สืบค้นงานวิจัย
การบำบัดดินที่ปนเปื้อนด้วยสารตะกั่วโดยใช้พืชในพื้นที่ชุ่มน้ำ
Kunaporn Homyog - มหาวิทยาลัยมหิดล
ชื่อเรื่อง: การบำบัดดินที่ปนเปื้อนด้วยสารตะกั่วโดยใช้พืชในพื้นที่ชุ่มน้ำ
ชื่อเรื่อง (EN): Treatment of lead-contaminated soil by wetland plants : the hydroponic and batch studies
ผู้แต่ง / หัวหน้าโครงการ (EN): Kunaporn Homyog
บทคัดย่อ: จากการศึกษาความผันแปรของฤดูกาลที่มีผลต่อความเข้มข้นของสารตะกั่วในดินพืชและความหลากหลายของ พรรณพืชเป็นเวลา 1 ปีในเหมืองตะกั่วบ่องาม ประเทศไทย 2 บริเวณ คือ ขุมเหมืองที่ติดกับแหล่งน้ำและพื้นที่บนบกถัดจาก ขุมเหมืองขึ้นมาพบว่าฤดูกาลมีผลต่อความเข้มข้นของสารตะกั่วในดินโดยเดือนกรกฏาคมมีความเข้มข้นของตะกั่วต่ำที่สุด (0.6%) และเดือนตุลาคมมีความเข้มข้นตะกั่วสูงที่สุด(>11%)ในพืชส่วนมากจะสะสมตะกั่วสูงที่สุดในช่วงฤดูฝน(เดือน พฤษภาคม-ตุลาคม) และสะสมตะกั่วต่ำที่สุดในช่วงฤดูแล้ง(เดือนพฤศจิกายน-เมษายน) พืชที่พบส่วนใหญ่เป็นไม้ยืนต้นแต่ มีบางชนิดเป็นไม้ล้มลุก มีพืช 12 ชนิดที่พบทั้งสองพื้นที่ที่ทำการศึกษาพืช 17 ชนิดที่สะสมตะกั่วในส่วนต้นมากกว่า 1,000 มก/กก แต่มีเพียง 6 ชนิดที่มีค่า TF มากกว่า 1 คือ Ageratum conyzoides, Buddleja asiatica, Chromolaena odoratum, Conyza sumatrensis, Mimosa pudica และ Sonchus arvensis ซึ่งพืชเหล่านี้ เหมาะสำหรับนำไปบำบัดพื้นที่ที่มีการปนเปื้อนด้วยสารตะกั่ว สำหรับการศึกษาประสิทธิภาพการสะสมสารตะกั่วในตะกอนดินจากเหมืองบ่องามระหว่าง Cyperus iria กับ Typha angustifolia พบว่าพืชทั้งสองชนิดสามารถเจริญเติบโตได้ดีโดยเฉพาะ C. iria ที่ออกดอกและแตกต้นใหม่ ตะกั่วสะสมมากที่สุดบริเวณราก (4,550 และ 6,383.33 มก/กก ของ C. iria และ T. angustifolia ตามลำดับ) รากที่ แผ่กระจายแนวนอนของ C. iria สามารถดูดซับตะกั่วบริเวณผิวดินได้ดีขณะที่รากที่ยาวลึกลงของ T. angustifolia สามารถดูดซับตะกั่วในดินระดับที่ลึกลงไปได้ดีจากนั้นได้นำ C. iria มาศึกษาประสิทธิภาพการสะสมโลหะหนักสาม ชนิด (ตะกั่ว, แคดเมียม, สังกะสี) เทียบกับ C. flavidus ในสภาวะไร้ดินเป็นระยะเวลา 15 วัน พบว่าพืชทั้งสองชนิด สะสมตะกั่วได้ดีที่สุดเมื่อระยะเวลาเพิ่มขึ้นโดยสะสมมากที่สุดบริเวณราก 38,000 มก/กก ใน C. iria และ 13,666.7 มก/กก ใน C. flavidus เนื่องจากกลูทาไทโอนและไฟโทคีลาตินที่สังเคราะห์ขึ้นในพืชตอบสนองต่อโลหะหนักที่พืชได้รับจึงได้ ทำการศึกษาการเปลี่ยนแปลงปริมาณโปรตีนทั้งสองชนิดใน C. iria ที่ตอบสนองต่อตะกั่ว, แคดเมียม, สังกะสี เป็นเวลา 8 วัน พบว่าโปรตีนทั้งสองชนิดตอบสนองต่อแคดเมียมมากกว่าสังกะสีและตะกั่ว ตามลำดับ โดยกลูทาไทโอนสะสมบริเวณ ส่วนต้นมากกว่าในราก ขณะที่ไฟโทคีลาตินสะสมบริเวณรากมากกว่าส่วนต้น โปรตีนทั้งสองชนิดพบในปริมาณสูงสุด 2-4 วันแรกหลังจากได้รับโลหะหนัก จากการทดลองนี้จะเห็นว่าโปรตีนทั้งสองชนิดนี้มีระดับการตอบสนองต่อโลหะ ต่างชนิดได้ต่างกัน และจากการทดลองข้างต้นแม้ว่า C. iria จะไม่ใช่พืชที่สะสมโลหะหนักในส่วนต้นได้ดีแต่ก็มี ประสิทธิภาพในการดูดซับโลหะหนักไว้บริเวณรากไม่ให้ถูกชะล้างไปปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อมได้ดี
บทคัดย่อ (EN): Seasonal and spatial variations in Pb concentrations in soils, plants, and Pb tolerantplant species diversity, were studied in two different sampling sites at an open pit mine area, the pond site (PS) and land site (LS). Pb content in soil and plants was seasonally dependent. The lowest Pb concentrations in soils were found in July (0.6%) and highest in October (>11%). Most plants had the highest Pb content during May to October (wet season) and the lowest during November to April (dry season). Most plants were perennials with some annuals. Twelve species were common at both sampling sites. There were a total of 17 plant species that had Pb accumulation in shoots >1,000 mg/kg, however, only six species: Ageratum conyzoides, Buddleja asiatica, Chromolaena odoratum, Conyza sumatrensis, Mimosa pudica and Sonchus arvensis, showed a translocation factor >1. Under a 15-day hydroponic condition, the accumulation efficiency of three metals (Pb, Cd, Zn) by C. iria and C. flavidus was compared. Pb was the metal which was most accumulated in the roots (38,000 mg/kg and 13,666.7 mg/kg in C. iria and C. flavidus, respectively). Glutathione (GSH) and phytochelatin (PC2 and PC3) synthesis was the response of plants to metal toxicity. The contents changes in C. iria were studied by varying concentration of Pb, Cd, and Zn in the solution for 8 days. Responds corresponded to Cd>Zn>Pb. The GSH content was detected in shoots>roots (1.92>0.82 mmol/mg), whereas the PC content was detected in roots>shoots (56.04>53.19 and 0.86>0.68 mmol/mg for PC2 and PC3, respectively). The maximum GSH and PC contents were detected between day 2 to day 4 and gradually decreased. For batch study, Cyperus iria and Typha angustifolia grew well in the Pb contaminated soil for 3 months. New tillers and flowers were produced in C. iria but not in T. angustifolia. The highest Pb accumulation in roots of C. iria and T. angustifolia were 4,550 and 6,383 mg/kg DW, respectively. The shallow roots of C. iria were able to remove Pb from the surface soil, whereas the long deep-roots of T. angustifolia removed Pb from the subsurface soil. Although C. iria is not a hyperaccumulator plant, it has a good potential for use in the phytostabilization process in a constructed wetland system
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เอกสารแนบ: http://dcms.thailis.or.th/dcms/dccheck.php?Int_code=126&RecId=877&obj_id=437
เผยแพร่โดย: มหาวิทยาลัยมหิดล
คำสำคัญ (EN): Soil absorption and adsorption
เจ้าของลิขสิทธิ์: มหาวิทยาลัยมหิดล
รายละเอียด: จากการศึกษาความผันแปรของฤดูกาลที่มีผลต่อความเข้มข้นของสารตะกั่วในดินพืชและความหลากหลายของ พรรณพืชเป็นเวลา 1 ปีในเหมืองตะกั่วบ่องาม ประเทศไทย 2 บริเวณ คือ ขุมเหมืองที่ติดกับแหล่งน้ำและพื้นที่บนบกถัดจาก ขุมเหมืองขึ้นมาพบว่าฤดูกาลมีผลต่อความเข้มข้นของสารตะกั่วในดินโดยเดือนกรกฏาคมมีความเข้มข้นของตะกั่วต่ำที่สุด (0.6%) และเดือนตุลาคมมีความเข้มข้นตะกั่วสูงที่สุด(>11%)ในพืชส่วนมากจะสะสมตะกั่วสูงที่สุดในช่วงฤดูฝน(เดือน พฤษภาคม-ตุลาคม) และสะสมตะกั่วต่ำที่สุดในช่วงฤดูแล้ง(เดือนพฤศจิกายน-เมษายน) พืชที่พบส่วนใหญ่เป็นไม้ยืนต้นแต่ มีบางชนิดเป็นไม้ล้มลุก มีพืช 12 ชนิดที่พบทั้งสองพื้นที่ที่ทำการศึกษาพืช 17 ชนิดที่สะสมตะกั่วในส่วนต้นมากกว่า 1,000 มก/กก แต่มีเพียง 6 ชนิดที่มีค่า TF มากกว่า 1 คือ Ageratum conyzoides, Buddleja asiatica, Chromolaena odoratum, Conyza sumatrensis, Mimosa pudica และ Sonchus arvensis ซึ่งพืชเหล่านี้ เหมาะสำหรับนำไปบำบัดพื้นที่ที่มีการปนเปื้อนด้วยสารตะกั่ว สำหรับการศึกษาประสิทธิภาพการสะสมสารตะกั่วในตะกอนดินจากเหมืองบ่องามระหว่าง Cyperus iria กับ Typha angustifolia พบว่าพืชทั้งสองชนิดสามารถเจริญเติบโตได้ดีโดยเฉพาะ C. iria ที่ออกดอกและแตกต้นใหม่ ตะกั่วสะสมมากที่สุดบริเวณราก (4,550 และ 6,383.33 มก/กก ของ C. iria และ T. angustifolia ตามลำดับ) รากที่ แผ่กระจายแนวนอนของ C. iria สามารถดูดซับตะกั่วบริเวณผิวดินได้ดีขณะที่รากที่ยาวลึกลงของ T. angustifolia สามารถดูดซับตะกั่วในดินระดับที่ลึกลงไปได้ดีจากนั้นได้นำ C. iria มาศึกษาประสิทธิภาพการสะสมโลหะหนักสาม ชนิด (ตะกั่ว, แคดเมียม, สังกะสี) เทียบกับ C. flavidus ในสภาวะไร้ดินเป็นระยะเวลา 15 วัน พบว่าพืชทั้งสองชนิด สะสมตะกั่วได้ดีที่สุดเมื่อระยะเวลาเพิ่มขึ้นโดยสะสมมากที่สุดบริเวณราก 38,000 มก/กก ใน C. iria และ 13,666.7 มก/กก ใน C. flavidus เนื่องจากกลูทาไทโอนและไฟโทคีลาตินที่สังเคราะห์ขึ้นในพืชตอบสนองต่อโลหะหนักที่พืชได้รับจึงได้ ทำการศึกษาการเปลี่ยนแปลงปริมาณโปรตีนทั้งสองชนิดใน C. iria ที่ตอบสนองต่อตะกั่ว, แคดเมียม, สังกะสี เป็นเวลา 8 วัน พบว่าโปรตีนทั้งสองชนิดตอบสนองต่อแคดเมียมมากกว่าสังกะสีและตะกั่ว ตามลำดับ โดยกลูทาไทโอนสะสมบริเวณ ส่วนต้นมากกว่าในราก ขณะที่ไฟโทคีลาตินสะสมบริเวณรากมากกว่าส่วนต้น โปรตีนทั้งสองชนิดพบในปริมาณสูงสุด 2-4 วันแรกหลังจากได้รับโลหะหนัก จากการทดลองนี้จะเห็นว่าโปรตีนทั้งสองชนิดนี้มีระดับการตอบสนองต่อโลหะ ต่างชนิดได้ต่างกัน และจากการทดลองข้างต้นแม้ว่า C. iria จะไม่ใช่พืชที่สะสมโลหะหนักในส่วนต้นได้ดีแต่ก็มี ประสิทธิภาพในการดูดซับโลหะหนักไว้บริเวณรากไม่ให้ถูกชะล้างไปปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อมได้ดี
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
การบำบัดดินที่ปนเปื้อนด้วยสารตะกั่วโดยใช้พืชในพื้นที่ชุ่มน้ำ
Kunaporn Homyog
มหาวิทยาลัยมหิดล
2551
การบำบัดน้ำเสียในพื้นที่ชุ่มน้ำที่ปนเปื้อนแคดเมียมโดยใช้พืช การบำบัดดินที่ปนเปื้อนน้ำมันเตาโดยใช้พืช ความสัมพันธ์ระหว่างการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินกับสมดุลน้ำในพื้นที่ชุ่มน้ำ กรณีศึกษาเขตห้ามล การใช้ระบบภูมิสารสนเทศเพื่อประเมินความต้องการใช้น้ำของพืชเศรษฐกิจในตำบลแม่ทา อำเภอแม่ออน จังหวัดเชียงใหม่ ผลของความเข้มข้นของน้ำเสียต่อประสิทธิภาพการบำบัดของพื้นที่ชุ่มน้ำที่สร้างขึ้นที่ปลูกพันธุ์ไม้ชายเลน การหาปริมาณน้ำมันและสารไฮโดรคาร์บอนจากพืชน้ำยางเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงเหลว การประยุกต์ใช้แบบจำลองเพื่อศึกษาความสมดุลย์ของน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำย่อยจังหวัดเพชรบุรี การพัฒนาแบบจำลองน้ำหลากผิวดินเชิงอุทกวิทยาเพื่อใช้สำหรับปากแม่น้ำที่ได้รับอิทธิพลจากน้ำขึ้น-น้ำลง ปัจจัยที่มีผลต่อการยอมรับมาตรการอนุรักษ์ดิน โดยใช้วัสดุอินทรีย์ในระบบพืชที่มีพืชน้ำมันเ การศึกษาการบรรเทาอุทกภัยในลุ่มน้ำยมโดยใช้พื้นที่ทุ่งน้ำท่วมธรรมชาติในบริเวณจังหวัดสุโขทัย
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก