สืบค้นงานวิจัย
วิจัยและพัฒนาเชื้อราไมคอร์ไรซาเพื่อใช้ควบคุมไส้เดือนฝอยสาเหตุโรครากปม
ธนาสาร ขาวสอาด - มหาวิทยาลัยรามคำแหง
ชื่อเรื่อง: วิจัยและพัฒนาเชื้อราไมคอร์ไรซาเพื่อใช้ควบคุมไส้เดือนฝอยสาเหตุโรครากปม
ชื่อเรื่อง (EN): Research and Development of Arbuscular Mycorrhizal Fungi for Biocontrol Root-knot Nematode
บทคัดย่อ: การวิจัยและพัฒนาเชื้อราอาร์บัสคูลาร์ไมคอร์ไรซา เพื่อควบคุมไส้เดือนฝอยสาเหตุโรครากปม ได้ดำเนินการตั้งแต่การสำรวจ และเก็บตัวอย่างดินจากแปลงปลูกพริกแบบอินทรีย์ ในเขตจังหวัดอุบลราชธานี และ จังหวัดศรีษะเกษ จำนวน 15 ตัวอย่าง และ 5 ตัวอย่าง ตามลำดับ เพื่อคัดแยกสปอร์ และตรวจสอบการอยู่อาศัยของเชื้อราอาร์บัสคูลาร์ไมคอร์ไรซาในรากพืชจากตัวอย่างดิน โดยผลการตรวจสอบพบว่า สามารถตรวจพบสปอร์และการอยู่อาศัยของเชื้อราอาร์บัสคูลาร์ไมคอร์ไรซา จากตัวอย่างดินทั้ง 2 แหล่ง ตัวอย่างดินจากจังหวัดอุบลราชธานี ตัวอย่างดิน ASU1 มีจำนวนสปอร์มากที่สุดคือ 18 สปอร์ต่อตัวอย่างดินน้ำหนัก 1 กรัม ขณะที่ตัวอย่างดิน ASU11 และ ASU13 มีค่าร้อยละของเชื้อราอาร์บัสคูลาร์ไมคอร์ไรซาอาศัยอยู่ในรากพริกสูงสุดคือ ร้อยละ 48 ส่วนตัวอย่างดินจากจังหวัดศรีษะเกษ ตัวอย่างดินหมายเลข WHS2 และ WHS4 มีจำนวนสปอร์มากที่สุดเท่ากันคือ 12 สปอร์ต่อตัวอย่างดินน้ำหนัก 1 กรัม และตัวอย่างดิน WHS5 มีร้อยละของเชื้อราอาร์บัสคูลาร์ไมคอร์ไรซาอาศัยอยู่ในรากพริกสูงสุด คือ ร้อยละ 64 สปอร์ของเชื้อราอาร์บัสคูลาร์ไมคอร์ไรซาที่คัดแยกได้จากตัวอย่างดินทั้งหมด จะถูกนำไปเพิ่มปริมาณเพื่อจำแนกสายพันธุ์ ซึ่งภายหลังดำเนินการดังกล่าวพบว่า สามารถจำแนกสายพันธุ์เชื้อราออกได้ 4 สกุล คือ Acaulospora, Entrophospora, Glomus, และ Scutellospora โดยเชื้อรา G. mosseae และ G. intraradices คือเชื้อราอาร์บัสคูลาร์ไมคอร์ไรซา 2 สายพันธุ์ ที่ถูกนำไปใช้เพื่อทดสอบความสามารถของเชื้อรา ในการควบคุมการเกิดโรครากปมในพริกที่มีสาเหตุจากไส้เดือนฝอย ควบคู่กับการทดสอบเชื้อราอาร์บัสคูลาร์ไมคอร์ไรซาของกรมวิชาการเกษตร โดยจัดรูปแบบการทดสอบเป็น 2 ลักษณะคือ การปลูกถ่ายเชื้อราอาร์บัสคูลาร์ไมคอร์ไรซาและไส้เดือนฝอยในกระถางใบเดียวกัน เพื่อพิจารณาศักยภาพของเชื้อราอาร์บัสคูลาร์ไมคอร์ไรซาแต่ละสายพันธุ์ และการปลูกถ่ายจุลินทรีย์ทั้งสองชนิดแบบแยกกระถาง ซึ่งต้นพริกที่ใช้ในทดลองนั้น รากจะถูกเตรียมและปลูกในกระถางจำนวน 2 ใบ แบบแยกราก(split-root) การทดสอบทั้ง 2 ลักษณะนี้ จะดำเนินการปลูกถ่ายเชื้อราอาร์บัสคูลาร์ไมคอร์ไรซา และไส้เดือนฝอยที่ระยะเวลาแตกต่างกัน ซึ่งผลการทดลองที่ได้พบว่า การปลูกถ่ายเชื้อราอาร์บัสคูลาร์ไมคอร์ไซาให้กับรากพริกตั้งแต่เริ่มต้นการทดลอง ก่อนการปลูกถ่ายไส้เดือนฝอยเป็นเวลา 4 สัปดาห์ สามารถลดความรุนแรงของโรครากปมลงได้ เมื่อเปรียบเทียบกับชุดการทดลองซึ่งปลูกถ่ายไส้เดือยฝอยให้กับรากพริกเพียงอย่างเดียวในช่วงเวลาเดียวกัน โดยรากพริกซึ่งปลูกถ่ายเชื้อราอาร์บัสคูลาร์ไมคอร์ไรซากรมวิชาการเกษตรและไส้เดือนฝอยในกระถางใบเดียวกัน หรือปลูกถ่ายจุลินทรีย์ทั้งสองชนิดแบบแยกกระถางนั้น มีแนวโน้มที่ระดับความรุนแรงของโรครากปมต่ำที่สุดคือ ร้อยละ 18.14?5.84 และ ร้อยละ 20?7.07 ตามลำดับ และมีร้อยละการอยู่อาศัยของเชื้อราอาร์บัสคูลาร์ไมคอร์เท่ากับ 27.71?12.0 และ 42.43?8.02 ตามลำดับ ขณะที่รากพริกซึ่งได้รับการปลูกถ่ายไส้เดือนฝอยเพียงอย่างเดียว มีระดับความรุนแรงโรครากปมสูงที่สุดเท่ากับ ร้อยละ 91.14?6.39 และ 81.71?27.97 ตามลำดับ ด้านพัฒนาการการเจริญเติบโตของต้นพริก ซึ่งพิจารณาจากน้ำหนักสดของรากและลำต้นพบว่า โดยส่วนใหญ่น้ำหนักรากของต้นพริกที่ได้รับการปลูกถ่ายไส้เดือนฝอยตั้งแต่เริ่มต้นการทดลอง ก่อนการปลูกถ่ายเชื้อราอาร์บัสคูลาร์ไมคอร์ไรซาแต่ละสายพันธุ์เป็นเวลา 4 สัปดาห์ มีแนวโน้มลดลงมากที่สุด และใกล้เคียงกับน้ำหนักรากต้นพริกที่ได้รับการปลูกถ่ายไส้เดือนฝอยเพียงอย่างเดียวในช่วงเวลาเดียวกัน ขณะที่ต้นพริกที่รากได้รับการปลูกถ่ายเชื้ออาร์บัสคูลาร์ไมคอร์ไรซาแต่ละสายพันธุ์ตั้งแต่เริ่มต้นการทดลอง ก่อนการปลูกถ่ายไส้เดือนฝอยให้กับรากพริกเป็นเวลา 4 สัปดาห์ น้ำหนักสดของรากและลำต้นโดยส่วนใหญ่ไม่มีความแตกต่างกับชุดการทดลองควบคุม (control) ซึ่งไม่ได้รับการปลูกถ่ายจุลินทรีย์ใดๆ มีเพียงบางกลุ่มที่แสดงการเพิ่มขึ้นของน้ำหนักสดอย่างมีนัยสำคัญ จากผลการทดลองที่ได้แสดงให้เห็นว่า ความรุนแรงของโรครากปมจากไส้เดือนฝอยมีแนวโน้มลดลง เมื่อรากพริกได้รับการปลูกถ่ายเชื้อราอาร์บัสคูลาร์ไมคอร์ไรซาตั้งแต่เริ่มต้นการทดลอง ก่อนการปลูกถ่ายไส้เดือนฝอยเป็นเวลา 4 สัปดาห์ ดังนั้นเพื่อหาความเชื่อมโยงกับระบบการป้องกันตัวเองของพืช จากจุลินทรีย์แปลกปลอมที่เรียกว่า Systemic Acquired Resistance (SAR) โดยพิจารณาจากการเปลี่ยนแปลงปริมาณกรดซาลิไซลิค จึงได้ทำการทดลองเตรียมปลูกต้นพริกแบบแยกราก และทำการปลูกถ่ายเชื้อราอาร์บัสคูลาร์แต่ละชนิดให้กับรากพริกเพียงด้านเดียวที่ระยะเวลาแตกต่างกัน 4 สัปดาห์ จากนั้นนำรากพริกมาแยกสกัด และหาปริมาณกรดซาลิไซลิคแต่ละด้าน ผลการทดลองที่ได้พบว่า รากพริกด้านที่ได้รับการปลูกถ่ายเชื้อราอาร์บัสคูลาร์ไมคอร์ไรซาตั้งแต่เริ่มต้นการทดลอง ปริมาณกรดซาลิไซลิคมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น โดยรากพริกที่ปลูกถ่ายเชื้อราอาร์บัสคูลาร์ไมคอร์ไรซากรมวิชาการเกษตรตั้งแต่เริ่มต้นการทดลอง มีปริมาณกรดซาลิไซลิคเพิ่มขึ้นสูงที่สุดอย่างมีนัยสำคัญ คือ 64.77?11.40 นาโนกรัมต่อน้ำหนักสดรากพริก 1 กรัม ซึ่งสอดคล้องกับระดับความรุนแรงของโรครากปมที่ต่ำที่สุด
บทคัดย่อ (EN): The research and development of arbuscular mycorrhizal fungi (AMF) aims to study the bioprotectional effect of the fungi on root-knot nematode in chilli plant. At the beginning, we addressed in Ubolrachathani and Srisaket, where were located in the north east region of Thailand, to survey and collect the soil samples from the chilli organic farming for 15 and 5 samples respectively. We brought the samples to isolate AM spores and evaluate the degree of mycorrhization from the roots in the soil. The highest spore production from Ubolrachathani found in the soil number ASU1 (18 spores/ 1 gram of soil sample) and the highest degree of root mycorrhization found 48 percent from the soil number ASU11 and ASU13. Besides the soil from Srisaket province found the highest sporulation (12 spores/ 1 gram of soil sample) in the sample number WHS2 and WHS4 and the best degree of mycorrhization is 64 percent, found in WHS5 sample. Thereafter spores isolated from the soil samples. They would be brought to manipulate sporulation and all together classification. The result showed there were found 4 genera; Acaulospora, Entrophospora, Glomus, and Scutellospora. To test the AM bioprotectional ability to root-knot nematode, we selected 2 AM fungi species; G. mosseae, G. intraradices, and also AM fungi which produced from the Department of Agriculture (AM-DOA). We performed the experiments in 2 patterns separately; “ the localized system ” was to inoculate AM fungi and egg nematodes in the same pot, and another so called “ systemic system ” was to inoculate each two microorganisms in split-root which each part of the roots were grown in different pots. Besides AM fungi inoculums and egg nematodes solution would be considered apply to chilli root in either at the first week or the forth week of the experiment. The results suggested all treatments had been inoculated any strains of AM fungi at the beginning, prior to the egg nematodes inoculation for 4 weeks. They showed drastically reduced percentage of root-knot nematode severity level, especially the AM-DOA strain. It showed the percentage of severity 18.14?5.84 and 20.0?7.07 respectively. Meanwhile chilli roots were inoculated only egg nematodes at the same time showed 91.14?6.39 and 81.71?27.97 percent respectively. Interestingly AM-DOA fungi also showed the highest degree of mycorrhization; 27.71?12.0 and 42.43?8.02. However from the experiments, AM-chilli plant biomass; such as root and shoot fresh weight, did not show much of increased biomass. In addition we also quantified salicylic acid (SA) from chilli root, which were performed in split-root system and we inoculated only AM fungi in different of time. The result suggested that the total amount of SA was 64.77?11.40 nanogram/ 1 gram root fresh weight. It was highly significant on chilli root which inoculated with AM-DOA at the beginning of experiment. This data may be caused and related to the chemical signal in bioprotectional effect so called “ systemic acquired resistance ; SAR ”.
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เผยแพร่โดย: มหาวิทยาลัยรามคำแหง
คำสำคัญ: ภาษาอังกฤษ
คำสำคัญ (EN): Meloidogyne sp.
เจ้าของลิขสิทธิ์: สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
วิจัยและพัฒนาเชื้อราไมคอร์ไรซาเพื่อใช้ควบคุมไส้เดือนฝอยสาเหตุโรครากปม
มหาวิทยาลัยรามคำแหง
30 กันยายน 2556
การควบคุมไส้เดือนฝอยรากปม (Meloidogyne incognita) ของฝรั่งด้วยสารสกัดจากเชื้อรา เอคโตไมคอร์ไรซาบางชนิด ศึกษาชีววิธีในการควบคุมปริมาณจุลินทรีย์วิบริโอด้วยจุลินทรีย์บาซิลลัสในห้องปฏิบัติการ การใช้ประโยชน์จากเชื้อราในการควบคุมโรคพืช อิทธิพลของสมบัติของดินที่มีผลต่อการแพร่ระบาดของไส้เดือนฝอย ความรุนแรงในการก่อโรคและพันธุกรรมในระดับโมเลกุลของเชื้อรา Beauveria bassiana สายพันธุ์ท้องถิ่นที่เป็นผลมาจากอาหารเทียมและวัสดุเพาะเลี้ยงเพิ่มปริมาณสำหรับใช้ประโยชน์ในการควบคุมแมลงศัตรูพืชอย่างยั่งยืน การใช้เชื้อราปฏิปักษ์ควบคุมไส้เดือนฝอยรากปม การวิจัยการใช้ประโยชน์เชื้อราอาร์บัสคูลาร์ ไมคอร์ไรซาในการเพาะกล้าไม้เพื่อการปลูกป่า การพัฒนารูปแบบการเรียนรู้ด้วยตนเอง ในการใช้ภาษาอังกฤษ เพื่อการสื่อสารของผู้ประกอบการในหมู่บ้านถวาย จังหวัดเชียงใหม่ ศึกษาความหลากหลายทางพันธุกรรมของเชื้อราสาเหตุโรครากขาว และการควบคุมโรคโดยชีววิธี โครงการวิจัยการพัฒนาเทคโนโลยีการจัดการหลังการเก็บเกี่ยวและการใช้ประโยชน์จากสิ่งเหลือใช้จากมังคุด
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก