สืบค้นงานวิจัย
โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พื้นที่มหาวิทยาลัยนเรศวร พะเยา อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา ปีที่ 4
เสวียน เปรมประสิทธิ์ - มหาวิทยาลัยนเรศวร
ชื่อเรื่อง: โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พื้นที่มหาวิทยาลัยนเรศวร พะเยา อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา ปีที่ 4
ชื่อเรื่อง (EN): Plant Genetic Conservation Project under the Royal Initiative of Her Royal Highness Princess Maha Chakri Sirindhorn at Naresuan University, Phayao, Amphoe Muang, Phayao Province, 4 rd year.
ผู้แต่ง / หัวหน้าโครงการ: เสวียน เปรมประสิทธิ์
บทคัดย่อ: การศึกษาความหลากหลายและโครงสร้างของสังคมพืชปาต็งรังในมหาวิทยาลัยนเรศวร พะเยา อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา ปีที่ 4ทำกรเก็บรวบรวมตัวอย่างพรรณไม้ที่เป็นไม้ยื่นต้นในเขตมหาวิทยาลัย นเรศวร พะเยา ในพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นป่าเต็งรัง สามารถเก็บตัวอย่างไม้ยืนต้นได้ 75 ชนิด โดยไม้ที่เป็นไม้ เด่นคือ ไม้เต็ง ไม้รัง และไม้เหี่ยง การสำรวจและรวบรวมพันธุ์พืชให้สี่ย้อม บริเวณพื้นที่มหาวิทยาลัยพะเยาในโครงการอนุรักษ์ พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริอันเนื่องมาจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี การสำรวจและรวบรวมพันธุ์พืชที่มีคุณสมบัติในการเป็นพืชให้สีย้อม ภายในพื้นที่มหาวิทยาลัยพะเยา ระหว่างเดือน ธันวาคม 2552-ธันวาคม 2553 โดยใช่วิธีกาs point centered quarter method พบพันธุ์พืช ทั้งหมด 13 วงศ์ 16 สกุล รวมทั้งสิ้น 18 ชนิด สาบเสือ (Eupatorium odoratum Limn.) มีความถี่ที่พบสูงสุด 45.89% คราม (Indigofara tinctoria L.) พบความถี่ 7.25% รกฟ้ (Terminalia alata Heyne ex Roth.) พบความถี่ 4.67% ประดู่ป่า (Terocarpus macrocarpus Kurz,) พบความถี่ 1.4% กระบก (Ivingia malaxena Qlk ExA.) พบคว ามถี่ 1.29% เพก1 (Qroylum indicum (L.) Kurz.) พบความถี่ 0.58% มะกอกป่า (Sponcias pinnata Kurz.) พบความถี่ 0.55% และดอกดินแดง (Aeginetia indica Roxb.) พบความถี่ต่าที่สุด 0.48%การติดตามตรวจสอบคุณภาพน้ำของแหล่งนำในพื้นที่ปกปักพันธุกรรมพืชมหาวิทยาลัยนเรศวร พะเยาทำการติดตามตรวจสอบคุณภาพน้ำของแหล่งน้ำผิวดินในพื้นที่โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืช มหาวิทยาลัยพะเยา จำนวน 4 แหล่งน้ำ ได้แก่อ่างเก็บน้ำแห่งที่ 1 แหล่งน้ำดิบสำหรับผลิตน้ำประปา อ่าง เก็บน้ำแห่งที่ 2 และบ่อพักน้ำหน้าหอพักนิสิตใหม่ โดยเก็บตัวอย่างเดือนละ 1 ครั้ง ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2552 ถึงเดือนตุลาคม 2553 ผลการศึกษาพบว่าอ่างเก็บน้ำแห่งที่ 1 แหล่งน้ำดิบสำหรับผลิตน้ำประปา และ อ่างเก็บน้ำแห่งที่ 2 จัดอยู่ในมาตรฐานคุณภาพน้ำประเภทที่ 4 ส่วนบ่อพักน้ำหน้าหอพักนิสิตใหม่จัดอยู่ใน มาตรฐานคุณภาพน้ำประเภทที่ 5 เมื่อจำแนกแหล่งน้ำโดยใช้ความอุดมสมบูรณ์ของแหล่งน้ำเป็นตัวแบ่ง พบว่าอ่างเก็บน้ำแห่งที่ 1 แหล่งน้ำดิบสำหรับผลิตน้ำประปา และอ่างเก็บน้ำแห่งที่ 2 เป็นแหล่งน้ำที่มีความ อุดมสมบูรณ์ปานกลาง (mesotrophic ส่วนบ่อน้ำหน้าหอพักนิสิตใหม่เป็นแหล่งน้ำที่มีความอุดมสมบูรณ์ สูง (eutrophic ซึ่งควรมีการฝ้ระวังหรือมาตรการในการฟื้นฟูและลดผลกระทบด้นมลพิษในแหล่งน้ำโดยเฉพาะบ่อพักน้ำหน้าหอพักนิสิตใหม่เพื่อให้เป็นแหล่งน้ำที่สามารถใช้ประโยชน์ในการอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ น้ำต่อไป การศึกษาความสัมพันธ์ะหว่างเห็ดเอคโตไมคอไรซ่าและพืชอาศัยเพื่อการใช้ประโยชน์ในการฟื้นฟู ป่ไม้การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างเห็ดเอคโตไมคอไรซ่าและพืชอาศัยเพื่อการใช้ประโยชน์ในการฟื้นฟูปา ไม้ โดยทำการสำรวจชนิดเห็ดที่มีการดำงชีวิตเป็นเอคตไมคอร์รซา ในพื้นที่มหาวิทยาลัยพะเยา ผลการ สำรวจและก็บตัวอย่างดอกเห็ดในบริเวณมหวิทยาลัยพะเยา จังหวัดพะเยา พบเห็ด 14 ชนิด เป็นเห็ดที่ สามารถรับประทานได้ 11 ชนิด และเห็ดที่รับประทานไม่ได้ 3 ชนิด ซึ่งเป็นเห็ดเอคโตไมคอร์ไรซา 11 ชนิด จากนั้นเก็บตัวอย่างรากพืชเพื่อนำมาส่องดูการเข้าอาศัยของเอคโตไมคอร์ไรซาภายในรากด้วยกล้อง จุลทรรศน์ พบว่ารากพืชที่มีเห็ดแดงน้ำหมากขึ้นอยู่ด้วย มีเปอร์เซ็นต์การเข้าอาศัยของเอคโตไมคอร์ไรซา มากที่สุดเท่ากับ 65.63% เมื่อนำเชื้อเห็ดไปเพาะเลี้ยงในอาหารสังเคราะห์พบว่าเห็ดตับเต่าสามารถเลี้ยง ในอาหารสังเคราะห์ได้ จึงทำไปปลูกในตันกล้ำไม้ยืนต้น พบว่าต้นกล้ำที่ปลูกด้วยเชื้อเห็คตับเต่าเจริญได้ ดีกว่าที่ไม่ได้ปลูกเชื้อ ซึ่งสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของต้นไม้ต่อไปการทำห้องสมุดซีดีเอ็นเอของพืชกลุ่มปทุมมาและกระเจียวการทำห้องสมุดซีดีเอ็นเอ (CDNA Ibrary) ของกระเจียว(ขับจีนัสยูเคอคูมา) จากการสำรวจพบในเขตพื้นที่มหาวิทยาลัยพะเยา โดยเก็บ รวบรวมและนำมาทำการสกัดอาร์เอ็นเอ หลังจากนั้นทำการสังเคราะห์ First strand cDNA แล้วนำมาเพิ่ม ปริมาณดีเอ็นเอด้วยเทคนิค Polymerase chain reaction (PCR) นำชิ้นส่วน cDNA มาเชื่อมต่อเข้ากับดี เอ็นเอพาหะ p257RT แล้วส่งถ่ายเข้าสู่ซลล์ผู้รับคือ Escherichia coli สายพันธุ์ DH5-( บนอาหาร เลี้ยงเชื้อ LB-Amplicilli/X-gal agar plate และทำการตรวจสอบแบคทีเรียที่ได้รับดีเอ็นเอสายผสม (recombinant DNA) โดยการแยกพลาสมิดูโดยวิธี Alkaline (Maniatis et al, 1982) ทำการตรวจสอบพ ลาสมิดูโดยการตัดด้วยเอนไซม์ตัดจำเพาะได้แก่ EcoR! และ Ps! โดยการวิเคราะห์โดยใช้เทคนิค Agarose Gel Electrophoresis ปรากฎว่ามีแบคที่เรียที่ได้รับการส่งถ่ายยีนจำนวน 48 โคลนที่ได้รับการส่ง ถ่ายยื่น หลังจากกรสุ่มหาลำดับเบสจำนวน 3 โคลนพบว่า มีจำนวน 1 โคลนที่มี DNA ที่เข้ารหัสเกี่ยวกับ ยีนที่เกี่ยวข้องกับการผลิตเอรีลีนในดอกไม้ส่วนอีก 2 โคลนเป็นลำดับที่ไม่เหมือนยีนใดใน ฐานข้อมูล Genbank (National Center for Biotechnology Information)จากการศึกษาความแตกต่างของพืชในกลุ่มปทุมมาและกระเจียว (Curcuma spp.) จากตัวอย่าง 4 ชนิดที่สำรวจพบในมหาวิทยาลัยพะเยา โดยการวิเคราะห์ด้วยเทคนิคอาร์เอพีดี (Random Amplified Polymorphic DNA ;RAPD) โดยใช้ไพร์เมอร์แบบสุ่มจำนวน 50 ไพร์เมร์ และมีไพเมอร์ที่ทำให้เกิด PCRproduct 20 ชนิดได้แก่ OPN-02, OPN-03, OPN-09, OPN-12, OPO-14, OPP-11, OPH-15, OPH-17, OPH-19, OPR-15, OPR-20, OPW-09, OPX-13, OPAU-08, OPM-02, OPAQ-05, OPM-19, OPM-14, OPK-13 แล ะOPU-01 โดยตัวอย่างของพืชจะถูกสกัดจีโนมิคดีเอ็นเอ (Genomic DNA) ด้วยวิธี Doyle and Doy le, 1990 และนำไปเพิ่มปริมาณโดยใช้ไพร์เมร์แต่ละชนิดในเทคนิคปฎิกิริยาลูกโซ่ (PCR analysis) (Mallis et al, 1984) ผลการวิเคราะห์รูปแบบลายพิมพ์โดยวิธีอาร์อาร์เอพีดีพบว่ไพร์เมอร์OPH-15และ oPH-17 ที่สามารถแดงแถบดีเอ็นเอของตัวอย่างระหว่างปทุมมาและกระเจียวได้ โดยไพร์เมอร์ OPH-15 ทำให้เกิดแถบดีเอ็นเอ4 แถบ ในพืชปทุมมาแล: 7 แถบในพืชกระเจียว ในขณะที่ไพร์เมอร์ OPH-17 ทำให้ เกิดแถบตัวอย่างในพืชปทุมมา 9 แถบและ 4 แถบในพืชกระเจียว อย่างไรก็ตามพบว่าไพเมอร์ชนิดอื่นๆ มี ลายพิมพ์จากการทำพีซีอาร์ (PCP product) ที่มีรูปแบบเดี่ยวกันระหว่างพืชปทุมมาและกระเจียว โดยไม่ สามารถแสดงแตกต่างกันระหว่างพืชกลุ่มปทุมมาและกระเจียวได้ในการศึกษานี้มีจุดประสงค์เพื่อ ทอสอบฤทธิ์ทางชีวภาพของลิกแนนจากสารสกัดเมทานอลของไม้ ยืนต้นที่กระจายตัวอยู่ในพื้นที่ ป่าเต็งรังมหาวิทยาลัยนเรศวรพะเยาในระหว่างเดือนมกราคม 2552 เก็บ ตัวอย่างพืชได้ทั้งหมด 80 ตัวอย่างจัดอยู่ใน 32 วงศ์ เมื่อนำมาคัดกรองด้วยเทคนิค Thin Ilayer chromatography (TLC) โดยใช้ silica gal 60 F.ex aluminiun sheet และใช้ คลอโรฟอร์ม : เมทานอล (10:1) เป็นเฟสเคลื่อนที่ พบว่ามี band ที่มีค่า R, เท่ากับสารมาตรฐาน podophy/lotoxin ในพืชตัวอย่าง เพียง 15 วงศ์ ได้แก่ Araliaceas, Asclepiadaceae, Bignoniaceae, gelastraceas, Ericaceae, Euphorbiaceae Flacourtiaceae Labiatae.Leguminosae.caesalpinoideae.heguminosae. Papiliodeae, Myreceae, Ochnaceae, Opiliaceae, Rubiaceae, และ Stychnaceae จากการคัดกรอง ด้วย TLC พบลิกแนนในวงศ์ Leguminsae-Paplliongideas มากที่สุด จากการนำชิ้นส่วนตาเหง้ของพืชสกุลกระเจียว (Curcuma ecomata Craib.) มาทำ การ เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อในสภาพปลอดเชื้อ โดยใช้สูตรอาหารพื้นฐาน MS และ สูตรอาหารพื้นฐาน MS ที่เติม ฮอร์โมนส์ BA ความเข้มข้น 20 JM จะมีประสิทธิภาพมากที่สุดในการชักนำให้เกิดเป็นต้นอ่อนที่สมบูรณ์ โดยให้จำนวนหน่อต่อต้นเฉลี่ย 4.06 หน่อต่อต้น ความสูงของต้นเฉลี่ย 3.97 เซนติเมตร และความสมบูรณ์ ของต้นอ่อน มีค่าเฉลี่ย 3.83 หน่อต่อต้นการอนุรักษ์พันธุ์พืชโดยใช้ถูกดินเผาเพื่อการให้น้ำแบบ อัตนมัติโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชฯ พื้นที่ มหาวิทยาลัยนเรศวร พะเยาการศึกษาวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของระบบการให้น้ำและปุยใต้ผิวดินโดยใช้ซรามิคต่อการเจริญเติบโตของผักกูด พบว่าการให้น้ำโดยเซรามิคทรงกลมมี ปริมาณเฉลี่ยน้อยที่สุด คือ 341.18 มิลลิลิตร/วัน รองลงมาคือ การให้น้ำโดยใช้เซรามิคทรงวงแหวน และ การให้น้ำแบบปกติ มีปริมาณน้ำเฉลี่ย 381.61 และ 1000 มิลลิลิตร/วัน ตามลำดับ ดังนั้นการให้น้ำแบบ ปกติมีการใช้น้ำสิ้นเปลืองถึง 3 เท่า เมื่อเปรียบกับการให้น้ำแบบเซรามิค ส่วนการเจริญเติบโตของพืชด้าน ความยาวใบ ปริมาณผลผลิต ปริมาณคลอโรฟิลล์ และปริมาณไนโตรเจน ของพืชที่มีการให้น้ำแบบใช้ เซรามิคทรงวงแหวนมีประสิทธิภาพการเจริญเติบโตมากกว่า และระยะเวลาในการออกยอดกับจำนวนยอด ที่เกิดใหม่ ของพืชที่มีการให้น้ำแบบใช้เซรามิคท งกลมมีการเจริญเติบโตดีกว่าชุดการทดลองอื่น แต่ เนื่องจากปริมาณการใช้น้ำของเซรามิคทรงกลมและทรงวงแหวนมีความใกล้เคียงกันจึงถือได้ว่าการใช้น้ำ แบบเซรามิคทรงวงแหวนมีประสิทธิภาพการเจริญที่ดีกว่า และการทดลองที่ให้ปุ๋ยที่ความเข้มข้น 1, 2 และ 3 กรัมลิตร แก่พืชโดยให้น้ำทุกแบบข้างต้น พบว่าที่ความเช้มข้น 3 กรัมลิตร ร่วมกับการให้น้ำใต้ผิวดินจะ ทำให้พืชมีการเจริญเติบโตดีที่สุด สรุปคือการให้น้ำใต้ผิวดินโดยใช้เซรามิคทรงวงแหวนและการให้ปุยที่ ความเข้มช้น 3 กรัมลิตร มีความเหมาะสมที่สุดต่อการเจริญเติบโตของผักกูดในการทดลองนี้โครงการขยายพันธุ์ไม้ป่าสู่ชุมชนในพื้นที่โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาพระราชดำริ มหาวิทยาลัยนเรศวร พะเยา ทำการเก็บรวบรวมเมล็ดพันธุ์ไม้ป่าในพื้นที่ รอบๆมหาวิทยาลัยพะเยา (มหาวิทยาลัยนเรศวร พะเยา) จากนั้นนำเมล็ดมาแซในสารเคมีชนิดต่างๆเพื่อเพิ่มอัตราการงอก โดยนำเมล็ด สะเดาทำการแช่ในสารละลายฮโดรเจนเปร์กไซ.05 เปร์เซ็นต์ เมล็ดมะเม่าสายทำการแช่ใน สารละลายกรดแอสคอร์บิคุ 200 มิลลิกรัมต่อลิตร เมล็ดมะแควุ่น ทำการแชในสารละลายโพแทสเซียมไนเต รท 1 เปร์เซ็นต์ เมล็ดมะช่วงทำการแช่ในสารละลายกรดจิบเบอเรลิน 0.05 เปร์เซ็นต์ และเมล็ดหว้าทำ การแช่สารละลายพแทสเซียมนเตรทที่ระดับความเข้มข้น 2 เปอร์เซ็นต์ เพื่อเพิ่มเปอร์เซ็นต์การงอก จากนั้น นำตั๋นกล้ามาแจกจ่ายให้กับนักเรียน นิสิต บุคลากร และเกษตรกรผู้สนใจการศึกษาความเป็นไปได้ในการปลูกโอลีฟในมหาวิทยาลัยนเรศวร พะเยา มะกอกโอลีฟเป็นพืชที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสนพระทัยและมีพระราชดำริให้มีการศึกษา วิจัยในด้านต่างๆ โดยเฉพาะ การเจริญเติบโตในสภาพพื้นที่ของประเทศไทยและการให้ผลผลิตน้ำมันมะกอกสามารถนำมาใช้ประโยชน์ ได้ เช่น การแปรูรูปมะกอก เครื่องสำอางค์ การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการใส่ปุย ไนโตรเจน ปุ้ยคอก และสารปรับปรุงดินชนิดต่างๆ ต่อการเจริญเติบโตของมะกอกโอลีฟพันธุ์ Abequina ที่ ปลูกในพื้นที่มหาวิทยาลัยพะเยา ทำการวางแผนการทดลองแบบ Randomized Completely Block Design (RCBD) 4 กรรมวิธีๆ ละ 3 ซ้ำ ผลการศึกษาลักษณะทางการเกษตร พบว่า การให้ปุ๋ยสูตร ยูเรีย(46-0-0) +ร๊อคฟอตเฟต์ (0-3-0) + สารปรับปรุงดินภูมิกซ์ อัตราส่วน 100 กรัมต่อต้นต่อเดือน (กรรมวิธีที่ 3) สามารทำให้ต้นมะกอกโอลีฟ มีการเจริญเติบโตที่ดีและให้ค่าความสูงต้นสูงที่สุด เท่ากับ 90.46 เซนติเมตร และยังพบว่ามีปริมาณธาตุไนโตรเจนและโพแทสเซียมมากที่สุด คือ 2.33 เปอร์เซ็นต์ และ 3.28 มิลลิกรัมต่อกิโลกร้ม ตามลำดับ ซึ่งมีความแตกต่งอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ กับชุดควบคุมที่ไม่มีการให้ ปุ้ย ส่วนการให้ปุยสูตร รีอคฟอตเฟต (0-3-0) +สารปรับปรุงดินภูมิกซ์ อัตราส่วน 100 กรัมต่อต้นต่อเดือน (กรรมวิธีที่ 2) พบว่าสามารถเพิ่มขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางลำต้น และจำนวนกิ่งต่อต้น ได้สูงกว่ากรรมวิธีอื่นๆ โดยให้ค่าเฉลี่ย เท่ากับ 16.42 เซนติเมตร และ 10.51 กิ่ง ตามลำดับ และยังพบปริมาณฟอสฟอรัสมากที่สุด คือ 0.19 มิลลิกรัมต่อกิลกรัม ซึ่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ สำหรับการวิเคราะห์ปริมาณ ของธาตุอาหารในดินที่ตกค้างในแปลงทดลองหลังสิ้นสุดการทดลอง มีการตรวจสอบพบไนโตรเจน เท่ากับ 3.5 กรัมต่อกิโลกรัม ฟสฟรัสเท่ากับ 2.6 มิลิกรัมต่อกิโลกรัม โพแสเซียม เท่ากับ 1.50 มิลลิกรัมต่อ กิโลกรัม และอินทรียวัตุในดินเท่ากับ 4.6 กรัมต่อกิโลกรัมกาทดลองปลูกขยายพันธุพืชบางชนิด ที่สรวจพบในพื้นที่ โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอัน เนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พื้นที่มหาวิทยาลัยนเรศวร พะเยา อ.เมือง จ.พะเยาการขยายพืชพันธุ์ไม้บางชนิดเช่นพืชสมุนไพร พืชอาหาร พืชเศรษฐกิจ เป็นต้น ที่มี การสำรวจ พบในพื้นที่โครงการฯ โดยการเก็บรวบรวมเมล็ดพันธุ์พืชต่างๆ จำนวน 2 ชนิด ได้แก่ มะเกี๋ยง และหว้า ผลการศึกษาพบว่สารละลายโพแทสเซียมไนเตรทที่ระดับความเข้มข้น 2 เปอร์เซ็นต์ ทำให้เมล็ด ลูกหว้ามีเปอร์เซ็นต์การงอกสูงสุด โดยมีเปอร์เซ็นต์การงอกเท่ากับ 96.67 เปอร์เซ็นต์ ดัชนีความเร็วในการ งอก และค่าเฉลี่ยจำนวนวันที่ใช้ในการงอกเท่ากับ 0.23 และ 44.67 ตามลำดับ และสารละลาย โพแทสเซียมไนตรทที่ระดับความเข้มข้น 2 เปร์เซ็นต์ สารละลายกรดแอสคอร์บิกที่ระดับความเข้มข้น 400 มิลลิกรัมต่อลิตร และวิตามินบี 1 ที่ระดับความเข้มชั่น 25 เปร์เซ็นต์ ทำให้เมล็ดมะเกี๋ยงมีเปอร์เซ็นต์การ งอกสูงสุดเท่ากันคือ 83.33 เปอร์ซ็นต์ ส่วนดัชนีความเร็วในการงอกเท่ากับ 0.22, 0.19 และ0.18 ตามลำดับ ค่าเฉลี่ยจำนวนวันที่ใช้ในการงอกเท่ากับ 40, 52.67 แล: 47.67 วัน ตามลำดับ จากนั้นนำต้น กล้มาเพาะและจดบันทึกข้อมูล การเจริญเติบโตในระยะต่างๆ เป็นระยะเวลา 9 สัปดาห์พบว่าทั้งต้นกล้ำ หว้าและต้นกล้มะเกี๋ยงมีการเจริญเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีความสูง ความกว้างทรงพุ่มและจำนวนใบที่ ใกล้เคียงกัน โดยมีความสูง 22.7-26.3 เซนติมตร มีความกว้างทรงพุ่ม 17.3-21.2 เซนติเมตร และมี จำนวนใบ 16 ใบ ซึ่งเป็นระยะที่สามารถนำไปแจกจ่ายเพื่อนำไปปลูกขยายพันธุ์ต่อไปการพัฒนาวัสดุปลูกพืชจากอินทรีย์ธรรมชาติเพื่อขยายพันธุ์พืชและผักป่าการศึกษาคุณภาพทาง กายภาพของวัสดุอินทรีย์ที่นำมาพัฒนาเป็นวัสปถูก พบว่าใบพลวงมีการอุ้มน้ำได้ดีที่สุด สภาพการให้ น้ำซึมผ่านได้เร็วที่สุดคือ ไมยราบ หนาแน่นสูงที่สุดคื ใบพลวง ปริมาณอินทรียวัตถุในใบรังมีปริมาณสูงสุด คือ 61.42 % การทคสอบคุณภาพของวัสดุปลูกหลังพืชผักกูดพบว่าในวัสคุปลูกสูตร 1 มีค่าการยุบตัวน้อย ที่สุดคือ 1.717 cm ความแข็งของวัสคุปลูกในสูตร 5 มีความแข็งน้อยที่สุด คือ 0.23 kg/cm" การเจริญของผัก กูด ในสูตร 5 มีความสูงมากที่สุด คือ 21.68 cmและวัสดุปลูกสูตร 3 มีจำนวนต้นมากที่สุด คือ 2 ต้น การ ทดสอบคุณภาพของวัสคุปลูกหลังพืชผักดีงูหว้าพบว่าในวัสคุปลูกสูตร 1 มีค่าการยุบตัวน้อยที่สุดคือ 1.870 cm ความแข็งของวัสคุปลูกในสูตร 2 มีความแข็งน้อยที่สุด คือ 0.26 kg/cm การเจริญของผักดีงูหว้า ในสูตร 1 มีขนาดใบสมบูรูณ์ที่สุด คือ ใบมีความกว้าง 8.74 cm และความยาวของใบ 19.66 cm และวัสดุปลูกสูตร 3 มี จำนวนการเพิ่มมากที่สุด คือ 4 ใบ
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เอกสารแนบ: http://nuir.lib.nu.ac.th/dspace/handle/123456789/551
เผยแพร่โดย: มหาวิทยาลัยนเรศวร
คำสำคัญ: หอพรรณไม้
คำสำคัญ (EN): Herbarium
เจ้าของลิขสิทธิ์: สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พื้นที่มหาวิทยาลัยนเรศวร พะเยา อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา ปีที่ 4
มหาวิทยาลัยนเรศวร
30 กันยายน 2553
โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พื้นที่มหาวิทยาลัยนเรศวร พะเยา อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา ปีที่ 3 โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สนองพระราชดำริโดยมหาวิทยาลัยนเรศวร เพื่อศึกษาทรัพยากรทางกายภาพและชีวภาพใน พื้นที่เขื่อนสิริกิติ์ จังหวัดอุ ผลของการใช้ฝายชะลอน้ำต่อปริมาณน้ำท่า ตะกอน และการสูญเสียธาตุอาหาร ในพื้นที่ดำเนินโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืช อันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มหาวิทยาลัยนเรศวร วิทยาเ ความหลากหลายของพืชและจุลินทรีย์เพื่อสนองพระราชดำริในโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ความหลากหลายของเห็ดในพื้นที่อนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พื้นที่ปกปักพันธุกรรมพืชมหาวิทยาลัยพะเยา นิเวศวิทยา และการกระจายพันธุ์ของเห็ดเผาะในพื้นที่อนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พื้นที่ปกปักพันธุกรรมพืชมหาวิทยาลัยพะเยา การศึกษาความหลากหลายของละอองเรณูในพื้นที่โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี มหาวิทยาลัยแม่โจ้ การศึกษาความหลากหลายของละอองเรณูพืชในพื้นที่โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี มหาวิทยาลัยแม่โจ้ โครงการขยายพันธุ์ไม้ป่าสู่ชุมชนในพื้นที่โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ  มหาวิทยาลัยนเรศวร พะเยา การอนุรักษ์พันธุ์พืชโดยใช้ลูกดินเผาเพื่อการให้น้ำแบบอัตโนมัติ: โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชฯ พื้นที่ มหาวิทยาลัยนเรศวร พะเยา
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก