สืบค้นงานวิจัย
การศึกษาการผลิตและระบบการตลาดปลาดุกในภาคกลางของประเทศไทย
เกวลิน หนูฤทธิ์ - กรมประมง
ชื่อเรื่อง: การศึกษาการผลิตและระบบการตลาดปลาดุกในภาคกลางของประเทศไทย
ชื่อเรื่อง (EN): The Study on Catfish (Hybrid Clarias) Marketing System in Central Plain of Thailand
ผู้แต่ง / หัวหน้าโครงการ: เกวลิน หนูฤทธิ์
ผู้แต่ง / หัวหน้าโครงการ (EN): kewalin Nooritthi
หน่วยงานสังกัดผู้แต่ง:
บทคัดย่อ: การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาต้นทุนและผลตอบแทนการผลิตปลาดุก และระบบการตลาดปลาดุก เพื่อดูถึงวิถีการตลาด โครงสร้างการตลาด พฤติกรรมการตลาด ตลอดจนสำรวจปัญหาอุปสรรค พร้อมเสนอแนะแนวทางแก้ไขปัญหาอันเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจปลาดุกในอนาคต พื้นที่การศึกษาอยู่ที่ภาคกลาง จำนวน 8 จังหวัด คือ ปทุมธานี กรุงเทพมหานคร สระบุรี ลพบุรี สุพรรณบุรี นครปฐม อ่างทอง และฉะเชิงเทรา ผลจากการศึกษา พบว่า ต้นทุนการผลิตปลาดุกทั้งหมด 263,235.36 บาท/ไร่/รุ่น จำแนกเป็นต้นทุนผันแปรเฉลี่ย 261,689.57 บาท/ไร่/รุ่น คิดเป็นร้อยละ 99.41 ของต้นทุนทั้งหมด และต้นทุนคงที่เฉลี่ย 1,545.79 บาท/ไร่/รุ่น คิดเป็นร้อยละ 0.59 ของต้นทุนทั้งหมด คิดเป็นต้นทุนทั้งหมดเฉลี่ย 35.10 บาท/กิโลกรัม ผลตอบแทนจากการเลี้ยงปลาดุก พบว่า มีผลผลิตเฉลี่ย 7,500 กิโลกรัม/ไร่/รุ่น ขนาดผลผลิต 4-6 ตัว/กิโลกรัม ราคาที่เกษตรกรขายได้ 40 บาท/กิโลกรัม ดังนั้นเกษตรกรมีรายได้ทั้งหมด 300,000 บาท/ไร่ มีกำไรสุทธิ 36,764.64 บาท/ไร่ หรือกำไร 4.90 บาท/กิโลกรัม มีอัตราผลตอบแทนต่อต้นทุนทั้งหมด คิดเป็นร้อยละ 13.96 ลักษณะการจำหน่ายผลผลิตมี 2 ลักษณะ คือ จำหน่ายหน้าฟาร์มโดยผ่านผู้รวบรวม และเกษตรกรนำผลผลิตไปจำหน่ายศูนย์กลางซื้อขายปลาน้ำจืด/แพปลาบริเวณภาคกลาง วิถีการตลาดปลาดุก ผลผลิตปลาดุกทั้งหมดถูกรวบรวมโดยผู้รวบรวมท้องที่/ท้องถิ่น ร้อยละ 82 และเกษตรกรบางส่วนส่งไปจำหน่ายยังศูนย์กลางซื้อขายปลาน้ำจืด/แพปลาร้อยละ 18 จากนั้นผลผลิตทั้งหมดอยู่ที่ศูนย์ซื้อขายปลาน้ำจืด/แพปลา และถูกส่งกระจายไปยังผู้ค้าขายส่ง ร้อยละ 77 และผู้แปรรูปเบื้องต้น ร้อยละ 23 ผู้ค้าขายส่งก็ส่งผลผลิตต่อไปยังผู้ค้าขายปลีกร้อยละ 52 และร้านอาหาร ซึ่งเป็นระดับค้าปลีกในรูปแบบการค้าเพื่อเพิ่มมูลค่าอีกร้อยละ 25 ส่วนผู้แปรรูปเบื้องต้นส่งผลผลิตส่วนหนึ่ง ร้อยละ 10 ตรงไปยังร้านอาหาร เพื่อจำหน่ายต่อให้กับผู้บริโภคอีกทอดหนึ่ง และอีกส่วนหนึ่ง ร้อยละ 13 ผู้แปรรูปซึ่งมีแผงขายในตลาดขายปลีกในท้องที่นำผลผลิตดังกล่าวมาวางจำหน่ายให้กับผู้บริโภคต่อไป ส่วนเหลื่อมการตลาด ตั้งแต่เกษตรกร ผู้รวบรวม ผู้ค้าขายส่ง ผู้ค้าขายปลีก จนถึงผู้บริโภค รวม 20 บาท/กิโลกรัม โดยเป็นของผู้ค้าขายปลีกมากที่สุด 15 บาท/กิโลกรัม รองลงมา ผู้ค้าขายส่ง 3 บาท/กิโลกรัม และผู้รวบรวม 2 บาท/กิโลกรัม เมื่อเปรียบเทียบต้นทุนการตลาดของผู้ค้า พบว่า ต้นทุนการตลาดของผู้รวบรวมน้อยที่สุด 1.30 บาท/กิโลกรัม รองลงมาเป็นผู้ค้าขายส่ง 1.54 บาท/กิโลกรัม และผู้ค้าขายปลีก 6.43 บาท/กิโลกรัม ผู้ค้าทุกประเภทมีต้นทุนเฉพาะที่เป็นเงินสดค่อนข้างสูง เฉลี่ยร้อยละ 88-93 สำหรับผลตอบแทนของผู้ค้า พบว่า กำไรต่อต้นทุนของผู้ค้าขายปลีกในตลาดระดับปลายทางมากที่สุด ร้อยละ 15.96 รองลงมาเป็นผู้ค้าขายส่งในตลาดท้องถิ่น ร้อยละ 3.35 และผู้รวบรวมในตลาดระดับฟาร์ม ร้อยละ 1.69 ตามลำดับ โครงสร้างการตลาดปลาดุก พบว่า ผลผลิตปลาดุกส่วนใหญ่ขายผ่านมือผู้รวบรวมมากที่สุด อีกทั้งผู้รวบรวมมีข้อผูกพันในด้านสินเชื่อแก่เกษตรกร จึงเป็นผู้กำหนดราคาในการรับซื้อปลาดุกจากเกษตรกร ตลาดระดับฟาร์มจัดเป็นตลาดผู้ซื้อน้อยราย (Oligosony) ตลาดระดับค้าส่งผลผลิตปลาดุกผ่านมือเป็นจำนวนมาก และมีอำนาจทางการตลาด สามารถควบคุมราคารับซื้อจากผู้รวบรวมได้อีกต่อหนึ่ง มีคู่แข่งขันน้อย ตลาดระดับนี้จึงเป็นตลาดผู้ขายน้อยราย (Oligopoly) ตลาดทั้งสองระดับนี้มีผู้เข้ามาดำเนินธุรกิจน้อยราย เนื่องจากมีปัจจัยที่สำคัญ คือ เงินลงทุน และความน่าเชื่อถือของผู้ค้า สำหรับตลาดระดับค้าปลีกมีการแข่งขันกันมาก ผู้ค้ามีโอกาสผูกขาดได้น้อย มีผู้ซื้อผู้ขายจำนวนมาก จัดเป็นตลาดกึ่งแข่งขันกึ่งผูกขาด (Monopolistic Competition) ปัญหาและอุปสรรคที่พบมี 2 ด้าน คือ 1) ปัญหาด้านการผลิต ปัญหาสายพันธุ์ไม่มีคุณภาพ และขาดแคลนลูกพันธุ์ในช่วงฤดูหนาว ต้นทุนปัจจัยการผลิตสูงโดยเฉพาะค่าอาหาร ระบบการบริหารจัดการฟาร์มของเกษตรกรไม่มีประสิทธิภาพ ขาดแคลนเงินลงทุนหมุนเวียน ปัญหาการขาดการรวมตัวกันเป็นกลุ่มของเกษตรกร (Clusters) ไม่มีการรวมกลุ่มกันซื้อปัจจัยการผลิตและจำหน่ายผลผลิต ไม่มีการวางแผนการผลิตเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด และ2) ปัญหาด้านการตลาด เกษตรกรผู้เลี้ยงปลาดุกขาดอำนาจในการต่อรองราคา เนื่องจากเป็นตลาดระดับฟาร์มแบบผู้ซื้อน้อยราย ผู้ซื้อหรือผู้รวบรวมสามารถกำหนดราคา สถานที่จำหน่ายปลาหรือศูนย์กลางซื้อขายปลาน้ำจืดของประเทศไทยมีน้อย และกระจุกตัวตามแหล่งชุมชนและเป็นของเอกชน พื้นที่ที่ทำการศึกษายังขาดสถานประกอบการเกี่ยวกับห้องเย็นและโรงงานแปรรูป ผลผลิตปลาดุกที่ขาดมาตรฐาน GAP ส่งผลให้มีข้อจำกัดด้านช่องทางการจำหน่าย ข้อเสนอแนะด้านการผลิต กรมประมงเร่งวิจัยและพัฒนาสายพันธุ์ปลาดุกบิ๊กอุยที่มีประสิทธิภาพ และเพียงพอแก่ความต้องการของเกษตรกร การสร้างมาตรฐานการเลี้ยงแก่เกษตรกร โดยการจัดฝึกอบรมและให้ความรู้ระบบการจัดการฟาร์มเพาะเลี้ยงปลาดุกให้ได้มาตรฐานการปฏิบัติทางประมงที่ดี (GAP) ส่งเสริมให้เกษตรกรมีการรวมกลุ่มแบบคลัสเตอร์ (cluster) เพื่อให้เกษตรกรมีความเข้มแข็งและมีอำนาจต่อรองการซื้อปัจจัยการผลิตและการจำหน่ายผลผลิต ส่งเสริมให้เกษตรกรรวมกลุ่มผลิตอาหารเม็ดสำเร็จรูปเพื่อลดต้นทุนค่าอาหาร สำหรับด้านการตลาด พัฒนาและส่งเสริมการทำตลาดปลาดุกในรูปแบบ Contract Farming กับกลุ่ม Cluster เพื่อลดขั้นตอนของพ่อค้าคนกลางลง การกระจายผลผลิตปลาดุกต้องมีมาตรฐานหลังการจับ มีระบบการดูแลขนส่งสัตว์น้ำและคุณภาพผลผลิตสัตว์น้ำ เพื่อให้ผลผลิตสัตว์น้ำมีคุณภาพ และลดการสูญเสียน้ำหนักปลาระหว่างการขนส่ง กรมประมงส่งเสริมวิจัยผลิตภัณฑ์ปลาดุกหลากหลายและนำมาถ่ายทอดแก่กลุ่มแม่บ้านเพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ ภาครัฐควรสร้างศูนย์กลางซื้อขายปลาน้ำจืด/ตลาดกลางให้กระจายทั่วประเทศไทย เพื่อให้บริการแก่เกษตรกรในการจำหน่ายผลผลิต และสนับสนุนให้ภาคเอกชนสร้างโรงงานแปรรูปหรือห้องเย็นใกล้แหล่งผลผลิตปลาดุก เพื่อลดค่าขนส่งและสินค้าสัตว์น้ำก็มีคุณภาพ พร้อมทั้งรณรงค์ให้ผู้บริโภคหันมาบริโภคปลาดุกเพื่อสุขภาพ
บทคัดย่อ (EN): The objectives of this study were to analyze cost and return, marketing system (marketing channels, structure of market, behaviour of market), exploring problems about the catfish business and guidelines for solving these problems in the future. The study areas was in the central of Thailand. The provinces included Pathumthani, Bangkok, Saraburi, Lopburi, Suphanburi, Nakhonpathom, Angthong, and Chachoengsao. The study would be about cost and return of catfish farmers, The results can be summarized as follows : The cost of production was 263,235.36 Baht/rai/crop, with the variable cost of 261,689.57 Baht/rai/crop (99.41%) and fixed cost of 1,545.79 Baht/rai/crop (0.59%). The average total cost of production per kilogramme was 35.10 Baht. The farmers have earned around 300,000 Baht/rai/crop or 40 Baht/Kg. The average production was about 7,500 kg./rai/crop, the production size was about 4-6 pieces/kg. Total profit was about 36,764.64 Baht/rai/crop or 4.90 Baht/Kg. The rate of return for investment was 13.96 percent. The amount of product sold at the farm and Fresh Fish Market Center. The catfish’s market channels started from farmers and then went to local collectors about 82 percent and Fresh Fish Market Centers about 18 percent. The catfish in Fresh Fish Market Centers was spread by wholesalers about 77 percent and processers about 23 percent. After that wholesalers sent products to retailers about 52 percent and food shop about 25 percent. The processers sent products to food shop about 10 percent and consumers about 13 percent. The total products were sent to customer in the last point. The market margin of the catfish business from farmers to consumers was about 20 Baht/Kg. Retailers earned the highest about 15 Baht/Kg, followed by the wholesalers about 3 Baht/Kg. and the collectors about 2 Baht/Kg. Cost of marketing on local collectors was the cheapest about 1.30 Baht/Kg, followed by wholesalers about 1.54 Baht/Kg and retailers about 6.43 Baht/Kg. The profit per cost on retailers was the largest about 15.96 percent, followed by wholesalers about 3.35 percent and local collectors about 1.69 percent respectively. The structure market of catfish business in collectors market was oligosony because the most products was bought by collectors. They can control price in this market. The wholesalers market was oligopoly, wholesalers can control price from collectors. There are not many traders in these two markets because capital investment are high. Also reliability in this business is needed. The retailers market has a lot of buyer and vendor. This market is competitive rather than other markets. The retailers market was monopolistic competition. The problem of the catfish business can be divided into two main problems: first there is the production problem. There are the poor quality of the catfish species being farmed and the lack of fingerlings in winter. Also, the cost of production, especially the cost of feed was high. Moreover, farm management was inefficient. The farmers lacked cooperation in buying feed and selling their production. There is a lack of working capital. Secondly the problem of marketing, farmer could not set price in the catfish market because the catfish market is the monopolistic competition. Middle merchants usually set price in this market. Also the Fresh Fish Market Centers are not enough in Thailand; most of them are located in cities and belong to the private sectors. The study area did not have enough processing factories and cold storage. The product does not have Good Aquaculture practices standard (GAP) which is disadvantage to export. The suggestions for solving this problems in structure of the catfish business are as follow: first, the production aspect, the Department of Fisheries should conduct research and development in quality of catfish species and cultivate enough fingerling for farmers for winter cultivation. Knowledge of and education in GAP standards should be given to farmers. Also, the standard after catching and the standard control transport to market. Farmers should be made aware of GAP standard and trained in how to apply these standards to their catfish production. This training should include the practice standard for after catch and transportation to market. Farmers should be supported to cooperate to form clusters so that they can increase strength and have the power to set prices in the catfish markets. Government should encourage farmers to produce feed by themselves so that they can decrease the cost of production. For the market aspect, the government should encourage farmers to do contract farming between the farmer groups and business groups, to limit the role of middle merchants. The processing factories, cold storage, and the Fresh Fish Market Centers should be located near the catfish farms to reduce transport cost and improve the quality of the product. Research and development of quality processing and transport systems, and application of GAP standard should be conducted to ensure the consumer has access to high quality product. This would encourage consumers to eat more fish for healthier life.
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เผยแพร่โดย: กรมประมง
คำสำคัญ: ปลาดุก
คำสำคัญ (EN): Marketing System
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
การศึกษาการผลิตและระบบการตลาดปลาดุกในภาคกลางของประเทศไทย
กรมประมง
30 กันยายน 2552
กรมประมง
การผลิต การตลาด และความต้องการใช้ดาหลาในพื้นที่ภาคใต้ การพัฒนาระบบน้ำหมุนเวียนสำหรับการเลี้ยงปลาดุกลูกผสม (Clarias macrocephalus X C. gariepinus) การศึกษาการผลิตธัญชาติหุงสุกเร็ว การใช้ระบบ Fisheries Map เพื่อการบริหารจัดการข้อมูลเชิงพื้นที่จับสัตว์น้ำ การวิจัยและพัฒนาระบบการเลี้ยงและการตลาดโคเนื้อในจังหวัด นครศรีธรรมราช การผลิตปลาสวายโมงขนาด ๑ นิ้วด้วยอัตราความหนาแน่นต่างกัน ในรางระบบน้าหมุนเวียน การเลี้ยงปลานิลในกระชังด้วยระบบ LVHD (การเลี้ยงปลานิลแปลงเพศในกระชังด้วยอัตราความหนาแน่นสูง) การวิเคราะห์ระบบการตลาดปลาช่อนในอำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น การประยุกต์ใช้สมุนไพรในภาคตะวันออกเพื่อการเก็บรักษาน้ำเชื้อปลาดุกอัฟริกันแบบแช่แข็ง การจัดการระบบการตลาดปลาสวายในบริเวณอ่างเก็บน้ำเขื่อนอุบลรัตน์จังหวัดขอนแก่น
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก