สืบค้นงานวิจัย
สิ่งแวดล้อมกับงานวิจัยข้าว
ลัดดาวัลย์ กรรณนุช - กรมการข้าว
ชื่อเรื่อง: สิ่งแวดล้อมกับงานวิจัยข้าว
ชื่อเรื่อง (EN): Environment and rice researches
ผู้แต่ง / หัวหน้าโครงการ: ลัดดาวัลย์ กรรณนุช
บทคัดย่อ: สิ่งแวดล้อมกับการเกษตรกรรม เป็นปัจจัยที่แยกไม่ออก เมื่อมีการผลิตการเพาะปลูกเกิดขึ้น มนุษย์เริ่มถากถางป่าให้เป็นพื้นที่เพาะปลูก ปัจจัยการผลิตที่สำคัญสิ่งแรก คือ ดิน ความอุดมสมบูรณ์ของดิน จากพื้นที่ป่าถูกนำไปใช้เพื่อการผลิตเป็นอาหารเลี้ยงประชากรโลก ธรรมชาติให้น้ำ เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญต่อการผลิต พืชรับน้ำฝนในการเจริญเติบโตให้ผลผลิต แม่น้ำลำคลองเป็นแหล่งน้ำธรรมชาติอีกแหล่งหนึ่งที่จะสนับสนุนการเกษตรกรรมได้ เมื่อมีการตัดไม้ทำลายป่าด้วยมือมนุษย์มากขึ้น การรับน้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติเริ่มมีปัญหาขาดแคลนน้ำ มนุษย์ได้พยายามสร้างระบบชลประทาน เพื่อให้มีการจัดการน้ำอย่างเหมาะสม หากมองดูง่าย ๆ จะเห็นว่าปัจจัยที่สำคัญต่อการปลูกพืช คือความอุดมสมบูรณ์ของดินและแหล่งน้ำ ซึ่งได้มีการพยายามแก้ปัญหาด้วยการเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดิน การจัดหาแหล่งน้ำและการจัดการระบบชลประทานเข้ามาเพื่อการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ปัจจัยที่สำคัญซึ่งมีการถูกละเลย คืออากาศหรือก๊าซธรรมชาติที่อยู่ในบรรยากาศในปัจจุบันก๊าซเรือนกระจกจะถูกกล่าวถึงอย่างมากมาย โดยเฉพาะเมื่ออุณหภูมิของโลกสูงขึ้น ความเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศโลก เนื่องจากการเพิ่มกิจกรรมของมนุษย์จากการขยายตัวของโลกด้านอุตสาหกรรม การนำเทคโนโลยีต่าง ๆ มาใช้ในระบบการผลิตเพื่อเพิ่มผลผลิต ก๊าชเรือนกระจกเหล่านี้ ได้แก่ คาร์บอนไดออกโซด์ (CO2) มีเทน (CH4) ไนตรัสออกไซด์(N2O) และ chlorofluocarbon (CFC) ก๊าซเหล่านี้ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศโลกอย่างมากได้แก่ ปัญหาอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้น อันเป็นที่กล่าวถึงมากขึ้นทุกวัน ทั้งในต่างประเทศและภายในประเทศไทยเอง นอกจากนี้ยังมีก๊าซมีเทน ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญก๊าชหนึ่งที่ถูกกล่าวถึงในพื้นที่ปลูกข้าว ทำให้เกิดความตื่นตัวในการศึกษาความเป็นไปได้ของผลกระทบจากการใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ เพื่อเพิ่มผลผลิตต่อการเกิดและการปลดปล่อยก๊าซมีเทนจากพื้นที่ปลูกข้าว ซึ่งหมายความว่า ประเทศไทยจำเป็นจะต้องมีข้อมูลเหล่านี้ไว้เพื่อให้มีการพัฒนาการผลิตให้มีประสิทธิภาพและเป็นไปในทิศทางเดียวกับกระแสของโลก โดยเฉพาะในปัจจุบันเรื่องของการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม กำลังเป็นความต้องการของสังคมโลก และประเทศไทยเองก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ทางด้านงานวิจัยข้าวในประเทศไทย มีการพัฒนางานวิจัยมานับแต่อดีตเมื่อไทยมีการส่งออกข้าว เป็นรายได้นำเข้าประเทศเป็นต้นมา งานวิจัยข้าวเริ่มต้นจากการปรับปรุงพันธุ์ข้าว เพื่อให้ได้ข้าวที่มี คุณภาพดี สม่ำเสมอ สำหรับการส่งออกและการบริโภคภายในประเทศ เมื่อประชากรเพิ่มมากขึ้น การเพิ่มผลผลิตโดยการขยายพื้นที่ปลูก มีข้อจำกัดไม่สามารถทำได้ แนวคิดเรื่องการใช้ปัจจัยการผลิตภายนอกเพื่อปรับปรุงคุณภาพของดิน ทำให้เกิดการผลิตปุ๋ยเคมีและการนำเข้าปุ๋ยเคมีมาใช้ เพื่อเพิ่มผลผลิตขึ้นการใช้ปุ๋ยเคมีในปริมาณมาก นำมาซึ่งปัญหาโรคและแมลงรวมทั้งศัตรูพืชมากขึ้น การใช้สารเคมีสำหรับป่องกันกำจัดโรคแมลงและศัตรูพืชเหล่านี้มีมากขึ้นไม่เว้นแม้แต่ในพื้นที่ปลูกข้าว งานวิจัยข้าวจึงมีการขยายขอบเขตมากขึ้นได้แก่ 1. งานวิจัยการใช้ปุ๋ยเคมี : จุดเริ่มต้นจากการศึกษาชนิดของปุ๋ยเคมีที่จำเป็นต่อการเพิ่มผลผลิตข้าว คือไนโตรเจน(N) ฟอสฟอรัส(P) และโพแทสเซียม(K) โดยขยายผลถึงการใช้อัตราที่เหมาะสมของธาตุเหล่านี้ ซึ่งสรุปได้ว่าในสภาพดินนาที่เป็นดินเหนียว ข้าวมีความต้องการปุ๋ยไนโตรเจนและฟอสฟอรัสมาก สำหรับธาตุอาหารโพแทสเชียมในดินนาสภาพดินเหนียว พบว่า มีธาตุโพแทสเชียม เพียงพอในขณะนั้น ทำไห้เกิดการผลิตปุ๋ยรวมสูตร 16-20-0 และ 20-20-0 ขึ้นสำหรับใช้ในการปลูกข้าวในดินเหนียว งานวิจัยข้าวที่ปลูกในพื้นที่ดินร่วนหรือดินทรายพบว่าข้าวต้องใช้ธาดุอาหารหลักทั้ง 3 ธาตุ ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเชียม ได้สูตรปุ๋ยผสมรวมคือ ปุ๋ยสูตร 16-6-8 สำหรับใช้ในดินที่ขาดความอุดมสมบูรณ์ ทั้งนี้มีการศึกษาอัตราของปุ๋ยเคมีที่เหมาะสม ซึ่งเป็นอัตราที่เหมาะสมกับดินและชนิดของพันธุ์ข้าว คำแนะนำทั่ว ๆ ไปให้ใช้ปุ๋ยในอัตรา 6-6-6 กิโลกรัม N-P2O5-K20 ต่อไร่ สำหรับพันธุ์ข้าวไวต่อช่วงแสง และอัตรา 12-6-6 กิโลกรัม N-P2O5-K2O ต่อไร่ สำหรับพันธุ์ข้าวไม่ไวต่อช่วงแสงนอกจากนี้ช่วงระยะเวลาที่เหมาะสมในการใช้ปุ๋ยเคมีตามที่ได้คำแนะนำนั้น คือให้ใส่ปุ๋ยเคมี 2 ครั้ง ครั้งแรกใส่ปุ๋ยรองพื้น 3-6-6 และ 6- 6-6 กิโลกรัม N-P2O5-K2O ต่อไร่ เมื่อข้าวมีอายุประมาณ 1 เดือน และใส่ปุ๋ยแต่งหน้าเมื่อข้าวตั้งท้องเป็นการใส่ปุ๋ยครั้งที่สอง ด้วยปุ๋ยยูเรีย 3-0-0 และ 6-0-0 กิโลกรัม N-P2O5-K2O ต่อไร่ สำหรับข้าวไวต่อช่วงแสงและไม่ไวต่อช่วงแสงตามลำดับ 2 . งานวิจัยการใช้สารเคมีป้องกันกำจัดวัชพืช โรค และแมลง : มีงานวิจัยที่ใช้สารเคมีป้องกันและกำจัดวัชพืช โรคและแมลงอย่างมากมาย การเลือกใช้ชนิดของสารเคมี การใช้อัตราความเข้มข้นช่องสารเคมีเพื่อกำจัดวัชพืช โรคและแมลง ทำให้สิ่งมีชีวิตเหล่านี้มีการปรับตัวมากขึ้นชนิดของสารเคมีเปลี่ยนแปลงไป นอกจากการใช้สารเคมีกำจัดแล้วการปรับปรงพันธุ์ที่มีความต้านทาน ก็มีการศึกษาวิจัยกันอย่างก้าวหน้า ได้พันธุ์ข้าวให้เกษตรกรใช้ปลูกแก้ไขปัญหาได้ตลอดมา 3. งานวิจัยการใช้ปุ๋ยอินทรีย์และวัสดุปรับปรุงดิน เมื่อการส่งเสริมให้มีการใช้ปุ๋ยเคมีมากขึ้น ผลที่ติดตามมาคือ ความไม่สมดุลย์ของธาตุอาหารในดินและโครงสร้างของดิน งานวิจัยการใช้ปุ๋ยอินทรีย์และวัสดุปรับปรุงดินจึงมีการพัฒนาการ เพื่อหาอัตราที่เหมาะสมสำหรับการใช้ในดินนาสำหรับเพิ่มผลผลิตข้าว ในพื้นที่ดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ การใช้ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก ในอัตราตั้งแต่ 500 - 2,000 กิโลกรัมต่อไร่ ได้ผลดี การพัฒนาการใช้ปุ๋ยพืชสดพบว่ามีปุ๋ยพืชสดจากแหล่งน้ำต่าง ๆ หลากหลายมาก นับตั้งแต่การใช้พืชตระกูลถั่วต่าง ๆ การใช้แหนแดงเลี้ยงในนาพร้อมกับการปลูกข้าว การปลูกโสนอัฟริกันเป็นปุ๋ยพืชสดในพื้นที่นาดินเค็มและการวิจัยการใช้วัสดุต่าง ๆ เพื่อปรับปรุงดินนา ในช่วงเวลา 5 ปีที่ผ่านมานี้ แผนพัฒนาเศรษฐกิจที่ 8 ให้ความสำคัญกับผลกระทบของการใช้สารเคมิในระบบการเกษตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งนับรวมปัจจัยต่าง ๆ จากดิน น้ำ และอากาศด้วย งานวิจัยข้าวมีการพัฒนาที่มุ่งเน้น การลดการใช้สารเคมีในระบบการปลูกข้าว การใช้เทคโนโลยีที่แก้ปัญหาในพื้นที่ โดยคำนึงถึงการใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่อย่างมีประสิทธิภาพและมีการรักษาสภาพแวดล้อมมากขึ้น ได้แก่ งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรธรรมชาติดังนี้ 1. งานวิจัยการใช้ทรัพยากรน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ : ในพื้นที่ชลประทานที่มีการจัดการน้ำอย่างมีระบบแผนการใช้น้ำเพื่อปลูกข้าวนาปรัง มุ่งเน้นการค้นหาวิธีการปลูกข้าวให้มีการใช้น้ำอย่างประหยัด การศึกษาแก้ปัญหาการเกิดวัชพืชในพื้นที่ที่ปลูกข้าวโดยใช้น้ำน้อย ทั้งระบบ intermittant irrigation (ดินเปียก/ดินแห้ง) และ saturated soil (ดินชุ่มน้ำ) รวมทั้งการทดสอบพันธุ์ข้าวที่ให้ผลผลิตดีในสภาพดินเปียก/ดินแห้ง หรือดินชุ่มน้ำ และการจัดการปุ๋ยอย่างเหมาะสมต่อการปลูกข้าวที่มีการใช้น้ำน้อยเช่นนี้ 2 . งานวิจัยที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ : ในพื้นที่ปลูกข้าวซึ่งมีสภาพการขังน้ำในระยะยาว ทำให้เกิดการสลายตัวของหากพืชที่สะสมอยู่ในดินใต้น้ำ ขั้นตอนของการสลายตัว (decompost) ทำให้มีการสะสมของก๊าชมีเทนจำนวนหนึ่ง ก๊าซมีเทนซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกชนิดหนึ่งที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลกได้ อุณหภูมิของโลกที่สูงขึ้นเกิดจากการสะสมของก๊าซเรือนกระจกต่าง ๆ มีผลกระทบต่อผลผลิตของข้าวและพืชผลอื่นๆ นับตั้งแต่ปี 2536 สถาบันวิจัยข้าวได้รับงบประมาณสนับสนุนจาก UNDP-EPA-IRRI เพื่อจัดตั้งเครื่องมือและดำเนินงานวิจัยสำหรับวัดการปลดปล่อยก๊าชมีเทนจากพื้นที่ปลูกข้าว การเกิดก๊าซมีเทน ปัจจัยที่มีผลต่อการเกิดและการปลดปล่อยก๊าซมีเทน ตลอดจนการศึกษาแนวทางการลดปริมาณปลดปล่อยก๊าซมีเทน ในปัจจุบันประเทศไทยเข้าเป็นสมาชิกองค์กรการค้าโลก (WIO) ซึ่งจะต้องมีแผนการดำเนินการผลิตให้อยู่ในแนวทางขององค์กรนี้ แม้ว่าจะยังไม่มีข้อกำหนดใดให้ประเทศไทยจะต้องปฏิบัติตามในขณะนี้ แต่นัวิกจัยตระหนักดีว่า ประเทศไทยจักต้องมีการเตรียมพร้อมสำหรับข้อมูลการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก ทั้งนี้เพื่อสนับสนุนในการเจรจา ต่อรอง หรือการเช็นสัญญาในระดับชาติใด ๆ ก็ตาม ทั้งนี้งานวิจัยที่กำลังดำเนินการจะตั้งอยู่บนเป้าหมายของการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ทั้งด้านการเพิ่มผลผลิตและเพิ่มคุณภาพของผลผลิต พร้อมไปกับการอนุรักษ์ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม 3. งานวิจัยศึกษาการจัดการทรัพยากรการผลิตข้าวอย่างมีประสิทธิภาพ:การใช้ทรัพยากรในระบบการผลิตที่ผ่านมามีแนวโน้มจะทำให้ขาดสมดุลย์ไนระบบการผลิต แผนการสนับสนุนให้มี การเพิ่มผลผลิตข้าว โดยการใส่ปุ๋ยเคมีทำให้คำแนะนำการใช้ปุ๋ยเคมีได้รับการยอมรับเป็นอย่างดีปริมาณการนำปุ๋ยเคมีเข้ามาใช้ในประเทศไทยสูงขึ้นเป็นเท่าตัว ทว่าการประเมินผลผลิตเฉลี่ยของข้าวต่อปี กลับเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย จากการรวบรวมข้อมูลในพื้นที่ปลูกข้าว ทั้งในเขตนาน้ำฝนและนาชลประทานพบว่าเกษตรกร 100% มีการใส่ปุ๋ยเคมีในการปลูกข้าว ทั้งวิธีการปักดำ หรือวิธีการหว่าน แต่มีเกษตรกรไม่ถึงร้อยละ 5 ที่ใช้ปุ๋ยตรงตามคำแนะนำของรัฐบาลหรือจากงานวิจัยที่ผ่านมา ทั้งนี้มีความเป็นไปได้ในประการแรกว่าเกษตรกรยอมรับว่า การใส่ปุ๋ยเคมีทำให้เห็นผลได้ทันทีโดยเฉพาะการใส่ปุ๋ยไนโตรเจน (ปุ๋ยยูเรีย) แต่อัตราปุ๋ยเคมีที่แนะนำให้เกษตรกรใช้ในปัจจุบันเป็นอัตราที่ได้ประเมินจาก ค่าเฉลี่ยซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะใช้เพิ่มผลผลิตข้าวในพื้นที่ทั่วไป ทว่าในความเป็นจริง ศักยภาพของพื้นที่ปลูกข้าวทั่วประเทศจะแตกต่างกันไป นอกเหนือจากเรื่องของดินแล้วยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่เข้ามาเกี่ยวข้องการใช้ปุ๋ยเคมีของเกษตรกรจึงเป็นไปอย่างไม่มีข้อจำกัด เมื่อเกษตรกรมีปัจจัยที่จะซื้อปุ๋ยเคมีได้ เกษตรกรจะซื้อปุ๋ยเคมีที่มีอยู่ตามท้องตลาดใส่ในนาข้าวอย่างเต็มที่ ในปี 2542 ที่ผ่านมามีการสอบถามข้อมูลการปลูกข้าวทั่วประเทศพบว่าเกษตรกรมีการใช้ปุ๋ยเคมีอย่างไม่มีประสิทธิภาพเกษตรกรใช้ปุ๋ยเคมีอย่างสิ้นเปลือง ใส่ปุ๋ยเคมีไม่ตรงตามระยะเวลาที่ต้นข้าวต้องการ มีการสูญเสียปุ๋ยในแต่ละปีเป็นจำนวนมาก ดังนั้นการจัดการทรัพยากรการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ จึงจำเป็นจะต้องเรียนรู้ถึงศักยภาพของแต่ละพื้นที่เพื่อให้มีการกำหนดวิธีการไช้ปัจจัยการผลิตให้เหมาะสมในพื้นที่เฉพาะแห่งโครงการการจัดเขตศักยภาพการผลิตข้าว จึงดำเนินการจัดทำแผนที่แสดงศักยภาพการผลิตข้าวในพื้นที่จังหวัดนำร่อง 3 จังหวัดคือ จังหวัดบุรีรัมย์ จังหวัดสุพรรณบุรี และจังหวัดเชียงราย ทั้งนี้จะได้แผนที่แสดงศักยภาพผลผลิตข้าวในพื้นที่ต่าง ๆ ของจังหวัด โดยมีคู่มือแสดงเทคโนโลยีที่เหมาะสมในการเพิ่มผลผลิตข้าวในแต่ละพื้นที่ ทั้งพันธุ์ข้าวที่เหมาะสม สูตรปุ๋ยที่เหมาะสม และวิธีการปลูกการดูแลรักษาตลอดฤดูปลูก คู่มือนี้จะประกอบการใช้แผนที่แสดงผลผสิตข้าว ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการวางแผนการผลิตข้าว ให้เกษตรกรสามารถจัดระบบการผลิตข้าวได้ด้วยตนเองโดยมีการใช้ปัจจัยการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ ลดสภาพการสูญเสียปัจจัยการผลิตที่อาจใช้มากเกินไปและจะเป็นผลให้เกิดการทำลายสิ่งแวดล้อมต่อไปได้ในอนาคต นับว่าการจัดการที่มีประสิทธิภาพ นอกจากจะเป็นการลดต้นทุนการผลิตและยังลดการเกิดมลภาวะที่จะทำลายสิ่งแวดล้อมได้ด้วยเช่นกัน แนวทางการดำเนินงานวิจัยข้าว กับสิ่งแวดล้อมในอนาคตสามารถจัดการโดยมีหลักการที่จะปฏิบัติได้ดังนี้ 1. งานวิจัยข้าวในอนาคตจะต้องจัดทำขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาได้ในพื้นที่เฉพาะแห่งเท่านั้น ข้อมูลหรือผลการวิจัยใด ๆ จะเหมาะสมและใช้ได้เฉพาะพื้นที่ที่มีปัญหานั้น ๆ เท่านั้น 2. การดำเนินงานวิจัยข้าวในอนาคตไม่จำเป็นจะต้องเริ่มต้นจากงานวิจัยเบื้องต้นก่อน นั่นคือจะต้องเป็นงานวิจัยที่นำผลงานวิจัยที่ผ่านมาและได้ผลงานออกมาแล้ว นำมาปรับใช้ให้เหมาะสม กับแผนงานวิจัยที่จัดทำขึ้นในพื้นที่ต่าง ๆ กัน 3. งานวิจัยข้าวที่จะเกี่ยวข้องกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมย่อมเป็นงานที่ไม่ทำให้ผลผลิตข้าวลดลงหรือเป็นผลเสียหายต่อคุณภาพของข้าว ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักในการผลิตข้าวของประเทศไทย 4. การดำเนินงานวิจัยข้าวกับสิ่งแวดล้อม ควรจะเป็นการทำงานในเชิงรุก เพื่อจะได้ข้อมูลซึ่งสามารถตอบคำถามที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เพราะในอนาคตการแข่งขันในด้านการค้าข้าวจะมีมากขึ้น การวางแผนได้ล่วงหน้าย่อมสามารถจะทำให้ผ่านปัญหาต่าง ๆ ได้ง่ายและรวดเร็วเป็นผลดีต่อการค้าข้าวได้ 5. งานวิจัยข้าวกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม จะจัดทำได้อย่างถูกทิศทางและเหมาะสม นักวิจัยจะต้องเรียนรู้สถานะการณ์ที่เกิดขึ้นและติดตามความเป็นไปอย่างต่อเนื่อง การใช้ช้อมูลจากหน่วยสารสนเทศเป็นสิ่งสำคัญ 6. การจัดทำข้อมูลสารสนเทศ เพื่อเป็นแหล่งแลกเปลี่ยนข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีความจำเป็นอย่างยิ่ง การจัดทำศูนย์ข้อมูลข้าวจะต้องจัดทำอย่างมีประสิทธิภาพเช่นกัน 7. นักวิจัยต้องมีการพัฒนาตนเองในส่วนของการรับรู้การเรียนรู้ในการที่จะเป็นผู้ให้และผู้รับช้อมูลต่าง ๆ การพัฒนาการใช้ข้อมูลจากการสื่อสารทางไกล ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ซึ่งจะทำให้นักวิจัยมีวิสัยทัศน์กว้างไกล มีแนวคิดในการผลิตงานวิจัย และได้ผลงานวิจัยที่ดีมีคุณภาพ 8. งานวิจัยข้าวในอนาคต จักต้องเป็นงานวิจัยที่ประสานกันระหว่างงานวิจัยข้าวที่มีการพัฒนามาแต่เดิมร่วมกับการปรับปรุงวิธีการให้เหมาะสมกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมซึ่งจะต้องคำนึงถึงอย่างมากในอนาคตเพื่อให้เป็นงานวิจัยที่มีการบูรณาการอย่างมีประสิทธิภาพ
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เอกสารแนบ: https://agkb.lib.ku.ac.th/doa/search_detail/result/156146
เผยแพร่โดย: กรมการข้าว
คำสำคัญ: การจัดการ
คำสำคัญ (EN): environment and rice researches
รายละเอียด: Summary only
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
สิ่งแวดล้อมกับงานวิจัยข้าว
กรมการข้าว
2543
กรมการข้าว
ภาวะโลกร้อนกับงานวิจัยในนาข้าว ผลผลิตและองค์ประกอบผลผลิตของข้าวลูกผสมระหว่างข้าวปลูก x ข้าวป่าและข้าวปลูก x ข้าววัชพืช การประเมินพันธุกรรมข้าวป่าและข้าวปลูกในประชากรข้าววัชพืช ผลของการแช่เมล็ดก่อนเพาะต่อสรีรวิทยาบางประการของข้าวในสภาพเครียดเกลือ การใช้สารกำจัดวัชพืช Fenoxaprop-p-ethyl และ Lactofen ในถั่วเหลืองปลูกหลังข้าว ผลของการใช้แบคทีเรียละลายฟอสเฟตในการส่งเสริมการเจริญเติบโตของข้าวในสภาพแอโรบิก แนวทางสนับสนุนเศรษฐกิจข้าวและความมั่นคงทางอาหารภายใต้บริบทสังคมจังหวัดนครสวรรค์และจังหวัดพิจิตร การพัฒนารูปแบบการผลิตข้าวแบบครบวงจรโดยเกษตรกรมีส่วนร่วมในพื้นที่เขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร (ปีที่ 3) โครงการพัฒนานักวิจัยและงานวิจัยเพื่ออุตสาหกรรม (พวอ.) ระดับปริญญาโท-น.ส.กัญญารัตน์ สีขาว การปรับปรุงพันธุ์ข้าวเพื่อเพิ่มปริมาณแป้งทนต่อการย่อยด้วยเอนไซม์ โดยใช้เครื่องหมายโมเลกุลช่วยในการคัดเลือก
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก