สืบค้นงานวิจัย
การศึกษาการปรับปรุงสมบัติการทนน้ำมันและทนความร้อนของยางธรรมชาติโดยการผสมกับยางอะคริลิก
Kannaporn Pooput - มหาวิทยาลัยมหิดล
ชื่อเรื่อง: การศึกษาการปรับปรุงสมบัติการทนน้ำมันและทนความร้อนของยางธรรมชาติโดยการผสมกับยางอะคริลิก
ชื่อเรื่อง (EN): A study to improve oil and thermo-oxidative resistances of natural rubber by blending with acrylic rubber
ผู้แต่ง / หัวหน้าโครงการ (EN): Kannaporn Pooput
บทคัดย่อ: ยางผสมโดยทั่วไปมักจะใช้ในอุตสาหกรรม ซึ่งส่วนมากแล้วยางผสมจะแยกเป็นสองวัฏภาค โดยยางที่มีปริมาณมากกว่า จะประกอบเป็นวัฏภาคต่อเนื่อง ส่วนยางที่มีปริมาณน้อยกว่าจะเกิดเป็นวัฏภาคที่กระจายตัว สมบัติของยางผสมจะขึ้นกับโครง สร้างสัณฐานวิทยา โครงสร้างดังกล่าวโดยทั่วไปขึ้นกับความหนืดและสัดส่วนของยางผสมขณะผสมซึ่งสามารถควบคุมได้ด้วย การปรับสภาวะในการผสมได้แก่ความเร็วโรเตอร์ เวลา และอุณหภูมิขณะผสมในห้องผสม งานวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อหาวิธีใน การปรับปรุงสมบัติการทนน้ำมันและทนความร้อนของยางธรรมชาติโดยควบคุมโครงสร้างสัณฐานวิทยาของยางผสม ในส่วนแรกของการศึกษาได้ทำการลดความหนืดของยางลงด้วยวิธีการบดยางและวิธีการเติมสารเติมแต่ง ในการบดยางนั้น ทำโดยแปรเปลี่ยนความเร็วโรเตอร์และอุณหภูมิขณะผสมในห้องผสม จากการศึกษาพบว่าวิธีการนี้ไม่สามารถลดความหนืดของ ยางอะคริลิก แต่สามารถลดความหนืดของยางธรรมชาติลงได้ ส่วนวิธีการลดความหนืดด้วยการเติมสารเติมแต่งสามชนิด ได้แก่ ยางไนไตรล์เหลว, ไดออคทิลพะธัลเลท และ อะคริเลทมอนอเมอร์ พบว่าสารเติมแต่งทั้งสามชนิดนั้นไม่สามารถทำหน้าที่เป็น สารลดความหนืดสำหรับยางธรรมชาติได้ ในขณะที่อะคริเลทมอนอเมอร์เป็นสารลดความหนืดที่ดีที่สุดสำหรับยางอะคริลิก ซึ่งยืนยันได้จากผลการวัดอุณหภูมิที่เปลี่ยนจากสถานะคล้ายแก้ว ในการลดความหนืดของยางอะคริลิกขณะผสมยางโดยการเติมอะคริเลทมอนอเมอร์ที่สัดส่วนการผสมเท่ากับ 50/50 นั้น พบว่ายางอะคริลิกมีแนวโน้มเป็นวัฏภาคต่อเนื่องมากขึ้น และค่าการบวมในน้ำมันลดลง (22%) เมื่อปริมาณอะคริเลทมอนอเมอร์ มากขึ้น โดยเฉพาะที่ปริมาณอะคริเลทมอนอเมอร์มีค่าเท่ากับ 18 ส่วนในร้อยส่วน สัดส่วนของยางได้มีการปรับเปลี่ยนเพื่อลดปริมาณการใช้ยางอะคริลิกด้วย จากการศึกษาพบว่าการทนน้ำมันของยางผสม เพิ่มขึ้นเมื่อสัดส่วนของยางอะคริลิกมากขึ้น โดยที่สัดส่วนการผสมที่ร้อยละ 75 ของยางอะคริลิกให้ค่าการบวมในน้ำมันต่ำที่สุด (25%) ในการศึกษาการปรับความหนืดของยางก่อนทำการผสมหรือการเตรียมยางผสมด้วยอัตราส่วนความหนืดที่สัดส่วนต่างๆ กัน พบว่ายางผสมสามารถทนน้ำมันได้มากขึ้นเมื่ออัตราส่วนความหนืดสูงขึ้น โดยร้อยละของการบวมในน้ำมันของยางผสมที่ อัตราส่วนความหนืดที่ 2/1, 1/1 และ 1/1.5 มีค่าเท่ากับ 32, 66 และ 106 ตามลำดับ ซึ่งสามารถอธิบายได้ด้วยการเกิดวัฏภาคต่อ เนื่องของยางอะคริลิกมากขึ้นเมื่อความหนืดของยางอะคริลิกลดลง ซึ่งยืนยันได้จากภาพถ่ายจากเครื่องอะตอมมิกฟอร์ซไมโครส- โคปี นอกจากนี้ยังพบอีกด้วยว่าเมื่อเพิ่มสัดส่วนของยางธรรมชาติที่อัตราส่วนความหนืดคงที่ที่ 2/1 การทนน้ำมันของยางผสมลด ลง โดยร้อยละของการบวมในน้ำมันของยางผสมที่สัดส่วนของยางธรรมชาติเท่ากับ 60/40 และ 75/25 ของยางผสมมีค่าเท่ากับ 55 และ 70 ตามลำดับ จากการศึกษาพบว่าสามารถปรับปรุงสมบัติการทนน้ำมันและทนความร้อนของยางธรรมชาติได้โดยการควบคุมโครงสร้าง สัณฐานวิทยาของยางผสมซึ่งกระทำได้หลากหลายวิธี โดยเฉพาะอย่างยิ่งโดยการปรับความหนืดของยางทั้งสองชนิด
บทคัดย่อ (EN): the blend that contained the highest ratio of natural rubber and still maintained adequate oil resistance (with a 25% oil swell) was the 25/75 natural/acrylic blend. In order for acrylic rubber to form a continuous phase in a 50/50 blend, its viscosity must be lower than that of the natural rubber in the blend, and the greater the continuous phase the higher the oil resistance. Hence, in my study, increasing natural/acrylic viscosity ratios of 2/1, 1/1 and 1/1.5 resulted in increasing oil swells of 32%, 66% and 106%. Greater continuous phase was indicated by atomic force microscopy micrographs. Testing of 60/40 and 75/25 natural/acrylic blends with the superior natural/acrylic viscosity ratio of 2/1 revealed 55% and 70% oil swells, respectively, indicating a higher oil swell for the higher natural rubber blend. In this study it was found that the oil and heat resistance could be improved by controlling the morphology of rubber blends in many ways, in particular through the adjustment of rubber viscosities.
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เอกสารแนบ: http://dcms.thailis.or.th/dcms/dccheck.php?Int_code=126&RecId=2045&obj_id=1458
เผยแพร่โดย: มหาวิทยาลัยมหิดล
คำสำคัญ (EN): Viscosity
เจ้าของลิขสิทธิ์: มหาวิทยาลัยมหิดล
รายละเอียด: ยางผสมโดยทั่วไปมักจะใช้ในอุตสาหกรรม ซึ่งส่วนมากแล้วยางผสมจะแยกเป็นสองวัฏภาค โดยยางที่มีปริมาณมากกว่า จะประกอบเป็นวัฏภาคต่อเนื่อง ส่วนยางที่มีปริมาณน้อยกว่าจะเกิดเป็นวัฏภาคที่กระจายตัว สมบัติของยางผสมจะขึ้นกับโครง สร้างสัณฐานวิทยา โครงสร้างดังกล่าวโดยทั่วไปขึ้นกับความหนืดและสัดส่วนของยางผสมขณะผสมซึ่งสามารถควบคุมได้ด้วย การปรับสภาวะในการผสมได้แก่ความเร็วโรเตอร์ เวลา และอุณหภูมิขณะผสมในห้องผสม งานวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อหาวิธีใน การปรับปรุงสมบัติการทนน้ำมันและทนความร้อนของยางธรรมชาติโดยควบคุมโครงสร้างสัณฐานวิทยาของยางผสม ในส่วนแรกของการศึกษาได้ทำการลดความหนืดของยางลงด้วยวิธีการบดยางและวิธีการเติมสารเติมแต่ง ในการบดยางนั้น ทำโดยแปรเปลี่ยนความเร็วโรเตอร์และอุณหภูมิขณะผสมในห้องผสม จากการศึกษาพบว่าวิธีการนี้ไม่สามารถลดความหนืดของ ยางอะคริลิก แต่สามารถลดความหนืดของยางธรรมชาติลงได้ ส่วนวิธีการลดความหนืดด้วยการเติมสารเติมแต่งสามชนิด ได้แก่ ยางไนไตรล์เหลว, ไดออคทิลพะธัลเลท และ อะคริเลทมอนอเมอร์ พบว่าสารเติมแต่งทั้งสามชนิดนั้นไม่สามารถทำหน้าที่เป็น สารลดความหนืดสำหรับยางธรรมชาติได้ ในขณะที่อะคริเลทมอนอเมอร์เป็นสารลดความหนืดที่ดีที่สุดสำหรับยางอะคริลิก ซึ่งยืนยันได้จากผลการวัดอุณหภูมิที่เปลี่ยนจากสถานะคล้ายแก้ว ในการลดความหนืดของยางอะคริลิกขณะผสมยางโดยการเติมอะคริเลทมอนอเมอร์ที่สัดส่วนการผสมเท่ากับ 50/50 นั้น พบว่ายางอะคริลิกมีแนวโน้มเป็นวัฏภาคต่อเนื่องมากขึ้น และค่าการบวมในน้ำมันลดลง (22%) เมื่อปริมาณอะคริเลทมอนอเมอร์ มากขึ้น โดยเฉพาะที่ปริมาณอะคริเลทมอนอเมอร์มีค่าเท่ากับ 18 ส่วนในร้อยส่วน สัดส่วนของยางได้มีการปรับเปลี่ยนเพื่อลดปริมาณการใช้ยางอะคริลิกด้วย จากการศึกษาพบว่าการทนน้ำมันของยางผสม เพิ่มขึ้นเมื่อสัดส่วนของยางอะคริลิกมากขึ้น โดยที่สัดส่วนการผสมที่ร้อยละ 75 ของยางอะคริลิกให้ค่าการบวมในน้ำมันต่ำที่สุด (25%) ในการศึกษาการปรับความหนืดของยางก่อนทำการผสมหรือการเตรียมยางผสมด้วยอัตราส่วนความหนืดที่สัดส่วนต่างๆ กัน พบว่ายางผสมสามารถทนน้ำมันได้มากขึ้นเมื่ออัตราส่วนความหนืดสูงขึ้น โดยร้อยละของการบวมในน้ำมันของยางผสมที่ อัตราส่วนความหนืดที่ 2/1, 1/1 และ 1/1.5 มีค่าเท่ากับ 32, 66 และ 106 ตามลำดับ ซึ่งสามารถอธิบายได้ด้วยการเกิดวัฏภาคต่อ เนื่องของยางอะคริลิกมากขึ้นเมื่อความหนืดของยางอะคริลิกลดลง ซึ่งยืนยันได้จากภาพถ่ายจากเครื่องอะตอมมิกฟอร์ซไมโครส- โคปี นอกจากนี้ยังพบอีกด้วยว่าเมื่อเพิ่มสัดส่วนของยางธรรมชาติที่อัตราส่วนความหนืดคงที่ที่ 2/1 การทนน้ำมันของยางผสมลด ลง โดยร้อยละของการบวมในน้ำมันของยางผสมที่สัดส่วนของยางธรรมชาติเท่ากับ 60/40 และ 75/25 ของยางผสมมีค่าเท่ากับ 55 และ 70 ตามลำดับ จากการศึกษาพบว่าสามารถปรับปรุงสมบัติการทนน้ำมันและทนความร้อนของยางธรรมชาติได้โดยการควบคุมโครงสร้าง สัณฐานวิทยาของยางผสมซึ่งกระทำได้หลากหลายวิธี โดยเฉพาะอย่างยิ่งโดยการปรับความหนืดของยางทั้งสองชนิด
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
การศึกษาการปรับปรุงสมบัติการทนน้ำมันและทนความร้อนของยางธรรมชาติโดยการผสมกับยางอะคริลิก
Kannaporn Pooput
มหาวิทยาลัยมหิดล
2547
สมบัติของยางผสมระหว่างยางธรรมชาติและยางเอสบีอาร์ซึ่งมีผลจากการใส่สารเสริมแรงประเภทคาร์บอนแบรคและซิลิกา การศึกษาสมบัติการไหลและสมบัติเชิงกลในพอลิเมอร์ผสมระหว่างยางคลอริเนเทตพอลิเอทธิลีนกับยางธรรมชาติโดยมีดินขาวเป็นสารตัวเติม การศึกษาสมบัติของน้ำมันเมล็ดมะละกอเพื่อพัฒนาเป็นน้ำมันบริโภค สมบัติของยางผสมระหว่างยางธรรมชาติกับ ทรานส์พอลิไอโซปรีนที่ผ่านการวัลคาไนซ์แล้ว สมบัติการไหลและสมบัติเชิงกลของพอลิเมอร์ผสมระหว่างยางคลอริเนตเทตพอลิเอทธิลีนและยางธรรมชาติที่เชื่อมโยงพันธะด้วยซัลเฟอร์ การศึกษาอัตราส่วนที่เหมาะสมในการผสมน้ำมันพืช 3 ชนิด เพื่อเลียนแบบน้ำมันสวีทอัลมอนด์ สมบัติเชิงกลของวัสดุผสมเซรามิก/ท่อนาโนคาร์บอน/ยาง เพื่อใช้ทำยางรถยนต์ที่มีความต้านทานการหมุนต่ำ การปรับปรุงสมบัติการยึดติดระหว่างยางธรรมชาติกับยางไนไตรล์โดยใช้สารเพิ่มการยึดติดที การศึกษาสมบัติการหยุ่นหนืดของยางธรรมชาติภายใต้สภาวะการขึ้นลงของอุณหภูมิอย่างเป็นวัฎจักร การผลิตและสมบัติของเอนไซม์ไฟเตสทนอุณหภูมิสูงจากเชื้อ Thermoascus aurantiacus SL16W
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก