าวในระยะต้นกล้ามีความสามารถในการทนต่อสภาวะแล้งได้ดีขึ้น แต่ในระยะสืบพันธุ์กลับพบว่า พุเทรสชินไม่มีผลต่อผลผลิตของข้าว และยังทำให้ผลผลิตของข้าวลดลงอีกด้วย (4) โครงการย่อยที่ 3ศึกษาผลผลิตของข้าวในสภาพนาดินเค็มและนาแล้งในจังหวัดขอนแก่น ใช้ข้าวในการศึกษา 2 กลุ่ม กลุ่มแรกเป็นสายพันธุ์ข้าวขาวดอกมะลิ 105 ที่ได้รับการถ่ายทอด QTL ควบคุมลักษณะทนแล้งจากโครโมโซมที่ 8 ของข้าวทนแล้งสายพันธุ์ DH103 (CSSL DTQTL8) กลุ่มที่ 2 เป็นข้าวสีพื้นเมือง พันธุ์ข้าวที่ใช้ในการทดลองในปีนี้ได้คัดเลือกมาจากปีที่ 1 เป็นพันธุ์ที่ตอบสนองต่อความเค็มและแล้งแตกต่างกันเป็น 4 แบบ คือ ทนทั้งเค็มและแล้ง ทนเค็มไม่ทนแล้ง ทนแล้งไม่ทนเค็ม และอ่อนแอต่อทั้งความแล้งและเค็ม ทำการศึกษาเปรียบเทียบกับพันธุ์ทนเค็มมาตรฐาน(พอคคาลี) และทนแล้งมาตรฐาน (DH103 ทำการปลูกเพื่อประเมินผลผลิตเป็นเวลา 2 ปี คือ ฤดูปลูกปี 2557และปี 2558 แปลงดินเค็มมี 3 แปลง คือ บ้านหนองกอย 1 บ้านหนองกอย 2 และแปลงพระยืน ซึ่งมีระดับความเค็มน้อย ปานกลาง และมากตามลำดับ ส่วนแปลงทดสอบแล้งทำการศึกษาที่ตำบลท่พระ พบว่า พันธุ์ข้าวที่ทนสภาพเครียดค็มและแล้งในระยะต้นอ่อนจะทนสภาพเครียดได้ดีในระยะสืบพันธุ์ และการสร้างผลผลิตในสภาพนาดินเค็มและนาแล้งให้ผลสอดคล้องกับผลการศึกษาผลผลิตในโรงเรือนในโครงการปีที่ 2 ด้วย สายพันธุ์ข้าว CSSL ที่ให้ลักษณะทางผลผลิตดีกว่าข้าวขาวดอกมะลิ 105 ในสภาพนาดินเค็ม ได้แก่ CSSL-94 CSSL-103 และ CSSL106ส่วนในสภาพแล้ง ได้แก่ CSSL-94 CSSL-103 และ CSSL-105 ส่วนข้าวพื้นเมืองพันธุ์ LLR081 ให้ผลผลิตได้ดีที่สุดทั้งในสภาพนาดินเค็มและนาแล้ง สายพันธุ์เหล่านี้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการปรับปรุงพันธุ์ข้าวต่อไป (5)สำหรับโครงการย่อยที่ 4 เป็นโครงการที่ดำเนินการสิ้นสุดในปีที่ 2 ซึ่งพบว่าข้าวมีกลไกทางชีวเคมีในการต้านอนุมูลอิสระซึ่งเกิดในสภาพที่ได้รับความเครียดจากอุณหภูมิสูง ซึ่งสามารถใช้เป็นพื้นฐานในการคัดเลือกข้าวทนร้อนต่อไป กล่าวโดยสรุปแผนงานวิจัยนี้ได้ผลผลิต (output) ดังนี้ (1) ได้ somaclone ของข้าวพันธุ์ กข6 จำนวน 2 โคลน และข้าวเจ้าหอมพิษณุโลก 1 จำนวน 1 โคลน ซึ่งมีความสามารถทนแล้ง และมีศักยภาพที่จะพัฒนาเป็นสายพันธุ์ทนแล้งต่อไป (2) สายพันธุ์คล้ายข้าว กข6 ที่ทนดินเค็มและต้านทานโรคไหม้ ชั่วรุ่น BC.F2 จำนวน 32 สายพันธุ์ (3) วิธีการเพิ่มความทนแล้งของข้าวในระยะต้นอ่อนและระยะสืบพันธุ์ โดยการฉีดพ่นด้วยสารควบคุมการเจริญกลุ่มโพลิเอมีน (4) คัดเลือกได้สายพันธุ์ข้าวขาวดอกมะลิ 105 ที่ได้รับการถ่ายทอด QTL ควบคุมลักษณะทนแล้งจากโครโมโชมที่ 8 ของข้าวทนแล้งสายพันธุ์ DH103 (CSSL) จำนวน 3 สายพันธุ์ที่ทนทั้งเค็มและแล้ง ซึ่งมีศักยภาพที่นำไปปรับปรุงให้เป็นพันธุ์ที่ทนทั้งความเค็มและความแล้งต่อไป และ (5) องค์ความรู้เกี่ยวกับลักษณะ ทางสรีรวิทยาและชีวเคมีที่มีประโยชน์ในการใช้เป็นลักษณะในการคัดเลือกพันธุ์ข้าวทนเค็ม ทนแล้ง และทนความร้อน
บทคัดย่อ (EN): Rice production in the northeast Thailand is severely affected by climate change particularly drought, soil salinity and high temperature which are becoming more severe and unpredictable. Rice productivity can be improved by genetic improvement of rice using conventional breeding or through biotechnology. This research program is a 3-year project comprising 5 subprojects with the objectives of obtaining both improved rice cultivars and gaining a better understanding of responses and adaptation of rice to drought, salinity and high temperature which can be further exploited by rice breeders to improve their breeding strategies. As for the genetic improvement, the aims were to obtain (1) drought-tolerant lines of rice cvs. RD6 and Khao Jow Hawm Phitsanulok 1 through somaclonal variation, and (2) improved lines of rice cv. RD6 with increased tolerance to salinity and resistance to blast using backcross breeding and marker-assisted selection (MAS). The results from the third year of the project are summarized as follows: (1) In order to obtain drought-tolerant somaclones of rice cvs. RD6 and Khao Jow Hawm Phitsanulok 1, experiments were performed, in the sub-project No. 1, to regenerate somaclones from selection of drought-tolerant calli which survived several rounds of culturing in the growth media containing osmotica to induce somaclonal variation. Two drought-selected somaclones of RD6 (somaclone no. 3 and no. 5) were finally obtained which were transferred from tissue culture system and allowed to grow in a greenhouse under continued drought stress treatments by watering weekly with 2% polyethyleneglycol (PEG) until they produced some seeds. The seeds of S1 generation of both somaclones were germinated and grown in culture media to obtain seedlings for an evaluation of genetic variation by randomly amplified polymorphic DNA (RAPD). Both somaclones expressed different fingerprint patterns and high level of genetic distance from that of normal RD6 and RD6 plants regenerated from tissue culture under non-inducible condition. One somaclone of Khao Jow Hawm Phitsanulok 1 was obtained and treated similarly. Seedlings grown from seeds of S1 generation of Khao Jow Hawm Phitsanulok 1 were used for DNA extraction and RAPD analysis. The DNA fingerprints and genetic distance of the S1 somaclone of Khao Jow Hawm Phitsanulok 1 were also diverged from those of normal Khao Jow Hawm Phitsanulok 1 and Khao Jow Hawm Phitsanulok 1 derived from tissue culture under non-inducible condition. (2) Backcross breeding for improvement of RD6 was performed in sub-project No. 5. Near-isogenic lines (NIRs) of RD6 which have been introgressed with blast resistance genes on chromosomes 1, 2, 11 and 12 were used as recurrent parent and Pokkali (a donor for salt tolerance gene) as male parent. Backcross breeding and MAS has been advanced to obtain 32 lines of BC3F2:3 which carried all markers for blast resistance, salt tolerance, fragrance and amylose content. Salt screening revealed that all 32 lines obtained the same level of salt tolerance as the standard salt tolerant cultivar, Pokkali. Moreover, screening of blast resistance by Upland Short Row method showed that all 32 lines were resistant to blast at the same level as the resistant standard cultivars (Chao Hom Nil P0489 and HY71). From the evaluation of grain physical and chemical properties, 25 lines had grain size and shape similar to RD6 and had good cooking qualities. Therefore, these 25 BC3F2:3 lines will be developed further into more advanced generation in the future. (3) The objectives of subproject No. 2 were to investigate the effects of polyamine on alleviation of negative effects of drought stress on yield and yield components of KDML 105 and RD6 under field conditions. The experiment was performed in a rice field at Tumbon Tha Phra in Khon Kaen province for 2 years (2014 and 2015). Rice was grown normally until 60 days old. The water was then completely drained off and the plants were sprayed with 50 µM spermine, spermidine, putrescine or water for 3 days in the row. After that the plants were allowed to develop under water stress conditions until harvest whereas a control set of plants were allowed to continue growing without water stress. The results showed that neither drought nor polyamine had any effects on plant height and tiller number per hill. Drought significantly lowered the number filled grains per panicle and filled grain weight per panicle, but increased the unfilled grain weight per panicle. Application of polyamine alleviated the negative effects of drought by significantly raising the number of filled grain per panicle and filled grain weight per panicle, and reduced unfilled grain weight per panicle. Spermine was the most effective type of polyamine, followed by spermidine, which helped raise the yields of both rice cultivars under drought stress. Putrescine, on the other hand, was effective at the seedling stage but had no promotive effects at the reproductive stage. (4) The objective of sub-project No. 3 was to evaluate productivity under saline and drought fields of rice cultivars differing in their salt and drought tolerance characteristics. Two sets of rice were used in this study. The first set consisted of 8 CSSL lines of KDML 105 which have been introgressed with drought-tolerant QTL from chromosome 8 of a drought-resistant parent (DH103). The second group consisted of 8 lines of local pigmented rice. These lines were selected from previous years to represent 4 types of responses i.e. tolerant to both salt and drought stress, tolerant to salt but not drought, tolerant to drought but not salt, and sensitive to both stresses. The two groups of rice were evaluated for two years (during rice growing season of the years 2014 and 2015) in three saline fields (Nong Koi 1, Nong Koi 2 and Phra Yeun; in the order of slightly, moderately and highly saline), one drought and one control field (in Tumbon Tha Phra) in Khon Kaen province. Two standard cultivars i.e. Pokkali for salt tolerance and DH103 for drought tolerance were included in all trials. The results showed that cultivars that were tolerant to salt and drought stress at the seedling stage and the reproductive stage in greenhouse experiments in the previous years were also tolerant to both stresses in the fields. The lines CSSL-94 and CSSL-103 gave higher yields than KDML 105 in both saline and drought fields, whereas CSSL-103 was better than KDML 105 in the drought field only. For the local pigmented rice, LLR081 gave the highest yields and good yield components under both saline and drought fields. These lines are potential genetic resources for use in breeding programs to develop rice cultivars which are tolerant to both salt and drought stress. (5) For subproject No. 4 which was completed in the second year of the research program dealt with the elucidation of biochemical defense mechanisms focusing on antioxidative processes in response to high temperature stress. In conclusion, the outputs of this 3-year research program included (1) two drought-tolerant somaclones of RD6 and one of Khao Jow Hawm Phitsanulok 1; (2) 25 BC3F2:3 lines of RD6 with increased levels of salt tolerance and blast resistance; (3) a method of raising drought tolerance by spraying with polyamine; (4) three CSSL lines of KDML105 and a local rice variety with potential to be developed into cultivars tolerant to both salt and drought stress; and (5) physiological and biochemical indicators suitable for salt, drought and high temperature screening.
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เผยแพร่โดย: สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน)
คำสำคัญ: เครื่องหมายโมเลกุล
คำสำคัญ (EN): molecular marker
เจ้าของลิขสิทธิ์: สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง

ปิยะดา ธีระกุลพิศุทธิ์. "การตอบสนองและการปรับตัวของข้าวต่อสภาวะแล้ง ดินเค็ม และอุณหภูมิสูงResponses and adaptations of rice to drought, soil salinity and high temperature". สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) . 2557

ปิยะดา ธีระกุลพิศุทธิ์. "การตอบสนองและการปรับตัวของข้าวต่อสภาวะแล้ง ดินเค็ม และอุณหภูมิสูงResponses and adaptations of rice to drought, soil salinity and high temperature". สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) . 2557. Print.



TARR Wordcloud:
การตอบสนองและการปรับตัวของข้าวต่อสภาวะแล้ง ดินเค็ม และอุณหภูมิสูง
ปิยะดา ธีระกุลพิศุทธิ์
สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน)
23 สิงหาคม 2557
การเปลี่ยนแปลงการแพร่กระจายคราบเกลือบนผิวดินหลังจากการพัฒนา ดินเค็มแบบบูรณาการในพื้นที่ ตำบลด่านช้าง ตำบลขุนทอง อำเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา แป้งข้าวก่ำดัดแปรและผลิตภัณฑ์จากข้าวก่ำเพื่อประโยชน์ด้านสุขภาพ เชิงป้องกัน ศึกษาการเจริญเติบโตของไม้ยืนต้นทนเค็มภายหลังการพัฒนาพื้นที่ดินเค็มในพื้นที่ลุ่มน้ำลำสะแทด ข้าวให้พลังงานผสานคุณค่าอาหาร การพัฒนากระบวนการต้นแบบในการทดสอบพันธุ์ข้าวลูกผสม การตอบสนอง และการปรับตัวของข้าวต่อสภาวะแล้ง ดินเค็ม และอุณหภูมิสูง การตอบสนอง และการปรับตัวของข้าวต่อสภาวะแล้ง ดินเค็ม และอุณหภูมิสูง แผนงานวิจัยการตอบสนอง และการปรับตัวของข้าวต่อสภาวะแล้ง ดินเค็ม และอุณหภูมิสูง ผลการตอบสนองต่อความเครียดจากปฏิกิริยาออกซิเดชั่นที่เกิดจากความเค็มในสายพันธุ์ต่าง ๆ ของข้าวไทย การประเมินความทนทานต่อสภาพแล้งต้นฤดูปลูกของเชื้อพันธุกรรมข้าวไร่พันธุ์พื้นเมือง
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก
พัฒนาระบบโดยศูนย์ความรู้เฉพาะด้านวิศวกรรมความรู้และวิศวกรรมภาษาDeveloped by Center of Excellence for Unified Knowledge and Language Engineering
สนับสนุนโดยสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน)Supported by the Agricultural Research Development Agency (Public Organization)
แบบสำรวจความพึงพอใจQuestionair