สืบค้นงานวิจัย
ชุดโครงการวิจัยและพัฒนาการผลิตลองกอง
โนรี อิสมะแอ - กรมวิชาการเกษตร
ชื่อเรื่อง: ชุดโครงการวิจัยและพัฒนาการผลิตลองกอง
ชื่อเรื่อง (EN): Research and development on production of longkong
ผู้แต่ง / หัวหน้าโครงการ: โนรี อิสมะแอ
บทคัดย่อ: การรวบรวมและคัดเลือกสายต้นลองกองพันธุ์ดี มีวัตถุประสงค์เพื่อรวบรวมและคัดเลือกสายต้นลองกองพันธุ์ดีเด่นสำหรับใช้เป็นต้นแม่พันธุ์ในการขยายพันธุ์สู่เกษตรกร ดำเนินการคัดเลือกสายต้นลองกองพันธุ์ดีในแปลงทดลองของศูนย์วิจัยพืชสวนจันทบุรี ศูนย์วิจัยพืชสวนตรัง และสวนเกษตรกรในจังหวัดจันทบุรี สงขลา พัทลุง และนราธิวาส ตั้งแต่ปี 2554-2556 โดยทำการคัดเลือกต้นตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ที่ศูนย์วิจัยพืชสวนจันทบุรี สามารถคัดเลือกสายต้นลองกองพันธุ์ดีได้ 33 สายต้นในปี 2554 และทำการคัดเลือกจนเหลือ 10 สายต้น ในปี 2555 ซึ่งเป็นสายต้นจากศูนย์วิจัยพืชสวนจันทบุรีทั้งหมดเนื่องจากสายต้นลองกองในแปลงเกษตรกร เกษตรกรได้ตัดต้นลองกองทิ้งและไปปลูกทุเรียนแทน และต่อมาได้ทำการคัดเลือกสายต้นลองกองที่มีคุณภาพดีเหมาะสมในการแนะนำพันธุ์ให้เกษตรกร เหลือเพียงจำนวน 5 สายต้น ในปี 2556 คือ พันธุ์ จบ.1 พันธุ์ จบ.2 พันธุ์ จบ.3 พันธุ์ จบ.4 พันธุ์ จบ.5 ส่วนที่ศูนย์วิจัยพืชสวนตรังได้ดำเนินการคัดเลือกต้นลองกองที่ปลูกในศูนย์จากต้นลองกองทั้งหมด 377 ต้น คัดเลือกเบื้องต้นได้ 40 ต้น แล้วจึงศึกษาการออกดอก และผลผลิต พบว่า ปี 2556 ต้นลองกองมีผลผลิต เท่ากับ 15-85 กิโลกรัมต่อต้น แต่สามารถคัดเลือกต้นลองกองที่ออกดอก และติดผลติดต่อกัน 3 ปี ได้ 12 ต้น ซึ่งมีผลผลิตตั้งแต่ 20-80 กิโลกรัมต่อต้น ส่วนสวนเกษตรกรที่ พัทลุง ออกดอก 2 ครั้ง ส่วนที่จังหวัดสตูล สงขลา และนราธิวาส ลองกองไม่ออกดอกทั้ง 3 ปี จึงไม่ได้คัดเลือก การใส่ปุ๋ยลองกอง ดำเนินการระหว่างปี 2556-2558 โดยที่ศูนย์วิจัยพืชสวนจันทบุรี ใช้ลองกองต้นที่คัดเลือกจำนวน 10 ต้น ที่มี อายุ 30 ปี ระยะปลูก 6x6 เมตรมีทรงพุ่ม 6.3-10.1 เมตร และเส้นรอบวงลำต้น 83.0-110.0 เซนติเมตร ให้ผลผลิต 40.4-100.2 กิโลกรัมต่อต้น เมื่อใส่ปุ๋ย15-15-15 อัตรา 1 กิโลกรัมต่อต้น 13-13-21 อัตรา 2 กิโลกรัมต่อต้น และ 12-12-17+2Mg อัตรา 1 กิโลกรัมต่อต้น ราคาปุ๋ย 114.40 บาทต่อต้น ได้ผลผลิต 40.4-100.2 กิโลกรัมต่อต้น และเมื่อใส่ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดิน พบว่าในดินมีไนโตรเจน 1.44-2.36% เท่ากับ 101.1-165.7 กรัมต่อต้น ฟอสฟอรัส มี 0.22-0.23% เท่ากับ ฟอสฟอรัสในรูปของ P2O5 5,038-5,107 กรัมต่อต้น และโพแทสเซียม 2.11-2.56% ซึ่งเป็น K2O เท่ากับ 25,230-30,720 กรัมต่อต้น มีแต่ธาตุไนโตรเจนเท่านั้นที่น้อยกว่าอัตราแนะนำ ซึ่งอัตราที่แนะนำคือ ไนโตรเจน ฟอสฟอรัสในรูปของ P2O5 และโพแทสเซียมในรูปของ K2O อย่างละ 300 กรัมต่อต้น ไนโตรเจนที่ต้องใส่เพิ่มเท่ากับ ต้นละ 134.3-198.9 กรัม ใช้ปุ๋ย 46-0-0 ใส่อัตรา 291-432 กรัมต่อต้น ปริมาณฟอสฟอรัส (P2O5) และ โพแทสเซียม (K2O) มีมากกว่าปริมาณที่แนะนำ ไม่ต้องใส่เพิ่ม เสียค่าปุ๋ยเพียง 7.50-11.10 บาท ต่อต้น และใส่ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ แต่ละต้นให้ผล 44.2-167.6 กิโลกรัม ส่วนที่ศูนย์วิจัยพืชสวนตรัง พบว่า ปี 2556ในดินมีธาตุไนโตรเจน 0.07-0.15% ซึ่งเท่ากับปริมาณไนโตรเจน 4.9-12.6 กรัมต่อต้น ในขณะที่อัตราแนะนำให้ใส่ ไนโตรเจน 300 กรัมต่อต้น จึงต้องใส่ไนโตรเจนเพิ่ม 287.3-295.1 กรัมต่อต้น สำหรับฟอสฟอรัสมีในดิน 172-1,196 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักดิน 1 กิโลกรัม (มก./กก.) ซึ่งเท่ากับ ฟอสฟอรัสในรูปของ P2O5 393.9-2,738.8 กรัม ปริมาณฟอสฟอรัสที่มีอยู่ในดินนี้มากกว่าที่แนะนำ ส่วน โพแทสเซียมในดินมี 50-346 มก./กก. เท่ากับโพแทสเซียมในรูป K2O จำนวน 60.5-418.7 กรัมต่อต้น จึงต้องมีการเพิ่มโพแทสเซียมในรูป K2O จำนวน 4.8-239.5 กรัมต่อต้น ปี 2557 มีไนโตรเจน 0.04-0.10% ซึ่งเท่ากับปริมาณไนโตรเจน 2.81-7.02 กรัมต่อต้น เช่นเดียวกับปี 2556 จะต้องใส่ไนโตรเจนเพิ่ม 293.0-297.2 กรัมต่อต้น สำหรับฟอสฟอรัสมีในดิน 69.3-460.1 มก./กก. ซึ่งเท่ากับ ฟอสฟอรัสในรูปของ P2O5 158.7-1,053.6 กรัม ปริมาณฟอสฟอรัสที่มีอยู่ในดินนี้ของ 34 ต้น มีมากกว่าที่แนะนำ ซึ่งมีมากกว่าตั้งแต่ 46.3-753.6 กรัมต่อต้น และ 6 ต้นมีน้อยกว่า ซึ่งต้องใส่เพิ่ม 16.7-141.3 กรัมต่อต้น ส่วนโพแทสเซียมในดินมี 44.8-218.3 มก./กก. เท่ากับโพแทสเซียมในรูป K2O จำนวน 54.2-264.1 กรัมต่อต้น จึงต้องมีการเพิ่มโพแทสเซียมในรูป K2O จำนวน 35.9-245.8 กรัมต่อต้น ส่วนปี 2558 มีไนโตรเจน 0.03-0.07% ซึ่งเท่ากับปริมาณไนโตรเจน 2.11-4.91 กรัมต่อต้น จะต้องใส่ไนโตรเจนเพิ่ม 295.1-297.9 กรัมต่อต้น สำหรับฟอสฟอรัสมีในดิน 20.4-201.3 มก./กก. ซึ่งเท่ากับ ฟอสฟอรัสในรูปของ P2O5 46.7-461.0 กรัม ปริมาณฟอสฟอรัสที่มีอยู่ในดินนี้ของ 8 ต้น มีมากกว่าที่แนะนำ ซึ่งมีมากกว่าตั้งแต่ 1.1-161.0 กรัมต่อต้น และ 32 ต้นมีน้อยกว่า ซึ่งต้องใส่เพิ่ม 37.3-253.3 กรัมต่อต้น ส่วนโพแทสเซียมในดินมี 25.9-132.9 มก./กก. เท่ากับโพแทสเซียมในรูป K2O จำนวน 31.3-160.8 กรัมต่อต้น จึงต้องมีการเพิ่มโพแทสเซียมในรูป K2O จำนวน 139.2-268.7 กรัมต่อต้น เนื่องจากไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม ในดินที่ปลูกลองกองที่ศูนย์วิจัยพืชสวนตรัง มีปริมาณต่ำมาก ดังนั้นปริมาณไนโตรเจน (N) ฟอสฟอรัส (P2O5) และโพแทสเซียม (K2O) ที่ใช้เท่ากับปริมาณที่แนะนำ และได้ผลผลิต ดังนี้ปี 2556 ผลผลิตของลองกอง เก็บเกี่ยวได้ 33 ต้น มีน้ำหนัก 15-95 กิโลกรัมต่อต้นปี 2557 เก็บเกี่ยวผลผลิตได้ 29 ต้น ได้ต้นละ 15-50 กิโลกรัม และปี 2558 มีต้นลองกองที่ออกดอกและเก็บผลผลิตได้ 28 ต้น ผลผลิตที่เก็บเกี่ยวได้มีน้ำหนักตั้งแต่ 5-55 กิโลกรัมต่อต้น การศึกษาระดับที่เหมาะสมในการตัดยอดต้นลองกอง ที่มีผลต่อการเจริญเติบโตและการพัฒนาของต้นลองกอง การออกดอกติดผล และคุณภาพผลผลิต โดยดำเนินการคัดเลือกต้นลองกองในแปลงลองกองของศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรนราธิวาส ที่มีอายุประมาณ 30 ปี จำนวน 30 ต้น ที่ต้นมีความสูง และความกว้างของทรงพุ่มสม่ำเสมอ วางแผนการทดลองแบบสุ่มตลอด (CRD) มี 6 กรรมวิธี จำนวน 5 ซ้ำ ได้แก่ (1.) ไม่มีการตัดยอด (ควบคุม) (2.) ตัดยอดให้เหลือความสูงของต้น 2 เมตร (3.) ตัดยอดให้เหลือความสูงของต้น 3 เมตร (4.) ตัดยอดให้เหลือความสูงของต้น 4 เมตร (5.) ตัดยอดให้เหลือความสูงของต้น 5 เมตร และ (6.) ตัดยอดให้เหลือความสูงของต้น 6 เมตร ดำเนินการทดลองตั้งแต่เดือนตุลาคม 2555 และสิ้นสุดเดือนกันยายน 2558 จากการศึกษาการเจริญเติบโตและการพัฒนาของต้นลองกอง พบว่า การตัดยอดต้นลองกองมีผลทำให้การแตกใบอ่อนเพิ่มขึ้น แต่ทำให้การเพิ่มขนาดของลำต้นลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับต้นที่ไม่มีการตัดยอด สำหรับการออกดอก พบว่า ในปี 2557 และ 2558 ต้นลองกองที่ตัดยอดให้เหลือความสูงของต้น 6 เมตร มีจำนวนช่อดอกต่อต้นเฉลี่ยสูงสุด มีความแตกต่างทางสถิติอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับกรรมวิธีอื่น และ ต้นลองกองที่ตัดยอดให้เหลือความสูงของต้น 6 เมตร มีจำนวนช่อผลต่อต้นเฉลี่ยสูงสุด และให้ผลผลิต 62.0 28.6 และ 13.1 กิโลกรัมต่อต้น ในปี 2556-2558 ตามลำดับ ซึ่งมีความแตกต่างทางสถิติอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับกรรมวิธีอื่น ส่วนคุณลักษณะของคุณภาพผลผลิตลองกองในแต่ละกรรมวิธีปรากฏผลไม่แน่นอนและมีการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากการทดลองครั้งนี้ไม่มีการตัดแต่งช่อดอก หรือการตัดแต่งช่อผล แต่ต้นลองกองที่ตัดยอดให้เหลือความสูงของต้น 6 เมตร มีแนวโน้มที่จะให้ผลผลิตที่มีคุณภาพดีกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับกรรมวิธีอื่น ลองกองหลังจากเก็บเกี่ยวจะเกิดการเน่าเสียผิวคล้ำและหลุดร่วงได้ง่าย มีอายุการเก็บรักษาสั้น เปลือกผลเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล อย่างรวดเร็วภายใน 4-6 วัน โครงการการพัฒนาและทดสอบเทคโนโลยีการผลิตลองกองคุณภาพ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีการใช้สารเคลือบผิวผลไม้ก่อนการเก็บเกี่ยวและหลังเก็บเกี่ยว กับช่อผลและผลเดี่ยว เพื่อยืดอายุการเก็บรักษา และเพื่อชะลอการเกิดสีน้ำตาลของผิวเปลือกลองกองหลังการเก็บเกี่ยว ประกอบด้วย 4 การทดลอง ซึ่งเป็นพัฒนาเทคโนโลยีการใช้สารเคลือบผิวก่อนและหลังการเก็บเกี่ยวเพื่อยืดอายุการเก็บรักษาลองกอง 3 การทดลอง และการทดสอบสารยับยั้งการเกิดสีน้ำตาลของผิวเปลือกลองกอง 1 การทดลอง ระยะเวลาทำการทดลองตั้งแต่เดือนตุลาคม 2553 ถึง กันยายน 2555 แปลงเกษตรกรจังหวัดสตูลและสงขลา สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 8 และภาควิชาพืชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ การทดลองที่ 1 ทดสอบอัตราสารเคลือบผิวที่เหมาะสมก่อนการเก็บเกี่ยวเพื่อยืดอายุการเก็บรักษาลองกอง วางแผนการทดลองแบบ Split Plot in RCBD จำนวน 6 ซ้ำ main plot คือควบคุม (ไม่พ่นสารเคลือบผิวไคโตซาน) ไคโตซานความเข้มข้น 0.5% 1.0% และ1.5% และ Sub Plot คือ ระยะเวลาการเก็บรักษาลองกอง คือ 0 5 10 และ15 วัน หลังการเก็บรักษา (ดำเนินการปี 2554) การทดลองที่2 แผนการทดลองแบบ Split Plot in RCBD จำนวน 4 ซ้ำ Main plot คือ การพ่นสารไคโตซาน 0.5% ที่อายุช่อผลลองกองที่อายุ 12 และ 13 สัปดาห์หลังดอกบาน และควบคุม (ไม่มีการพ่นสารไคโตซาน) Sub plot คือ เวลาการเก็บรักษา 0 5 10 และ 15 วัน การทดลองที่ 3 การทดสอบการยืดอายุและเก็บรักษาลองกองผลเดี่ยวโดยใช้สารเคลือบผลไม้ วางแผนการทดลองแบบ Split plot โดยมี Main plot คือ2x3 Factorial in RCB 4 ซ้ำ ปัจจัย A คือ การเคลือบสาร ได้แก่ A1=ไม่เคลือบสารไคโตซาน และ A2= เคลือบด้วยไคโตซาน ความเข้มข้น 1% ปัจจัย B คือ บรรจุภัณฑ์ 3 แบบ คือ P1= ถาดโฟมห่อหุ้มพลาสติกโพลีไวนิลคลอไรด์ P2= ตะกร้าพลาสติก P3= กล่องกระดาษ Sub plot คือ เวลาการเก็บรักษา 0 5 10 และ15 วันหลังการเก็บรักษา การทดลองที่4 วิธีชะลอการเปลี่ยนแปลงสีเปลือก คือ การใช้สารเคมีเพื่อชะลอการเกิดสีน้ำตาล ทำการทดลอง ณ สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 8 วางแผนการทดลองแบบ Split Plot in RCBD จำนวน 3 ซ้ำโดย Main Plot คือ การไม่แช่สาร และแช่สาร Ascorbic acid 0.5 และ1 % แช่ Citric acid 1 และ 1.5 % แช่ Oxalic acid 0.5 และ1 % และ Sub Plot คือ ระยะเวลาการเก็บรักษาลองกอง คือ 0 5 10 และ15 วัน หลังการเก็บรักษา นำลองกองตามกรรมวิธีต่างๆบรรจุในกล่องกระดาษลูกฟูกแล้วเก็บรักษาที่ อุณหภูมิ 18 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์ 85-90 เปอร์เซ็นต์ พบว่าการพัฒนาเทคโนโลยีการใช้สารเคลือบผิวผลไม้ก่อนการเก็บเกี่ยวและหลังเก็บเกี่ยว มีแนวโน้มว่าการใช้สารเคลือบผิวไคโตซานที่ความเข้มข้น 0.5 % และพ่นที่ช่อผลอายุ 12 สัปดาห์หลังดอกบาน สามารถเก็บรักษาได้ 10 วัน ในห้องที่มีอุณหภูมิ 18 องศาเซลเซียส และความชื้นสัมพัทธ์ 85-90 % ที่จังหวัดสงขลา เมื่อเวลาเก็บรักษาเพิ่มขึ้นเปอร์เซ็นต์การสูญเสียน้ำหนักและเปอร์เซ็นต์การหลุดร่วงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญยิ่งทั้ง ส่วนการทดสอบการทดสอบการยืดอายุและเก็บรักษาลองกองผลเดี่ยวโดยใช้สารเคลือบผลไม้ พบว่าเปอร์เซ็นต์การสูญเสียน้ำหนักของการเคลือบและไม่เคลือบไคโตซานบรรจุโฟมห่อหุ้มพลาสติกโพลีไวนิลคลอไรด์ มีเปอร์เซ็นต์น้ำหนักต่ำกว่ากรรมวิธีอื่นที่ 10 วันหลังการเก็บรักษา คือ 2.38 และ2.08 % ความแน่นเนื้อผล และปริมาณของแข็งที่ละลายน้ำได้ มีผลทำนองเดียวกัน คือแตกต่างทางสถิติอย่างมีนัยสำคัญยิ่ง เมื่อเวลาเก็บรักษาเพิ่มขึ้นมีการเปลี่ยนแปลงมากขึ้น ส่วนค่าความสว่าง (L) และ สีเหลือง (b) จะลดลงเมื่อเวลาการเก็บรักษาเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญยิ่งทางสถิติ ส่วนปริมาณกรดที่ไทเทรตได้ของทุกกรรมวิธีไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติ ไม่ว่าเวลาจะเพิ่มขึ้น และการเคลือบสารหรือไม่เคลือบสารไคโตซาน สรุปผลการทดลองจากการดำเนินการทั้ง 2 ปี การใช้สารเคลือบไคโตซานความเข้มข้น 0.5% กับลองกองผลเดี่ยว แล้วบรรจุภัณฑ์แบบต่างๆ ไม่มีผลช่วยในการยืดอายุการเก็บรักษาและเพิ่มคุณภาพลองกอง การทดสอบสารยับยั้งการเกิดสีน้ำตาลของผิวเปลือกลองกอง ลองกองทุกกรรมวิธีมีเปอร์เซ็นต์การสูญเสียน้ำหนักสดและเปอร์เซ็นต์การหลุดร่วงเพิ่มขึ้นตามระยะเวลาการเก็บรักษาที่ยาวนานขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยกรรมวิธีที่แช่สาร Citric acid 1 % สามารถชะลอการสูญเสียน้ำหนักได้ดีที่สุดคือ 7.14% หลังเก็บรักษา 10 วัน และมีเปอร์เซ็นต์การหลุดร่วงจากช่อผลน้อยที่สุด 10.28 % หลังเก็บรักษา 10 วัน สำหรับความแน่นเนื้อพบว่าไม่มีความแตกต่างทางสถิติทุกกรรมวิธี ยกเว้นอายุการเก็บรักษามีแนวโน้มทำให้ความแน่นเนื้อเพิ่มขึ้น ปริมาณของแข็งที่ละลายน้ำได้ (TSS) และปริมาณกรดที่ไทเทรตได้ (TA) มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ลดลงตามระยะเวลาการเก็บรักษาที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่ค่า TSS/TA มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามระยะเวลาการเก็บรักษา การเปลี่ยนแปลงสีของเปลือกลองกอง พบว่าทุกกรรมวิธีมีค่า L และค่า b ลดลงตามระยะเวลาการเก็บรักษาที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และกรรมวิธีที่แช่สาร Citric acid 1 % มีค่า L และค่า b สูงสุด โดยมีค่า L 59.00 และค่า b 29.23 ในวันที่ 10 ของการเก็บรักษา และมีค่า L 57.80 และค่า b 27.95 ในวันที่ 15 ของการเก็บรักษา ส่วนค่าสีแดง (a) ลดลงตามระยะเวลาการเก็บรักษาที่ยาวนานขึ้น แต่ไม่แตกต่างกันทางสถิติ สรุปได้ว่าการใช้สาร Citric acid 1% สามารถชะลอการเปลี่ยนแปลงสี การสูญเสียน้ำหนักสด และการหลุดร่วงของผลลองกองได้ดีกว่ากรรมวิธีอื่น หลังการเก็บรักษา 10 วัน
บทคัดย่อ (EN): Clonal selection of longkong trees was conducted at Chantaburi Horticultural Research Centre, Trang Horticultural Research Centre and farmers’ orchards in Chantaburi, Naratiwat, Satul, Songkhla and Pathalung Provinces. During the year 2554-2556, the production of the trees were observed and measured. This work was aimed to select longkong trees that produced good yield in 3 year consistently. At Chantaburi, in the research centre, the 33 trees were selected at the first year. In the second year, only 10 trees had produces. During 3 production years, there were 5 trees were selected with yields of 50.0-102.2 kg. per tree. At Trang Horticultural Research Centre, there were 377 longkong plants. The 40 trees were marked according to their aroma and yield, 15-80 kg. per trees. After 3 production years, there were 12 trees were selected which each tree produced 20-80 kg. per year. In farmers’ plantations, there were no trees flowering during the time of observertion. The study of fertilizer management was to get information of fertilizer applied for longkong clones, used for planting materials during 2556-2558 AC. Soil from each tree was sampled at floral development stage. The quantity of nitrogen (N), phosphorus (P) and potassium (K) were analyzed. Then the quantity of fertilizer applied was calculated. The calculation was based on the quantity of nutrients in soil and the quantity of nutrients recommended 300 g. each of N, P2O5 and K2O. At Chanthaburi Horticultural Research Centre, there were 10 clones of longkong trees which were selected based on their productions over 3 years. These trees were 30 year-old with the canopy of 6.3-10.1 meters in diameter. The trees were used to evaluate the nutrient requirement. It was found that the quantity of nutrients in the soil were 101.1-165.7 g. N, 5,038-5,107 g. P and 25,320-30,720 g. K. Accordingly, the amount of N was lower than the recommendation while the amount of P and K were sufficient. The quantity of N to be added, were 134.3-198.9 g. per tree. The quantity of N applied were 291-432 g. of 46-0-0 per tree. The trees produced fruits of 44.2-167.6 kg. per tree. The cost of fertilizer used, were 7.57-11.22 Baht (US$ 0.25-0.37) per tree. Whereas, the trees applied with N, P and K fertilizer produced 40.4-100.2 kg. of fruits per tree. The cost of fertilizers used, were 165.00 Baht (US$ 5.50) per tree. This indicated that the quantity of 300 g. each of N, P, K was adequate for these clones. In addition, the application of fertilizers based on soil analysis could increase longkong yields by decrease quantity of fertilizer. In addition, at Trang Horticultural Research Centre, in the year 2556 the amounts of nutrients in soil were 0.07-0.15%N, 172-1,196 mg P and 50-346 mg K per a kg soil. These quantities were equivalent to 4.9-12.6 g N, 393.9-2,738.8 g P2O5 and 60.5-418.7 g K2O per tree. The quantity of N and some of K were less than the quantities recommended, but the quantity of P was sufficient. Then the amounts of N and K2O to be added were 287.3-295.1 and 4.8-239.5 g per tree, respectively. Similarly, in 2557 the quantities of nutrients to be applied were 293.0-297.2 g N, 16.7-141.3 g P2O5 for 6 trees and 35.9-245.8 g K2O per tree. Moreover, in 2558 there were low quantities of N and K2O in soil for each tree while the quantities of P2O5 of 8 trees were surplus. The quantities of N to be added were 295-298 g with 37.3-253.3 g P2O5 and 35.9-245.8 g K2O. According to the amount of N, P and K in soil at Trang Horticultural Research Centre were very low and lower than the amount recommended, the quantity of fertilizer applied were 300 g each of 15-15-15 for 2 kg per tree. The yield was 15-95 kg each of 33 trees in 2556, 15-50 kg each of 29 trees in 2557 and 5-55 kg from each of 28 trees in 2558. The study of hard pruning longkong trees for rejuvenating by cutting trunks at different heights. This work was conducted at Naratiwat Agricultural Research and Development Centre during 2556-2558. The 30 year-old tree trunks were cut at at 2, 3, 4, 5 and 6 meters above ground level and without pruning. It showed that the pruning induced new shoots higher than those without pruning. However, their growth rates, trunk circumference, were decreased. The trees that were cut at 6 meters high were flowering and yielded after pruning. The yields of 3 years were 62.0, 28.6 and 13.1 kg per tree. These were significantly different from other treatments which were 0.1-29.2, 0-16.4 and 0-8.9 kg per tree.
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เผยแพร่โดย: กรมวิชาการเกษตร
คำสำคัญ: ไคโตซาน
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
ชุดโครงการวิจัยและพัฒนาการผลิตลองกอง
กรมวิชาการเกษตร
30 กันยายน 2558
ผลของสารป้องกันการเกิดสีน้ำตาล สารเคลือบผิวไคโตซาน และการเก็บรักษาที่อุณหภูมิต่ำ ต่อการยืดอายุการเก็บรักษาผลลองกอง ชุดโครงการวิจัยและพัฒนาการผลิตมะม่วง โครงการวิจัยและพัฒนาการผลิตลองกองคุณภาพเพื่อการส่งออก การวิจัยและพัฒนาการผลิตเห็ดกระดุมเขตร้อน ชุดโครงการวิจัยและพัฒนาการผลิตชา-โกโก้ ชุดโครงการวิจัยและพัฒนาการเพิ่มผลผลิตอ้อย โครงการวิจัยการพัฒนาและทดสอบเทคโนโลยีการผลิตลองกองคุณภาพ โครงการวิจัยเพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพบ่อน้ำร้อนถ้ำเขาพลู โครงการวิจัยและพัฒนาการผลิตเผือก โครงการวิจัยและพัฒนาการผลิตทับทิม
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก