สืบค้นงานวิจัย
การทดสอบพันธุ์อ้อยลูกผสมชุด มข.1999 ภายใต้เขตเกษตรนิเวศต่างๆ และการ ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความหนาแน่นของรากกับผลผลิตของอ้อยพันธุ์ต่างๆ
ประสิทธิ์ ใจศิล - มหาวิทยาลัยขอนแก่น
ชื่อเรื่อง: การทดสอบพันธุ์อ้อยลูกผสมชุด มข.1999 ภายใต้เขตเกษตรนิเวศต่างๆ และการ ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความหนาแน่นของรากกับผลผลิตของอ้อยพันธุ์ต่างๆ
ชื่อเรื่อง (EN): Yield Comparison of Sugarcane Series KKU 1999 under Diverse Agro-ecological Zone and Relationship Between Root Length Density and Yield in Different Sugarcane Cultivars.
ผู้แต่ง / หัวหน้าโครงการ: ประสิทธิ์ ใจศิล
ผู้แต่ง / หัวหน้าโครงการ (EN): Prasit Jaisil
หน่วยงานสังกัดผู้แต่ง:
บทคัดย่อ: การทดสอบพันธุ์อ้อยในท้องถิ่นที่มีสภาพทางนิเวศเกษตรแตกต่างกัน เป็นขั้นตอนหนึ่งที่สำคัญในงานปรับปรุงพันธุ์พืช เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการแนะนำพันธุ์อ้อยที่เหมาะสมในแต่ละท้องถิ่น ในการทดลองที่ 1 นำพันธุ์อ้อยลูกผสมชุด มข. 1999 จำนวน 2 พันธุ์ คือ มข.1999-03 และ มข.1999-06 ไปทดสอบผลผลิตร่วมกับอ้อยพันธุ์ดีเด่นอีก 14 พันธุ์ จากหน่วยงานต่างๆคือ กรมวิชาการเกษตร สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และมหาวิทยาลัยขอนแก่น ใช้แผนการทดลองแบบ RCBD 4 ซ้ำ ระยะปลูก 1.50 x 0.50 เมตร ขนาดแปลงย่อย 8.0 x 6.0 ตารางเมตร ใช้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดิน อัตรา100 กก./ไร่ แบ่งใส่ 2 ครั้ง ตอนปลูกและเมื่ออ้อยมีอายุได้ประมาณ 4 เดือน ทำการปลูกทดสอบจำนวน 19 แห่ง คือ อ.คูเมือง จ.บุรีรัมย์ อ.กระนวน จ.ขอนแก่น อ.กุมภวาปี จ.อุดรธานี อ.ตากฟ้า และ อ.เก้าเลี้ยว จ.นครสวรรค์ อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก อ.ศรีสำโรง จ.สุโขทัย อ.วัฒนานคร จ.สระแก้ว อ.แก้งสนามนาง อ.คง และอ.พิมาย จ.นครราชสีมา อ.บัวเชด จ.สุรินทร์ อ.บ่อพลอย อ. ด่านมะขามเตี้ย และ อ.เมือง จ.กาญจนบุรี อ.ทรายทองวัฒนา จ.กำแพงเพชร อ.ศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์ อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี และอ.ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี ทำการทดลองระหว่างเดือน พฤศจิกายน 2553-มกราคม 2554 สำหรับแปลงปลูกอ้อยปลายฝนในเขตน้ำฝน และระหว่างเดือนเมษายน - เดือนมิถุนายน 2554 สำหรับแปลงปลูกอ้อยต้นฝนโดยอาศัยน้ำฝน ผลการทดลองพบว่า อ้อยพันธุ์ มข.1999-03 ให้ผลผลิตอ้อยปลูกอยู่ในระดับสูงในการทดสอบที่ อ.กระนวน จ.ขอนแก่น อ.ตากฟ้า จ.นครสวรรค์ อ.วัฒนานคร จ.สระแก้ว อ.คง จ.นครราชสีมา และอ.ศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์ ส่วนพันธุ์มข.1999-06 ให้ผลผลิตอ้อยปลูกอยู่ในระดับสูงในการทดสอบที่ อ.คูเมือง จ.บุรีรัมย์ อ.กระนวน จ.ขอนแก่น อ.ตากฟ้า และอ.เก้าเลี้ยว จ.นครสวรรค์ อ.วัฒนานคร จ.สระแก้ว และ อ.พิมาย จ.นครราชสีมา อย่างไรก็ตามจะต้องติดตามผลการประเมินในอ้อยตออีกครั้งหนึ่ง เพื่อประกอบการตัดสินใจ แนะนำพันธุ์ที่เหมาะสมให้กับชาวไร่อ้อยต่อไป การทดลองที่ 2 เป็นการศึกษารูปแบบการพัฒนาของราก ซึ่งเป็นลักษณะหนึ่งที่มีศักยภาพในการนำมาใช้ในการคัดเลือกพันธุ์อ้อยทนแล้ง แต่องค์ความรู้ในเรื่องนี้ยังมีจำกัด การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์ที่จะประเมินลักษณะการกระจายของรากอ้อยสายพันธุ์ต่างๆ ที่ปลูกในสภาพดินเหนียวและดินทรายโดยอาศัยน้ำฝน และหาความสัมพันธ์ระหว่างการกระจายของรากกับการให้ผลผลิตอ้อยสด ปลูกอ้อย 5 พันธุ์ (MPT98-2789, MPT99-94, MPT99-447, K84-200 และ K88-92) โดยใช้แผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ภายในซ้ำ มี 4 ซ้ำ ในแปลงทดลองของบริษัทมิตรผลวิจัยพัฒนาอ้อยและน้ำตาล จำกัด จำนวน 2 แปลง ซึ่งมีลักษณะเนื้อดินแตกต่างกัน โดยใช้ระยะปลูก 130 x 30 เซนติเมตร ปลูกแปลงที่หนึ่งในดินเหนียวที่ ต.โคกสะอาด อ.ภูเขียว จ.ชัยภูมิ ระหว่างเดือนมีนาคม 2551 ถึงมีนาคม 2552 และปลูกแปลงที่สองในดินทรายที่ ต.กวางโจน อ.ภูเขียว จ.ชัยภูมิ ระหว่างเดือนธันวาคม 2551 ถึงธันวาคม 2552 ประเมินลักษณะการกระจายตัวของรากเมื่ออ้อยมีอายุ 8 เดือน ที่ 3 ตำแหน่ง คือ กลางกอ, ระหว่างกอ และระหว่างแถว ที่ระดับความลึก 0-90 เซนติเมตร ผลการศึกษาพบว่า ที่ระดับดินชั้นบน (0-30 เซนติเมตร) อ้อยพันธุ์ MPT98-2789 มีความหนาแน่นของรากมากที่สุดในตำแหน่งกลางกอ ส่วนอ้อยพันธุ์ K88-92 มีความหนาแน่นของรากมากที่สุดในตำแหน่งระหว่างแถว ส่วนที่ระดับดินชั้นล่าง (30-90 เซนติเมตร) พบว่า อ้อยพันธุ์ K88-92 มีความหนาแน่นของรากมากที่สุด ในตำแหน่งระหว่างกอและระหว่างแถวเมื่อปลูกทดสอบในดินทั้ง 2 ชนิด การกระจายตัวของรากที่มีความสัมพันธ์กับการให้ผลผลิตอ้อยสดและองค์ประกอบผลผลิตอ้อยมากที่สุด เมื่อปลูกทดสอบในดินเหนียว คือ ตำแหน่งระหว่างกอที่ระดับดินชั้นล่าง (30-90 เซนติเมตร) โดยมีค่าสหสัมพันธ์กับผลผลิตอ้อยสดและจำนวนลำต่อกอของอ้อย เท่ากับ 0.92* และ 0.96** ตามลำดับ ส่วนการปลูกทดสอบในดินทราย ตำแหน่งระหว่างกอและตำแหน่งระหว่างแถวที่ระดับดินชั้นบน (0-30 เซนติเมตร) มีค่าสหสัมพันธ์กับผลผลิตอ้อยสด เท่ากับ 0.96** และ 0.87* ตามลำดับ ส่วนระดับดินชั้นล่าง (30-90 เซนติเมตร) ตำแหน่งระหว่างแถวมีค่าสหสัมพันธ์กับน้ำหนักลำอ้อย เท่ากับ 0.90* โดยทั้ง 2 ชนิดดิน พบว่า อ้อยพันธุ์ K88-92 เป็นพันธุ์ที่มีการกระจายตัวของรากมากที่สุดในตำแหน่งและระดับชั้นดินดังกล่าว และยังให้ผลผลิตสูงที่สุด คือ 21.96 ตันต่อไร่ เมื่อปลูกทดสอบในดินเหนียว และ 20.71 ตันต่อไร่ เมื่อปลูกทดสอบในดินทราย
บทคัดย่อ (EN): Yield trials of sugarcane under diverse conditions are the important step of breeding procedure which can be identified the suitable variety for growing in each agro-ecological zone. In the first experiment, sugarcane varieties i.e. KKU99-03 and KKU99-06 were used to compare with 14 varieties from various institutes i.e. Department of Agriculture, Office of the Cane and Sugar Board, Kasetsart University and Khon Kaen University. The trials were laid out in RCB, 4 replications, 1.50 x 0.50 m spacing and plot size 8.0 x 6.0 m. Fertilizer application base on soil analysis at the rate of 100 kg/rai was used twice, basal application and about 4 months after planting. The trials were conducted at 19 locations i.e. Khu Mueang, Buri Ram ; Kranuan, Khon Kaen ; Kumphawapi, Udon Thani ; Tak Fa and Kao Liao, Nakhon Sawan ; Bang Rakam, Phitsanulok ; Si Samrong, Sukhothai ; Watthana Nakhon, Sa Kaeo ; Kaeng Sanam Nang, Khong and Phimai, Nakhon Ratchasima ; Buachet, Surin ; Bo Phloi, Dan Makham Tia and Mueang, Kanchanaburi; Sai Thong Watthana, Kamphaeng Phet ; Si Thep, Phetchabun ; Phatthana Nikhom, Lop Buri and Dan Chang, Suphan Buri. The trials were conducted during November 2010 to January 2011 for late rainy season and April to June 2011 for early rainy season under rainfed base. The results revealed that sugarcane variety KKU99-03 was among the group which gave high cane and sugar yield at Kranuan, Khon Kaen ; Tak Fa, Nakhon Sawan ; Wattana Nakhon, Sa Kao; Khong, Nakhon Ratchasima and Si Thep, Phetchabun. KKU99-06 gave high yield at Khu Muang, Buri Ram; Kranuan, Khon Kaen; Tak Fa and Kao Liao, Nakhon Sawan; Wattana Nakhon, Sa Kaeo and Phimai, Nakhon Ratchasima. However, we have to continue evaluation in ratoon cane at least one more year for making decision to select the suitable variety for further recommendation. In the second experiment, root development pattern is a character that has potential for use in selecting for drought resistance in sugarcane, but the body of knowledge on this trait is still limited. The objectives of this study were to determine root length density (RLD) of five sugarcane varieties grown in clayey and sandy soils under rainfed conditions and evaluate its relationship with cane yield. Five sugarcane varieties (MPT98-2789, MPT99-94, MPT99-447, K84-200 and K88-92) were planted in a randomized complete block design with four replications at two experimental fields of Mitrphol Sugar Corp., Ltd. These field were different in soil textures and a spacing of 130 x 30 cm. was used in both fields. The first trial was conducted in clayey soil during March 2008 to March 2009 in Koksaad subdistrict, Phukieo district, Chaiyaphum province, and the second trial was carried out in sandy soil during December 2008 to December 2009 in Kwangjone subdistrict, Phukieo district, Chaiyaphum province, RLD was evaluated at eight months after planting from three positions (at the center of the plant, between plants within rows and between rows) at the depths of 0-90 cm. At the depths of 0-30 cm the sugarcane variety MPT98-2789 and K88-92 showed the highest RLD at the center of the plant and between rows respectively, whereas the variety K88-92 had the highest root length density between plant within rows and between rows at the depths of 30-90 cm. in both locations. RLD between rows at the depth of 0-30 cm showed the highest correlation with cane yield and number stalk per stool (r = 0.92 p?0.05 and 0.96 p?0.01 respectively) in clayey soil, whereas root length density at the depth of 0-30 cm had the highest correlation with cane yield (r = 0.96 p?0.01 and 0.87 p?0.05, respectively) RLD between rows at the depths of 30-90 cm had the highest correlation with stalk weight (r = 0.90 p?0.01) in sandy soil. The variety K88-92 showed the highest RLD at the depth of 30-90 cm. in both locations, and it also gave the highest cane yield in both soils, being 21.96 tons per rai in clayey soil and 20.71 tons per rai in sandy soil.
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เผยแพร่โดย: มหาวิทยาลัยขอนแก่น
คำสำคัญ: ความหนาแน่นของราก
คำสำคัญ (EN): root length density
เจ้าของลิขสิทธิ์: สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
การทดสอบพันธุ์อ้อยลูกผสมชุด มข.1999 ภายใต้เขตเกษตรนิเวศต่างๆ และการ ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความหนาแน่นของรากกับผลผลิตของอ้อยพันธุ์ต่างๆ
มหาวิทยาลัยขอนแก่น
2554
การเปรียบเทียบพันธุ์อ้อยลูกผสมชุด มข.1999 ภายใต้เขตเกษตรนิเวศต่างๆ เปรียบเทียบการใช้ชนิดและปริมาณปุ๋ยอินทรีย์ในการปลูกอ้อยเพื่อเกษตรกรรายย่อยใน อำเภอศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ โครงการวิจัยการปรับปรุงพันธุ์อ้อย อ้อยพันธุ์อู่ทอง 84-10 การประเมินเชื้อพันธุกรรมอ้อยป่าเพื่อใช้ในการปรับปรุงพันธุ์อ้อยพลังงาน โครงการ : การทดสอบผลผลิตอ้อยโคลนก้าวหน้าในระดับภูมิภาค (อ้อยตอปีที่ 1) การประเมินพันธุ์อ้อยโคลนดีเด่นภายใต้สภาพอาศัยน้ำฝน การคัดเลือกพันธุ์อ้อยเพื่อเพิ่มผลผลิตอ้อยและคุณภาพอ้อยลูกผสม ชุด CSB10 ขั้นที่ 4 เปรียบเทียบพันธุ์มาตรฐาน ในอ้อยปลูก อ้อยตอ 1 และอ้อยตอ 2 การประเมินผลผลิตและลักษณะทางการเกษตรของอ้อยลูกผสมชุด มข. 1999 ในแหล่งปลูกที่มีสภาพนิเวศเกษตรต่างกัน อ้อยอเนกประสงค์โคลนพันธุ์ SRS2000-5-14
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก