สืบค้นงานวิจัย
ฤทธิ์ชีวภาพของผงบดละเอียดและสารสกัดจากใบและเมล็ดน้อยหน่า ทุเรียนเทศและน้อยโหน่งในการป้องกันกำจัดด้วงถั่วเขียว
พัชราภรณ์ วาณิชย์ปกรณ์ - มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย
ชื่อเรื่อง: ฤทธิ์ชีวภาพของผงบดละเอียดและสารสกัดจากใบและเมล็ดน้อยหน่า ทุเรียนเทศและน้อยโหน่งในการป้องกันกำจัดด้วงถั่วเขียว
ชื่อเรื่อง (EN): Bioactivity of Leaf and Seed Powders and Extracts of Annona squamosa, Annona muricata and Annona reticulata against Pulse Beetle (Callosobruchus maculatus F.)
บทคัดย่อ: บทคัดย่อ การทดสอบฤทธิ์ชีวภาพของสารสกัด และผงบดจากเมล็ดและใบ น้อยหน่า น้อยโหน่ง และ ทุเรียนเทศต่อตัวเต็มวัยของด้วงถั่วเขียวในห้องปฏิบัติการ โดยฤทธิ์ชีวภาพที่ศึกษาประกอบด้วย ฤทธิ์ฆ่าแมลง ฤทธิ์ไล่แมลง ฤทธิ์ยับยั้งการวางไข่ ฤทธิ์ยับยั้งการเกิดลูกรุ่นใหม่ และการป้องกันความเสียหายของเมล็ดที่เกิดจากการทำลายของแมลง สารสกัดที่ใช้ทดสอบได้แก่ สารสกัดปิโตรเลียมอีเทอร์ สารสกัดเอทิลอะซิเตรท สารสกัดอะซิโตน และสารสกัดเอทานอล ความเข้มข้น 0.25, 0.5, 1, 2 และ 4% (น้ำหนัก/ปริมาตร) ผงบดจากพืชทดสอบ ใช้อัตรา 0.05, 0.1, 0.2, 0.4 และ 0.8 กรัม/เมล็ดถั่วเขียว 20 กรัม คิดเป็นความเข้มข้น 0.25, 0.5, 1, 2 และ 4% (น้ำหนัก/น้ำหนัก) ผลการทดสอบพบว่า สารสกัดจากพืชทั้ง 3 ชนิด มีฤทธิ์ฆ่าแมลง โดยสารสกัดเอทิลอะซิเตรทจากใบน้อยโหน่ง และสารสกัดปิโตรเลียมอีเทอร์จากใบน้อยหน่า มีพิษทางกระเพาะอาหารสูงสุด โดยมีค่า LC50 ที่เวลาสี่วันหลังการทดสอบเท่ากับ 0.02% ในขณะที่ค่า LC50 ของสารสกัดที่เหลืออยู่ในช่วง 0.03-2.26% ส่วนพิษทางสัมผัส พบว่า สารสกัดเอทานอลและสารสกัดอะซิโตนจากใบทุเรียนเทศ มีพิษสูงสุด โดยมีค่า LC50 ที่เวลาสามวันหลังการทดสอบเท่ากับ 0.14% ในขณะที่สารสกัดเอทิลอะซิเตรทจากใบน้อยหน่า มีพิษต่ำสุด โดยมีค่า LC50 เท่ากับ 1.58% ในกรณีของพิษทางการรม พบว่า สารสกัดเอทานอลจากเมล็ดน้อยหน่า มีพิษสูงสุด ซึ่งค่า LC50 ของสารสกัดดังกล่าว ที่เวลาสามวันหลังการทดสอบเท่ากับ 0.08% ส่วนสารสกัดปิโตรเลียมอีเทอร์จากเมล็ดน้อยโหน่ง มีพิษต่ำสุด (ค่า LC50 เท่ากับ 1.51%) สารสกัดจากพืชทั้ง 3 ชนิดยังมีฤทธิ์ยับยั้งการวางไข่ และมีฤทธิ์ยับยั้งการเกิดลูกรุ่นใหม่ รวมทั้งลดความเสียหายของเมล็ดพันธุ์ ที่เกิดจากการทำลายของแมลง โดยสารสกัดปิโตรเลียมอีเทอร์จากใบน้อยหน่า มีฤทธิ์สูงสุดในการยับยั้งการวางไข่ และยับยั้งการเกิดลูกรุ่นใหม่ โดยพบไข่ของแมลงน้อยสุด 94.00-110.75 ฟอง/เมล็ด 20 กรัม และมีอัตรายับยั้งการเกิดลูกรุ่นใหม่ของแมลง 87.67-89.62% ตามลำดับ สารที่มีฤทธิ์รองลงมาได้แก่ สารสกัดเอทานอลจากเมล็ดน้อยหน่า ซึ่งสารสกัดเอทานอลจากเมล็ดน้อยหน่า ยังลดความเสียหายของเมล็ด ที่เกิดจากการทำลายของแมลงได้สูงสุด โดยพบเมล็ดที่เสียหาย 11.43-19.48% และพบน้ำหนักเมล็ดที่สูญหาย 0.81-3.65% รองลงมาได้แก่ สารสกัดปิโตรเลียมอีเทอร์จากใบน้อยหน่า พบความเสียหายของเมล็ด 14.67-21.26 % และพบน้ำหนักเมล็ดที่สูญหาย 1.50-7.54% นอกจากนี้ยังพบว่า สารสกัดทุกชนิด มีฤทธิ์ไล่แมลง โดยสารสกัดเอทานอลและสารสกัดอะซิโตนจากเมล็ดน้อยหน่า มีฤทธิ์ไล่แมลงสูงสุด ในระดับปานกลางถึงสูงมาก 51.4-87.8 และ 59.5-84.6% ตามลำดับ ในขณะที่สารสกัดปิโตรเลียมอีเทอร์จากเมล็ดน้อยหน่า มีฤทธิ์ไล่แมลงต่ำสุด อยู่ในระดับต่ำมากจนถึงสูง (16.8-62.1%) ผลการทดสอบฤทธิ์ชีวภาพของผงเมล็ดและผงใบน้อยหน่า น้อยโหน่ง และทุเรียนเทศ ที่มีต่อตัวเต็มวัยของด้วงถั่วเขียว พบว่า ผงเมล็ดและผงใบของพืชทั้ง 3 ชนิด มีฤทธิ์ฆ่าแมลง ฤทธิ์ยับยั้งการวางไข่ ฤทธิ์ยับยั้งการเกิดลูกรุ่นใหม่ รวมทั้งลดความเสียหายของเมล็ดที่เกิดจากการทำลายของแมลงโดยผงเมล็ดน้อยหน่ามีพิษสูงสุด ซึ่งความเข้มข้น 0.25-4% ทำให้แมลงตาย 100.00% ในเวลา 7 วัน หลังการทดสอบรองลงมาได้แก่ผงเมล็ดน้อยโหน่ง ผงใบน้อยหน่า ผงใบน้อยโหน่ง ผงใบและผงเมล็ดทุเรียนเทศ ตามลำดับ นอกจากนี้ผงเมล็ดน้อยหน่า ยังมีฤทธิ์สูงสุดต่อการยับยั้งการวางไข่ และยับยั้งการเกิดลูกรุ่นใหม่ ของแมลง โดยพบไข่แมลงจำนวน 231.00-302.25 ฟอง/เมล็ด 20 กรัม และยับยั้งการเกิดลูกรุ่นใหม่ 67.38-80.50% รวมทั้งลดความเสียหายของเมล็ดที่เกิดจากการทำลายของแมลงได้สูงสุด ซึ่งพบความเสียหายของเมล็ด 12.63-24.25% และพบน้ำหนักเมล็ดที่สูญหาย 6.63-16.88% รองลงมาได้แก่ ผงใบน้อยหน่า ผงเมล็ดและผงใบน้อยโหน่ง ผงใบและผงเมล็ดทุเรียนเทศ ตามลำดับ นอกจากนี้ยังพบว่าสารสกัดเอทานอลจากเมล็ดน้อยหน่า สารสกัดปิโตรเลียมอีเทอร์จากใบน้อยหน่า ผงเมล็ดและผงใบน้อยหน่า ซึ่งเป็นสารที่มีฤทธิ์ชีวภาพสูงสุดในห้องปฏิบัติการ ไม่มีผลกระทบต่อความงอกของเมล็ดถั่วเขียว เมื่อเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์เป็นเวลานาน 6 เดือน โดยผงเมล็ดและผงใบน้อยหน่า สามารถป้องกันความเสียหายของเมล็ดถั่วเขียวจากการทำลายของแมลงได้นาน 5 เดือน ในขณะที่สารสกัดเอทานอลจากเมล็ดน้อยหน่า และสารสกัดปิโตรเลียมอีเทอร์จากใบน้อยหน่า ป้องกันความเสียหายของเมล็ดถั่วเขียวจากการทำลายของแมลงได้นาน 3 เดือน ในภาพรวมพบว่าสารสกัดและผงบดของน้อยหน่า มีฤทธิ์ชีวภาพสูงสุดต่อการควบคุมด้วงถั่วเขียว รองลงมาได้แก่ สารสกัดและผงบดของน้อยโหน่งและทุเรียนเทศตามลำดับ สารสกัดและผงบดความเข้มข้นสูง ให้ผลในการควบคุมด้วงถั่วเขียวดีกว่าความเข้มข้นต่ำ จากผลการทดสอบชี้ให้เห็นว่า น้อยหน่าเป็นพืชที่มีศักยภาพสูงมาก สามารถนำมาใช้ควบคุมด้วงถั่วเขียวโดยวิธีผสมผสานได้ คำสำคัญ: น้อยหน่า, น้อยโหน่ง, ทุเรียนเทศ, ด้วงถั่วเขียว, ฤทธิ์ชีวภาพ
บทคัดย่อ (EN): Extracts and powders of leaf and seed of Annona squamosa, A. reticulata and A. muricata were evaluated in the laboratory for their insecticidal, repellent, ovipostion inhibitory, progeny production inhibitory activities, seed damage and weight loss caused by the pulse beetle, Callosobruchus maculatus (Coleoptera: Bruchidae). Petroleum ether, ethyl acetate, acetone and ethanol extracts of these plants were tested against the insect at 0.25, 0.5, 1, 2 and 4% (w/v) while the powders were tested at 0.05, 0.1, 0.2, 0.4 and 0.8/20g of mungbean seeds, corresponding to 0.25, 0.5, 1, 2 and 4% (w/w). All the plant extracts showed insecticidal activity against the insect. In ingestion toxicity, ethyl acetate leaf extract of A. reticulata and petroleum ether leaf extract of A. squamosa were the most toxic with LC50 values of 0.02% at 4 d. The LC50 values of the other extracts ranged from 0.03-2.26%. Ethanol and acetone leaf extracts of A. muricata showed the strongest contact toxicity. Their LC50 values at 3 d were 0.14%. On the contrary, ethyl acetate leaf extract of A. squamosa had the least toxicity with LC50 values of 1.58%. In fumigant toxicity, ethanol seed extract of A. squamosa was the most effective with LC50 value of 0.08% while petroleum ether seed extract of A. reticulata was the least effective with LC50 value of 1.51% at 3 d. In addition, all the plant extracts had oviposition inhibitory, progeny production inhibitory effects and reduced damage and weight loss in mungbean seeds. Petroleum ether leaf extract of A. squamosa produced the lowest eggs laid with 94.00-110.75 eggs/ 20g of seeds and gave the highest inhibition rate of progeny production with 87.67-89.62% followed by ethanol seed extract of A. squamosa. Ethanol seed extract of A. squamosa also produced the lowest seed damage (11.43-19.48%) and weight loss (0.81-3.65%) caused by C. maculatus followed by petroleum ether leaf extract of A. squamosa with seed damage and weight loss of 14.67-21.26 and 1.50-7.54%, respectively. Moreover, all extract showed repellent activity against the insect. Ethanol and acetone seed extracts of A. squamosa gave the strongest repellent activity with 51.4-87.8 and 59.5-84.6% mean repellency (class III to V), respectively. The least repellent activity with mean repellency of 16.8-62.1 (class I to IV) was observed from petroleum ether seed extract of A. squamosa. Seed and leaf powders of the three plants were also effective in controlling C. maculatus. Seed powder of A. squamosa was the most toxic with mortality of 100% at all concentrations at 7 d followed by seed powder of A. reticulata, leaf powder of A. squamosa, leaf powder of A. reticulata, leaf and seed powders of A. muricata, respectively. The seeds treated with seed powder of A. squamosa produced the lowest eggs laid with 231.00-302.25 eggs/ 20g of seeds and gave the highest inhibition rate of progeny production with 67.38-80.50%. Furthermore, it produced the lowest seed damage (12.63-24.25%) and weight loss (6.63-16.88%). Leaf powder of A. squamosa also exhibited high effects on the insect. Ethanol seed extract, petroleum ether leaf extract, seed and leaf powders of A. squamosa were selected to valuate effects on mungbean seed protectant and seed germination monthly up to six months of storage. The selected extracts and powders at all concentrations did not affect the germination of the mungbean seeds after six months of storage. Seed and leaf powders of A. squamosa protected the seeds from insects for 5 months of storage while ethanol seed extract and petroleum ether leaf extract of A. squamosa protected the seeds for 3 months. Overall extracts and powders of A. squamosa were the most effective against the insect followed by those of A. reticulata and A. muricata, respectively. The higher concentrations of all tested extracts and powders gave better results than the lower concentrations. These results suggest that A. squamosa has high potential for use as part of integrated pest management of stored product protection against C. maculatus. Keywords: Annona squamosa, A. reticulata, A. muricata, Callosobruchus maculatus, Bioactivity
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เผยแพร่โดย: มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย
คำสำคัญ: ด้วงถั่วเขียว
เจ้าของลิขสิทธิ์: สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
ฤทธิ์ชีวภาพของผงบดละเอียดและสารสกัดจากใบและเมล็ดน้อยหน่า ทุเรียนเทศและน้อยโหน่งในการป้องกันกำจัดด้วงถั่วเขียว
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย
30 กันยายน 2557
การติดตามตรวจสอบสารกลุ่มโพลีไซคลิกอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอนในอากาศริมถนนโดยใช้ใบไม้ในเขตจังหวัดนนทบุรี ประสิทธิภาพของผงเมล็ดน้อยหน่าที่มีต่อด้วงถั่วเขียวในการเก็บรักษาเมล็ดถั่วเขียว ฤทธิ์ฆ่าแมลงของสารสกัดทุเรียนเทศ:ทางเลือกที่มีประสิทธิภาพและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพื่อการป้องกันกำจัดหนอนใยผัก การผลิต Inulin และ Oligofructose จากกล้วยเพื่อใช้เป็นสารเสริมอาหาร การปรับปรุงพันธุ์ถั่วเหลืองและถั่วเขียว การใช้น้ำมันหอมระเหยพืชสมุนไพรป้องกันกำจัดด้วงถั่วเขียว ปริมาณเมล็ดแข็ง คุณภาพเมล็ดพันธุ์ และองค์ประกอบทางเคมีของถั่วเขียวในฤดูแล้งและฤดูปลายฝน ผลของรังสีแกมมาที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงสีผิวและการป้องกันกำจัดด้วงถั่วเขียว Callosobruchus macutus (F.) ประสิทธิภาพของสารสกัดเมล็ดน้อยโหน่งที่มีต่อหนอนใยผัก เทคโนโลยีการผลิตน้อยหน่า และน้อยหน่าลูกผสม
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก