สืบค้นงานวิจัย
ศักยภาพการผลิตยางของสวนยางเปิดกรีดในภาคตะวันออก
ปราณี พัฒนศรีสกุล - การยางแห่งประเทศไทย
ชื่อเรื่อง: ศักยภาพการผลิตยางของสวนยางเปิดกรีดในภาคตะวันออก
ผู้แต่ง / หัวหน้าโครงการ: ปราณี พัฒนศรีสกุล
บทคัดย่อ: การวิจัยศักยภาพการผลิตของสวนยางเปิดกรีดในภาคตะวันออก 5 จังหวัด อยู่ในเขตปลูกยางเดิม 3 จังหวัด ได้แก่ จังหวัด ระยอง จันทบุรี และตราด อีก 2 จังหวัดอยู่ในเขตปลูกใหม่ได้แก่ จังหวัด ชลบุรี และฉะเชิงเทรา จำนวน 27,253 สวน พบว่าสวนยางส่วนใหญ่ร้อยละ 77.2 ไม่ได้รับการสงเคราะห์ปลูกแทน สวนยางที่ทำการศึกษามีขนาด 1-2,200 ไร่ เฉลี่ย 24.16 ไร่ ส่วนใหญ่เป็นสวนขนาดเล็กต่ำกว่า 50 ไร่ ร้อยละ 90.3 อายุสวนยางที่ศึกษาอยู่ระหว่าง 5-19 ปี โดยเฉลี่ยอายุสวนยาง 12 ปี สภาพสวนยางส่วนมากสะอาดมีวัชพืชน้อยกว่าร้อยละ 30 ของพื้นที่ วัชพืชที่สำคัญที่สุด ได้แก่ หญ้าคา พบว่าส่วนใหญ่ร้อยละ 81.0 มีหญ้าคาน้อยกว่าร้อยละ 30 ของพื้นที่ การชะล้างหน้าดินพบว่า ร้อยละ 97.3 มีการชะล้างในระดับปานกลาง ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับต้นยางส่วนใหญ่ร้อยละ 37.1 เป็นอาการเปลือกแห้ง ในสวนยางที่ทำการศึกษาพบต้นตายไม่มากนัก ส่วนมากร้อยละ 16.3 มีต้นตาย 5 ต้นต่อไร่ และสวนยางส่วนใหญ่มีความสม่ำเสมอของต้นยางร้อยละ 53.0 การศึกษาการใช้เทคโนโลยีของเกษตรกรพบว่า เกษตรกรนิยมปลูกยางพันธุ์ RRIM 600 ถึงร้อยละ 76.7 ซึ่งไม่ต้านทานโรคใบร่วงและโรคเส้นดำในแหล่งปลูกยางเดิมคือจังหวัดตราดและจันทบุรี เป็นแหล่งระบาดของโรคนี้ ดังนั้นหน่วยราชการควรหาทางแก้ไขให้เกษตรกรได้รับรู้ถึงข้อมูลของพันธุ์ยางที่เหมาะสมในภาคตะวันออก พันธุ์ที่ควรแนะนำให้ปลูกคือพันธุ์สถาบันวิจัยยาง 251 สงขลา 36 BPM 24 RRIC 110 PB 260 และ PR 255 นอกจากเรื่องพันธุ์แล้ว การใช้ระยะปลูกของเกษตรกร พบว่าที่ใช้มากที่สุด คือ ร้อยละ 34.1 คือระยะ 4x6 เมตร จำนวนต้นต่อไร่ส่วนมากร้อยละ 46.9 มีจำนวน 67 ต้นต่อไร่ ซึ่งต่ำกว่าคำแนะนำของสถาบันวิจัยยางว่าในเขตปลูกยางเดิมควรมี 76-80 ต้นต่อไร่ และ 88-91 ต้น ในเขตปลูกยางใหม่ ทำให้ผลผลิตลดลง 28.9 กิโลกรัมต่อไร่ต่อปี จากที่ควรได้รับ คิดเป็นมูลค่ามากกว่า 1,100 บาท ต่อไร่ต่อปี และพบว่าจำนวนสวนยางที่มีจำนวนต้น 67 ต้นต่อไร่ มีจำนวนเกือบครึ่งหนึ่ง (ร้อยละ 46.9) ของสวนยางในภาคตะวันออก ทำให้สูญเสียศักยภาพในการผลิตยาง ที่พึงได้รับไปอย่างน่าเสียดาย นั่นหมายถึงการสูญเสียทางเศรษฐกิจของเกษตรกรเกือบครึ่งหนึ่งของภาคตะวันออกคิดเป็นมูลค่ามากกว่า 20 ล้านบาทต่อปี การใช้วัสดุปลูกส่วนมากร้อยละ 63.2 ใช้ต้นยางชำถุง การตัดแต่งกิ่งส่วนใหญ่ร้อยละ 76.7 ทำได้ถูกต้องตามคำแนะนำ สำหรับการใช้ปุ๋ย เกษตรกรนิยมใช้ปุ๋ยสูตร 15-7-18 ร้อยละ 46.41 และใส่มากกว่า ½ ก.ก. ต่อต้น ถึงร้อยละ 54.29 ใส่ปีละ 2 ครั้งมากที่สุดร้อยละ 48.06 และส่วนมากร้อยละ 43.99 ใส่ปุ๋ยเป็นแถบ 2 ข้างระหว่างแถวยาง การใช้ประโยชน์ในพื้นที่ระหว่างแถวยาง พบว่าร้อยละ 99.2 ไม่ปลูกพืชแซม/พืชร่วม ส่วนที่ปลูกได้แก่ สับปะรด ระกำ มันสำปะหลัง กล้วย และไม้ผล นอกจากนี้อายุเปิดกรีดและระบบกรีดมีส่วนสำคัญต่อผลผลิตที่เกษตรกรจะได้รับ จากการศึกษาพบว่า เกษตรกรเปิดกรีดยางที่อายุตามคำแนะนำของสถาบันวิจัยยาง คือ 7 ปี มากที่สุดร้อยละ 57.2 แต่เกษตรกรในภาคตะวันออกนิยมกรีดถี่คือกรีดหนึ่งในสามลำต้น กรีดสามวันเว้นหนึ่งวัน ร้อยละ 64.8 ดังนั้นแนวทางงานวิจัยด้านกรีด ควรเน้นการแก้ปัญหาท้องถิ่น โดยการนำผลงานทางวิชาการมาผสมผสานกับการปฏิบัติของชาวยาง เพื่อลดความเสียหายให้น้อยลง และให้ชาวสวนยางได้รับประโยชน์มากที่สุด สำหรับผลการศึกษาสภาพหน้ากรีดยางของสวนยางเปิดกรีดในภาคตะวันออก พบว่าแม้ว่าสภาพหน้ากรีดเสียหายรุนแรง-รุนแรงมาก เพียงเล็กน้อยคิดเป็นร้อยละ 6.8 แต่จะทำให้ผลผลิตลดลงจนไม่สามารถให้ผลผลิต และมีแนวโน้มจะต้องโค่นในปีต่อไป จำนวน 35,365 ไร่ ทำให้เกษตรต้องสูญเสียผลผลิต 8.6 ล้านกิโลกรัมต่อปี คิดเป็นมูลค่ามากว่า 340 ล้านบาทต่อปี สำหรับการแปรรูปน้ำยางสด ส่วนใหญ่ร้อยละ 61.99 แปรรูปเป็นยางแผ่นดิบ โดยน้ำหนักยางแผ่นดิบส่วนมากร้อยละ 66.25 อยู่ระหว่าง 1–1.2 กิโลกรัมต่อแผ่น และผลผลิตยางแผ่นดิบส่วนมากร้อยละ 32.98 อยู่ระหว่าง 240 – 260 กิโลกรัมต่อไร่ต่อปี ผลการประเมินขนาดลำต้นของต้นยางแต่ละพันธุ์พบว่าส่วนใหญ่ต่ำกว่าแปลงทดลองวิชาการ แต่เกษตรกรสามารถปรับปรุงการใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มศักยภาพ ได้แก่ การเลือกใช้พันธุ์ยางให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ การวางแนวปลูกเพื่อลดการชะล้างหน้าดิน และการสูญเสียปุ๋ย ใช้ระยะปลูกตามคำแนะนำของสถาบันวิจัยยาง เพื่อให้ได้จำนวนต้นต่อไร่เพิ่มขึ้น สรุปโดยภาพรวมแล้ว สวนยางเปิดกรีดในภาคตะวันออกมีศักยภาพเหมาะสมในการพัฒนาให้ได้ผลผลิตเพิ่มขึ้น ได้อีกประมาณร้อยละ 13 และสวนยางในภาคตะวันออกมีศักยภาพสามารถเพิ่มพื้นที่ปลูกได้อีกมากว่า 4.7 ล้านไร่ เมื่อพัฒนาการผลิตยางของเกษตรโดยการใช้เทคโนโลยีให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่และสภาวะแวดล้อมแล้วจะเพิ่มผลผลิตยางให้แก่เกษตรกรและประเทศได้อีก 1.15 ตัน มูลค่า 46 ล้านบาท และผลการศึกษายังใช้เป็นแนวทางในการวิจัยศักยภาพการผลิตยางในจังหวัดอื่น ๆ ได้ทั้งประเทศ
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เผยแพร่โดย: การยางแห่งประเทศไทย
คำสำคัญ: ภาคตะวันออก
เจ้าของลิขสิทธิ์: การยางแห่งประเทศไทย
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
ศักยภาพการผลิตยางของสวนยางเปิดกรีดในภาคตะวันออก
การยางแห่งประเทศไทย
ไม่ระบุวันที่เผยแพร่
ศักยภาพการผลิตยางของสวนยางก่อนเปิดกรีดในภาคตะวันออก ศักยภาพการผลิตยางของสวนยางก่อนโค่นในภาคตะวันออก ศักยภาพการผลิตยางแผ่นรมควันของสหกรณ์กองทุนสวนยางและเกษตรกร การพัฒนาเทคโนโลยีการใช้ปุ๋ยเพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิตยาง ต้นทุนการผลิตยางของสวนยางขนาดเล็ก ผลกระทบของสภาวะโลกร้อนที่มีต่อการผลิตยางพาราในจังหวัดสงขลา (ระยะที่ 2) : กรณีศึกษาการปรับตัวของเกษตรกร ชาวสวนยาง เทคนิคการปลูกสร้างสวนยางเพื่อเร่งการเจริญเติบโตให้เปิดกรีดได้ก่อนกำหนด วิเคราะห์ทางเลือกและข้อจำกัดการผลิตยางพาราเพื่อประกอบการตัดสินใจของชาวสวนยาง การศึกษาลักษณะและคุณสมบัติของยางพาราบางพันธุ์หลังเปิดกรีดที่ปลูกในสวนยางขนาดใหญ่ ศักยภาพการผลิตและการตลาดผลิตภัณฑ์ยางของกลุ่มเกษตรกรสวนยาง
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก