สืบค้นงานวิจัย
การใช้เชื้อแอกติโนไมซีสเอนโดไฟต์ชักนำให้เกิดความต้านทานโรคทางใบของสตรอว์เบอร์รีด้วยเทคนิคการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ
ศิริมาศ ชัยชม - มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ชื่อเรื่อง: การใช้เชื้อแอกติโนไมซีสเอนโดไฟต์ชักนำให้เกิดความต้านทานโรคทางใบของสตรอว์เบอร์รีด้วยเทคนิคการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ
ชื่อเรื่อง (EN): Using Endophytic Actinomycetes to Induce Leaf Disease Resistance of Strawberry by Tissue Culture Techniques
ผู้แต่ง / หัวหน้าโครงการ: ศิริมาศ ชัยชม
ผู้แต่ง / หัวหน้าโครงการ (EN): Sirimas Chaichom
บทคัดย่อ: จากการวินิจฉัยโรคทางใบของสตรอว์เบอร์รี พบอาการใบจุดและอาการใบไหม้ มีเชื้อ Colletotrichum sp. และ เชื้อ Pestalotia sp. เป็นสาเหตุตามลำดับ และจากศึกษาเชื้อปฏิปักษ์ในกลุ่มแอคติโนไมซีสเอนโดไฟต์เพื่อควบคุมเชื้อราสาเหตุทั้ง 2 ชนิด โดยการแยกเชื้อจากพืชสมุนไพรและพืชวงศ์กุหลาบ (Rosaceae) บนอาหาร IMA-2 พบว่าสามารถแยกเชื้อได้จำนวน 102 ไอโซเลต เมื่อนำมาคัดเลือกเชื้อที่มีประสิทธิภาพในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราสาเหตุโรคทางใบ ด้วยวิธี Dual Culture บนอาหาร IMA-2 พบ เชื้อจำนวน 6 ไอโซเลต คือ ERY2, MET4, POL4, DUC2, PRU2 และ ROS7 มีประสิทธิภาพในการยับยั้งเชื้อราสาเหตุโรคดังกล่าวได้ในระดับสูง โดยมีการยับยั้งมากกว่า 70เปอร์เซ็นต์ ไอโซเลต MET4 มีเปอร์เซ็นต์ยับยั้งเชื้อ Colletotrichum sp. มากที่สุดเท่ากับ 92.50 เปอร์เซ็นต์ และไอโซเลต PRU2 มีเปอร์เซ็นต์ยับยั้งเชื้อ Pestalotia sp. มากที่สุดเท่ากับ 87.50 เปอร์เซ็นต์ เมื่อนำเชื้อแอกติโนไมซีสเอนโดไฟต์ทั้ง 6 ไอโซเลต ที่คัดเลือกได้ไปทดสอบการเข้าอยู่อาศัยในเนื้อเยื่อของต้นกล้าสตรอว์เบอร์รีที่เพาะเลี้ยงในสภาพปลอดเชื้อ เพื่อชักนำให้เกิดการต้านทานต่อการเกิดโรคทางใบ โดยหยดเซลล์แขวนลอยของเชื้อแต่ละไอโซเลต ลงบริเวณโคนต้นกล้าสตรอว์เบอร์รีที่เพาะเลี้ยงในสภาพปลอดเชื้อ และบ่มเชื้อไว้เป็นเวลา 14 วัน เมื่อนำชิ้นพืชมาทดสอบการเข้าอยู่อาศัยของเชื้อแต่ละไอโซเลตโดยวิธีแยกเชื้อกลับ พบว่า เชื้อ 6 ไอโซเลตดังกล่าวข้างต้น มีเปอร์เซ็นต์การแยกเชื้อกลับได้ เท่ากับ 96, 56, 70, 100, 100 และ 93 ตามลำดับ โดยส่วนใหญ่สามารถแยกเชื้อกลับได้จากส่วนใบของต้นกล้าสตรอว์เบอร์รีในทุกไอโซเลต และจากการทดสอบการชักนำให้เกิดความต้านทานโรคทางใบในสภาพปลอดเชื้อของต้นกล้าสตรอว์เบอร์รีที่ได้รับการปลูกเชื้อแอกติโนไมซีสเอนโดไฟต์แต่ละไอโซเลต เป็นเวลา 21 วัน พบว่า ต้นกล้าที่ได้รับการปลูกเชื้อแอกติโนไมซีสเอนโดไฟต์แต่ละไอโซเลตมีระดับความรุนแรงของโรค ระหว่าง 0.44-1.88 ซึ่งน้อยกว่าอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติเมื่อเปรียบเทียบกับชุดควบคุมที่มีค่าระหว่าง 3.78-4.00 โดยไอโซเลต MET4 สามารถชักนำให้เกิดความต้านทานต่อการเข้าทำลายของเชื้อสาเหตุโรคทางใบทั้ง 2 ชนิดได้ดีที่สุด
บทคัดย่อ (EN): Diagnosis of strawberry leaf diseases, leaf spot and leaf blight were caused by Colletotrichum sp. and Pestalotia sp., respectively. Antagonistic endophytic actinomycetes were studied for controlling the pathogens. A total of 102 isolates were obtained from herbs and Rosaceae after isolations on IMA-2 medium. All of the isolates were used to determine efficiency in controlling of the pathogens using Dual Culture method. Six isolates were selected including ERY2, MET4, POL4, DUC2, PRU2 and ROS7 which showed highly inhibitory effects more than 70% of Percent Inhibition of Radial Growth (PIRG) on both pathogens. The highest percentages inhibition against Colletotrichum sp. and Pestalotia sp. at 92.50% and 87.50% were obtained from the testing with isolates MET4 and PRU2, respectively. Colonization tests in strawberry tissue culture plantlets of the selected isolates were performed in order to induce the leaf diseases resistance of the strawberry tissue culture plantlets. The endophytic actinomycete cell suspensions were inoculated by dropping on the strawberry tissue culture plantlets. Re-isolation for the ability to colonize in strawberry tissue culture plantlets of each selected isolate was done after incubated for 14 days. Percentage of recovery for each isolate from the inoculated plant parts were 96, 56, 70, 100, 100 and 93 percents, respectively. The majority was colonized in leaves. Induction of leaf diseases resistances in vitro were evaluated. The plantlets was colonized with the endophytic actinomycete for a certain period of 21 days before the pathogens were separately inoculated. Disease severity levels were scored comparing with the control treatments, pathogen treated plantlets with non-colonization of the antagonistic isolate. The results revealed that, the antagonistic colonized trials reduced average disease severity levels between 0.44-1.88 which statistically different from control treatment which were 3.78 to 4.00 of disease severity level. The best induced resistance isolate was MET4 for both pathogenic fungi.
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เอกสารแนบ: https://li01.tci-thaijo.org/index.php/joacmu/article/view/245846/168066
เผยแพร่โดย: มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
คำสำคัญ: การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ
คำสำคัญ (EN): tissue culture
เจ้าของลิขสิทธิ์: มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
การใช้เชื้อแอกติโนไมซีสเอนโดไฟต์ชักนำให้เกิดความต้านทานโรคทางใบของสตรอว์เบอร์รีด้วยเทคนิคการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
2557
การประเมินความต้านทานของโรคใบไหม้ของข้าวเหนียวดำในระยะแตกกอหลังการปลูกเชื้อ 7 และ 14 วัน สาเหตุของความต้านทานในข้าวพันธุ์ต่าง ๆ ต่อเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล Nilaparuata lugens (Stal) การขยายพันธุ์มะละกอ (Carica papaya L.) สายพันธุ์ฮอลแลนด์ในสภาพปลอดเชื้อ การเพิ่มจำนวนยอดและชักนำให้เกิดรากของไผ่เลี้ยงในสภาพปลอดเชื้อ การชักนำให้เกิดความต้านทานโรครากเน่าไฟทอปธอรา ในสตรอว์เบอร์รีที่เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อด้วย เชื้อแอกติโนไมซีสต์เอนโดไฟต์ การคัดเลือกเชื้อแอกติโนไมซีสเอนโดไฟต์ที่เป็นปฏิปักษ์ต่อเชื้อราสาเหตุโรคผลเน่าของลำไย บทบาทของเชื้อราเอนโดไฟต์ต่อการควบคุมโรคพืช การชักนำให้เกิด embryogenic callus ในทุเรียนโดยวิธีเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ ลักษณะทางสรีรวิทยาและการเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมีที่มีความสัมพันธ์กับความต้านทาน ต่อเชื้อรา Phytophthora การประเมินลักษณะเชื้อพันธุกรรมของข้าวโพดเพื่อความต้านทานโรคราสนิมในประเทศไทย
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก