สืบค้นงานวิจัย
การศึกษาเปรียบเทียบประสิทธิผลการนวดไทยกับการใช้ ยาไดโคลฟีแนค (Diclofenac) ในการลดอาการปวดบ่า
คัญฑมารา สิทธิไกรพงษ์ ส.ม. - กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก
ชื่อเรื่อง: การศึกษาเปรียบเทียบประสิทธิผลการนวดไทยกับการใช้ ยาไดโคลฟีแนค (Diclofenac) ในการลดอาการปวดบ่า
ชื่อเรื่อง (EN): Comparative Study the Efficacy of Thai Massage and Analgesic Drug (Diclofenac) to Relief Shoulder Pain
ผู้แต่ง / หัวหน้าโครงการ: คัญฑมารา สิทธิไกรพงษ์ ส.ม.
ผู้แต่ง / หัวหน้าโครงการ (EN): Kantamara Sitikaipong, M.P.H.
หน่วยงานสังกัดผู้แต่ง:
ชุดเอกสาร: การศึกษาเปรียบเทียบประสิทธิผลการนวดไทยกับการใช้ ยาไดโคลฟีแนค (Diclofenac) ในการลดอาการปวดบ่า
บทคัดย่อ: การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง เปรียบเทียบประสิทธิผลการนวดไทยกับการใช้ยาไดโคลฟี แนค โดยแบ่งกลุ่มอาสาสมัครจํานวนกลุ่มละ 30 คน กลุ่มที่ 1 ได้รับการนวดไทย 4 สัปดาห์ ๆ ละ 2 ครั้ง และนัดติดตามผล1 ครั้งหลังการนวดครั้งสุดท้าย 2วัน กลุ่มที่ 2 ได้รับยา ไดโคลฟี แนค ขนาด 25 มิลลิกรัม ตามดุลพินิจของแพทย์ติดตามผล 3 ครั้ง ประเมินประสิทธิผลด้วยการวัดองศาการเคลื่อนไหว และการวัดความทนต่อแรงกดเจ็บวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติ เปรียบเทียบความแตกต่างก่อนและหลังการรักษา ระหว่างกลุ่มโดยใช้สถิติ t-testเปรียบเทียบความแตกต่างก่อนและหลังการรักษาภายในกลุ่มโดยใช้สถิติ pair t-test ผลการวิจัยพบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุ 31 – 40 ปี มีอาชีพรับจ้าง ลักษณะงานที่ทําอยู่ในท่ายืนหรือเดินนานๆ และนั่งทํางานพิมพ์ดีด มีอาการปวดกล้ามเนื้ อบ่า/ไหล่ ลักษณะอาการปวดตื่อๆ 6 เดือนถึง 1 ปี มากที่สุด เคยได้ รับการนวดมาก่อน จากการประเมินประสิทธิผลการวิจัยพบว่า กลุ่ มที่ได้ รับการนวด องศาการเคลื่อนไหวของคอมากขึ้นกว่าก่อนทดลองอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ (p<0.05) กลุ่มที่ได้รับยาไดโคลฟี แนค พบว่า องศาการเคลื่อนไหวไม่ต่างกัน ส่วนผลการวัดความทนต่อแรงกดเจ็บในกลุ่มที่ได้รับการนวดพบว่า บ่าด้านขวาดีขึ้น หลังการนวดครั้งที่ 2 ส่วนด้านซ้ายดีขึ้นหลังการนวดครั้งที่ 5 อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ (p<0.05) ส่วนกลุ่มที่ได้รับยาความทนต่อแรงกดเจ็บได้ดีขึ้นอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ (p<0.05) ครั้งที่ 1 แต่ครั้งที่ 2 ความทนต่อแรงกดเจ็บลดลงอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ (p<0.05) ผลการเปรียบเทียบประสิทธิผลระหว่างกลุ่มที่ได้รับการนวดและการใช้ยาไดโคลฟี แนค พบว่า ทั้ง 2 กลุ่ม องศาของการก้มหน้าและเงยหน้า ไม่แตกต่างกัน ส่วนองศาของการเอียงคอด้านซ้ายและขวา กลุ่มที่ได้รับการนวด เอียงคอได้มากกว่ากลุ่มที่ได้รับยาอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ (p<0.05) ส่วนความทนต่อแรงกดเจ็บกลุ่มทีได้รับยา ทนต่อแรงกดเจ็บดีกว่ากลุ่มที่ ได้รับการนวดอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ (p<0.05) วิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติ เปรียบเทียบความแตกต่างก่อนและหลังการรักษา ระหว่างกลุ่มโดยใช้สถิติ t-test เปรียบเทียบความแตกต่างก่อนและหลังการรักษาภายในกลุ่มโดยใช้สถิติ pair t-test ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุ 31 – 40 ปี มีอาชีพรับจ้าง ลักษณะงานที่ทําอยู่ในท่ายืนหรือเดินนานๆ และนั่งทํางานพิมพ์ดีด มีอาการปวดกล้ามเนื้อบ่า/ไหล่ ลักษณะอาการปวดตื้อๆ 6 เดือนถึง 1 ปี มากที่สุด เคยได้รับการนวดมาก่อน จากการประเมินประสิทธิผลการวิจัยพบว่า กลุ่มที่ได้รับการนวด องศาการ เคลื่อนไหวของคอมากขึ้นกว่าก่อนทดลองอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ (p<0.05) กลุ่มที่ได้รับยาไดโคลฟี แนค พบว่า องศาการเคลื่อนไหวไม่ต่างกัน ส่วนผลการวัดความทนต่อแรงกดเจ็บในกลุ่มที่ได้รับการนวดพบว่า บ่าด้านขวาดีขึ้น หลังการนวดครั้งที่ 2 ส่วนด้านซ้ายดีขึ้นหลังการนวดครั้งที่ 5 อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ (p<0.05) ส่วนกลุ่มที่ได้รับยา ความทนต่อแรงกดเจ็บได้ดีขึ้นอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ (p<0.05) ครั้งที่ 1 แต่ครั้งที่ 3 ความทนต่อแรงกดเจ็บลดลง อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ (p<0.05) ผลการเปรียบเทียบประสิทธิผลระหว่างกลุ่มที่ได้รับการนวดและการใช้ยา ไดโคลฟี แนค พบว่า ทั้ง 2 กลุ่ม องศาของการก้มหน้าและเงยหน้า ไม่แตกต่างกัน ส่วนองศาของการเอียงคอด้านซ้าย และขวา กลุ่มที่ได้รับการนวด เอียงคอได้มากกว่ากลุ่มที่ได้รับยาอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ (p<0.05) ส่วน ความทนต่อแรงกดเจ็บกลุ่มทีได้รับยา ทนต่อแรงกดเจ็บดีกว่ากลุ่มที่ได้รับการนวดอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ (p<0.05)
บทคัดย่อ (EN): The objective of this study was to compare the effectiveness of Thai massage and a analgesic drug, diclofenac, in the reduction of shoulder pain. It was conducted as a case-control study comprising of a study group and a control group, 30 volunteers eash. The study group received Royal Thai massage two times per week for four weeks; and the results were assessed during the follow-up session at 2 days after the last session. The control group received 25 mg of diclofinac, 3 doses per day for 7 days, followed by physician instruction whether addtional dosages were needed; and a similar data collection form as the study group was used. The control volunteers were appointed for following-up on day 1, 7 and 32. Assessment of effectiveness was performed by comparing the span of angle movement and pressure pain threshold; and the data were analyzed using the t-test between the 2 groups and the pair t-test within each group. It was found that most volunteers were female employees aged 31-40. The nature of their worh required long standing, long walking or desk typing. Both groups had dull shoulder pain for the period of 6 months to 1 year. As for the effectiveness assessment, volunteers in the study group had significantly better flexibility at neck and shoulder muscle (p<0.05). However, the test for shoulder pain endurance at the left and right side revealed that those who used diclofinac could endure the pain more than those who had massage. The authors concluded that Thai massand should be an option for pain reduction and improvement of joint flexibility. This traditional wisdom could also help reducing complication from routine use of analgesic medicine.
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เลขที่อ้างอิง: N/A
เอกสารแนบ: http://ttdkl.dtam.moph.go.th/Module7/frmc_home_research_show.aspx?r_id=NzY=
เผยแพร่โดย: กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก
คำสำคัญ: ยาไดโคลฟีแนค
คำสำคัญ (EN): diclofenac
หมวดหมู่:
หมวดหมู่ AGRIS:
เจ้าของลิขสิทธิ์: กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
การศึกษาเปรียบเทียบประสิทธิผลการนวดไทยกับการใช้ ยาไดโคลฟีแนค (Diclofenac) ในการลดอาการปวดบ่า
กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก
2557
ประสิทธิผลของการนวดแผนไทยในการรักษาภาวะสะบักจม ประสิทธิผลการนวดไทยด้วยน้ำมันหอมระเหยในการกระตุ้นระบบภูมิต้านทานในผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักที่รับเคมีบำบัด ผลของการนวดไทยที่มีต่อความเครียดทางด้านจิตใจบ่งชี้โดยความแปรปรวนของอัตราการเต้นของหัวใจและระดับการทำงานของเรนินในเลือดในผู้ที่มีสุขภาพดี การศึกษาเปรียบเทียบประสิทธิผลของการนวดไทยแบบราชสำนักกับยาทาไดโคลฟีแนกในการรักษาไหล่ติด การศึกษาเปรียบเทียบประสิทธิผลของการนวดไทยแบบราชสำนักกับ Diclofenac ในผู้ป่วยปวดเข่าจากโรคข้อเข่าเสื่อม ผลการใช้เมล็ดฝ้ายทดแทนอาหารข้นสำหรับโคกำลังรีดนม ผลการใช้แร่ธาตุต่อความเข็มข้นของระดับแร่ธาตุในเลือดโคที่ปล่อยแทะเล็มในสภาพทุ่งหญ้าธรรมชาติ การศึกษาเปรียบเทียบประสิทธิผลของการออกกำลังกายแบบโยคะ ฤๅษีดัดตนและการยืดกล้ามเนื้อเพื่อลดอาการปวดคอและบ่าในกลุ่มพนักงานสำนักงาน การศึกษาเปรียบเทียบการใช้หญ้าสดกับเปลือกสับปะรดเป็นอาหารโค การศึกษาประสิทธิผลและความปลอดภัยของยาตำรับเบญจกูลในการรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมปฐมภูมิเทียบกับยาไดโคลฟิแนค (งานวิจัยคลินิกระยะที่ 2)
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก