สืบค้นงานวิจัย
การใช้เทคโนโลยีเอ็นแคปซูเลชันเพื่อเพิ่มความคงตัวให้กับแอสตาแซนธินธรรมชาติ เพื่อประโยชน์ในการใช้เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
วรรณวิมล คล้ายประดิษฐ์ - มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ชื่อเรื่อง: การใช้เทคโนโลยีเอ็นแคปซูเลชันเพื่อเพิ่มความคงตัวให้กับแอสตาแซนธินธรรมชาติ เพื่อประโยชน์ในการใช้เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
ชื่อเรื่อง (EN): Use of Encapsulation Technology to Improve Stability of Natural Astaxanthin for Being Used as Dietary Supplement
บทคัดย่อ: การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มความคงตัวของผลิตภัณฑ์แอสตาแซนธินจากธรรมชาติด้วยเทคนิคเอ็นแคปซูเลชั่นด้วยอุลตราโซนิคอะตอมไมเซอร์ การสกัดแอสตาแซนธินจากเปลือกกุ้งด้วยวิธีทางเคมีโดยใช้เอธานอลพบว่าเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับการใช้อะซีโตนและคลอโรฟอร์ม รวมถึงวิธีการสกัดด้วยของเหลววิกฤตยิ่งยวด สารห่อหุ้มที่ใช้นั้นเตรียมจากการแปรผันความเข้มข้นของแอลจิเนตที่ความเข้มข้นร้อยละ 0.8, 1.0 และ 1.2 น้ำหนักต่อปริมาตร และไคโตแซนที่ความเข้มข้นร้อยละ 0.5, 0.7 และ 1.0 น้ำหนักต่อปริมาตร เม็ดบีดของแอสตาแซนธินที่ได้จากทรีทเมนท์ต่าง ๆ ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญด้านขนาดและน้ำหนัก อย่างไรก็ตามแอลจิเนตที่ความเข้มข้นร้อยละ 1.2 น้ำหนักต่อปริมาตรผสมกับไคโตแซนที่ความเข้มข้นร้อยละ 1.0 ให้ผลผลิตและประสิทธิภาพการกักเก็บสูงที่สุดคือร้อยละ 85.73 ? 0.25 และ 91.34 ? 91.34 ตามลำดับ การทดสอบแอสตาแซนธินที่ได้จากการห่อหุ้มภายหลังจากการเก็บรักษาเป็นเวลา 4 สัปดาห์ ด้วยวิธี TLC ปรากฏค่า Rf ของแอสตาแซนธินอิสระเท่ากับ 0.34 และค่า Rf ของแอสตาแซนธินโมโนเอสเทอร์เท่ากับ 0.50 นอกจากนี้สมบัติการต้านอนุมูลอิสระของแอสตาแซนธินจากการตรวจสอบด้วยวิธี DPPH และ Ferrous ion chelating ในทุกทรีทเมนท์มีแนวโน้มลดลงอย่างมีนัยสำคัญ การทดสอบทางด้านจุลินทรีย์และประสาทสัมผัสของผลิตภัณฑ์โยเกิร์ตเสริมเม็ดบีดแอสตาแซนธินแสดงให้เห็นว่า ผลการทดสอบทางจุลินทรีย์เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานของการผลิตโยเกิร์ต การยอมรับโดยรวมของผลิตภัณฑ์ไม่แตกต่างจากผลิตภัณฑ์ควบคุมที่ไม่เติมเม็ดบีด ผลการทดลองแสดงถึงศักยภาพของเอ็นแคปซูเลชั่นในการปกป้องสมบัติเชิงหน้าที่ของแอสตาแซนธินสำหรับใช้ในอาหาร การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มความคงตัวของผลิตภัณฑ์แอสตาแซนธินจากธรรมชาติด้วยเทคนิคเอ็นแคปซูเลชั่นด้วยอุลตราโซนิคอะตอมไมเซอร์ การสกัดแอสตาแซนธินจากเปลือกกุ้งด้วยวิธีทางเคมีโดยใช้เอธานอลพบว่าเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับการใช้อะซีโตนและคลอโรฟอร์ม รวมถึงวิธีการสกัดด้วยของเหลววิกฤตยิ่งยวด สารห่อหุ้มที่ใช้นั้นเตรียมจากการแปรผันความเข้มข้นของแอลจิเนตที่ความเข้มข้นร้อยละ 0.8, 1.0 และ 1.2 น้ำหนักต่อปริมาตร และไคโตแซนที่ความเข้มข้นร้อยละ 0.5, 0.7 และ 1.0 น้ำหนักต่อปริมาตร เม็ดบีดของแอสตาแซนธินที่ได้จากทรีทเมนท์ต่าง ๆ ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญด้านขนาดและน้ำหนัก อย่างไรก็ตามแอลจิเนตที่ความเข้มข้นร้อยละ 1.2 น้ำหนักต่อปริมาตรผสมกับไคโตแซนที่ความเข้มข้นร้อยละ 1.0 ให้ผลผลิตและประสิทธิภาพการกักเก็บสูงที่สุดคือร้อยละ 85.73 ? 0.25 และ 91.34 ? 91.34 ตามลำดับ การทดสอบแอสตาแซนธินที่ได้จากการห่อหุ้มภายหลังจากการเก็บรักษาเป็นเวลา 4 สัปดาห์ ด้วยวิธี TLC ปรากฏค่า Rf ของแอสตาแซนธินอิสระเท่ากับ 0.34 และค่า Rf ของแอสตาแซนธินโมโนเอสเทอร์เท่ากับ 0.50 นอกจากนี้สมบัติการต้านอนุมูลอิสระของแอสตาแซนธินจากการตรวจสอบด้วยวิธี DPPH และ Ferrous ion chelating ในทุกทรีทเมนท์มีแนวโน้มลดลงอย่างมีนัยสำคัญ การทดสอบทางด้านจุลินทรีย์และประสาทสัมผัสของผลิตภัณฑ์โยเกิร์ตเสริมเม็ดบีดแอสตาแซนธินแสดงให้เห็นว่า ผลการทดสอบทางจุลินทรีย์เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานของการผลิตโยเกิร์ต การยอมรับโดยรวมของผลิตภัณฑ์ไม่แตกต่างจากผลิตภัณฑ์ควบคุมที่ไม่เติมเม็ดบีด ผลการทดลองแสดงถึงศักยภาพของเอ็นแคปซูเลชั่นในการปกป้องสมบัติเชิงหน้าที่ของแอสตาแซนธินสำหรับใช้ในอาหาร
บทคัดย่อ (EN): This study was aimed to increase stability of natural astaxanthin products using encapsulation technique by ultrasonic atomizer. Chemical extraction of astaxanthin from shrimp shell by ethanol was found to be the most effective method as compared to that by the two other chemicals; acetone and chloroform, and that by supercritical fluid extraction technique. To encapsulate astaxanthin, various concentrations (% w/v) of alginate (0.8, 1.0 and 1.2) and chitosan (0.5, 0.7, and 1.0) were prepared for use as wall materials. Astaxanthin beads derived from various treatments were not significantly different in terms of size and weight. However, alginate (1.2% w/v) mixed with chitosan (1.0 % w/v) exhibited the highest percentage of yield as well as encapsulation efficiency at 85.73 ? 0.25 and 91.34 ? 91.34, respectively. After 4 weeks of storage, astaxanthin from encapsulated beads was assessed by thin layer chromatography (TLC), demonstrating orange bands at Rf of 0.34 and Rf of 0.50, representing free astaxanthin and monoester astaxanthin, respectively. In addition, antioxidant properties of encapsulated astaxanthin from all treatments tended to decrease significantly over the period of four weeks as determined by both DPPH and ferrous ion chelating methods. Application of derived encapsulated beads in yoghurt was further conducted for microbial and sensory test. All of microbial tests conformed to those of standards for yoghurt production. Overall acceptance of yoghurt added with alginate-chitosan encapsulated beads was not different from the control without such bead added. The results suggest the potential of encapsulation can protect astaxanthin functional properties for food application. This study was aimed to increase stability of natural astaxanthin products using encapsulation technique by ultrasonic atomizer. Chemical extraction of astaxanthin from shrimp shell by ethanol was found to be the most effective method as compared to that by the two other chemicals; acetone and chloroform, and that by supercritical fluid extraction technique. To encapsulate astaxanthin, various concentrations (% w/v) of alginate (0.8, 1.0 and 1.2) and chitosan (0.5, 0.7, and 1.0) were prepared for use as wall materials. Astaxanthin beads derived from various treatments were not significantly different in terms of size and weight. However, alginate (1.2% w/v) mixed with chitosan (1.0 % w/v) exhibited the highest percentage of yield as well as encapsulation efficiency at 85.73 ? 0.25 and 91.34 ? 91.34, respectively. After 4 weeks of storage, astaxanthin from encapsulated beads was assessed by thin layer chromatography (TLC), demonstrating orange bands at Rf of 0.34 and Rf of 0.50, representing free astaxanthin and monoester astaxanthin, respectively. In addition, antioxidant properties of encapsulated astaxanthin from all treatments tended to decrease significantly over the period of four weeks as determined by both DPPH and ferrous ion chelating methods. Application of derived encapsulated beads in yoghurt was further conducted for microbial and sensory test. All of microbial tests conformed to those of standards for yoghurt production. Overall acceptance of yoghurt added with alginate-chitosan encapsulated beads was not different from the control without such bead added. The results suggest the potential of encapsulation can protect astaxanthin functional properties for food application.
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เผยแพร่โดย: มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
คำสำคัญ: การใช้ประโยชน์จากเศษเหลือ
เจ้าของลิขสิทธิ์: สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
การใช้เทคโนโลยีเอ็นแคปซูเลชันเพื่อเพิ่มความคงตัวให้กับแอสตาแซนธินธรรมชาติ เพื่อประโยชน์ในการใช้เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
30 กันยายน 2554
การพัฒนาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชนิดใหม่จากแอสตาแซนธินสกัดจากเปลือกกุ้งขาว การเพิ่มความคงตัวให้กับแกมมาออริซานอลโดยใช้เทคนิคเอนแคปซูเลชั่นและการประยุกต์ใช้ในผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพ พลาสติกที่คุณใช้กับอันตรายที่แฝงมา การผลิตไข่ไก่คลอเลสเตอรอลต่ำโดยใช้สูตรอาหารเสริมผลิตภัณฑ์มะไฟจีนผง การใช้ประโยชน์จากยีสต์ผงสกัดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้อาหารในสุกรขุน การพัฒนาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากจมูกถั่วเหลืองโดยใช้เทคโนโลยีเอนไซม์ การพัฒนาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากจมูกถั่วเหลืองโดยใช้เทคโนโลยีเอนไซม์ การใช้ประโยชน์ของเทคโนโลยีชีวภาพในการเพิ่มมูลค่าข้าวโพด การใช้ประโยชน์ของเทคโนโลยีชีวภาพในการเพิ่มมูลค่าข้าวโพด การปรับปรุงความคงตัวของน้ำสลัดมะเขือเทศโดยใช้ไมโครเอนแคปซูเลชัน
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก