สืบค้นงานวิจัย
การใช้น้ำดีเกลือในการเพิ่มประสิทธิภาพการเก็บรักษาอาร์ทีเมียแช่แข็ง
สุภัจฉรี วัญชนา - กรมประมง
ชื่อเรื่อง: การใช้น้ำดีเกลือในการเพิ่มประสิทธิภาพการเก็บรักษาอาร์ทีเมียแช่แข็ง
ชื่อเรื่อง (EN): Using of Magnesium Sulfate Brine Water for Increasing Efficiency in Preservation of Frozen Brine Shrimp (Artemia sp.)
บทคัดย่อ: บทคัดย่อ ศึกษาผลของการใช้น้ำดีเกลือในการเพิ่มประสิทธิภาพการเก็บรักษาอาร์ทีเมีย (Artemia spp.) แช่แข็ง โดยแบ่งออกเป็น 2 การทดลองย่อย การทดลองย่อยที่ 1 ศึกษาระดับความเข้มข้นที่เหมาะสมของน้ำดีเกลือและระยะเวลาที่ใช้ในการแช่อาร์ทีเมียในน้ำดีเกลือก่อนนำไปเก็บรักษาด้วยวิธีการแช่แข็งที่ระยะเวลาต่างๆ กันวางแผนการทดลองแบบ 4x4 factorial มี 2ปัจจัย ปัจจัยละ 3 ซ้ำ คือ ปัจจัยที่ 1 ความเข้มข้นน้ำดีเกลือที่ใช้ในการแช่อาร์ทีเมีย มี 4 ระดับคือ 0, 5, 10 และ 15% และปัจจัยที่ 2 ระยะเวลาที่ใช้ในการแช่อาร์ทีเมียในน้ำดีเกลือ 4 ระยะเวลาคือ 10, 15, 20 และ 30 นาที ที่มีผลต่อการคงสภาพและคุณค่าทางโภชนาการของอาร์ทีเมียเมื่อเก็บรักษาด้วยการแช่แข็งที่อุณหภูมิ -20oC เป็นระยะเวลา 0, 14, 28และ 56 วัน การทดลองย่อยที่ 2 เปรียบเทียบอัตราการรอดตาย การเจริญเติบโตของลูกปลากะพงขาวที่อนุบาลด้วยอาร์ทีเมียแช่แข็งแบบที่ใช้น้ำดีเกลือและแบบที่ไม่ได้ใช้น้ำดีเกลือในการเก็บรักษา วางแผนการทดลองแบบสุ่มตลอด ประกอบด้วย 4 ชุดการทดลอง ชุดการทดลองละ 3 ซ้ำ เปรียบเทียบระหว่างการใช้อาร์ทีเมียมีชีวิต(ชุดการทดลองที่ 1) อาร์ทีเมียแช่แข็งแบบที่ไม่ใช้น้ำดีเกลือ (ชุดการทดลองที่ 2), การใช้อาร์ทีเมียแช่แข็งแบบที่ใช้น้ำดีเกลือในการเก็บรักษาความเข้มข้น 5% นาน 20 นาที แช่แข็ง 28 วัน (ชุดการทดลองที่ 3) และแช่แข็ง 56 วัน (ชุดการทดลองที่ 4) ต่ออัตรารอดตาย การเจริญเติบโตของลูกปลากะพงขาว โดยอนุบาลลูกปลากะพงขาวอายุ 20 วันด้วยอาร์ทีเมียตัวเต็มวัยแช่แข็งทั้ง 3แบบและแบบมีชีวิต ตามแบบแผนการทดลอง ในตู้กระจกขนาด 200 ลิตร บรรจุน้ำความเค็ม 30 พีพีที เป็นระยะเวลา 15 วัน ผลการทดลองตอนที่ 1 พบว่าการคงสภาพของอาร์ทีเมียที่แช่ด้วยน้ำดีเกลือความเข้มข้นต่างกัน 4ระดับคือ 0, 5, 10 และ 15 % แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p0.05) ของการเจริญเติบโตและอัตราการแลกเปลี่ยนอาหารเป็นเนื้อแต่มีอัตรารอดตายแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระหว่างชุดทดลอง(p<0.05) โดยลูกปลากะพงขาวชุดการทดลองที่ 3 มีอัตรารอดตายมากที่สุด รองลงมาเป็นชุดการทดลองที่ 4 ซึ่งไม่แตกต่างจากชุดการทดลองที่ 1 ส่วนชุดการทดลองที่ 2 มีอัตรารอดตายต่ำสุด (p<0.05)และพบว่าลูกปลากะพงขาวที่อนุบาลด้วยอาร์ทีเมียในชุดการทดลองที่ 1 มีโปรตีนมากกว่าทุกชุดการทดลอง แต่มีระดับไขมันน้อยที่สุด (p<0.01) จากผลการศึกษานี้สรุปได้ว่าการแช่อาร์ทีเมียในน้ำดีเกลือความเข้มข้น 5% นาน 20นาทีทำให้อาร์ทีเมียคงสภาพดีที่สุดและมีระดับโปรตีนและไขมันมากที่สุด แต่ไม่ควรแช่นาน 30 นาที และสามารถเก็บรักษาอาร์ทีเมียที่ผ่านการแช่น้ำดีเกลือ 5% นาน 20 นาทีด้วยการแช่แข็งได้นานถึง56วัน โดยให้ผลอัตราการเจริญเติบโตอัตราการแลกเปลี่ยนอาหารเป็นเนื้อและอัตรารอดตายของลูกปลากะพงขาวไม่แตกต่างจากอาร์ทีเมียมีชีวิต แต่ระยะเวลาการเก็บรักษาที่ดีที่สุดคือ 28 วันเนื่องจากลูกปลากะพงขาวมีอัตรารอดตายดีที่สุดเท่ากับ 98.2?1.15% ในขณะที่อาร์ทีเมียที่แช่แข็งโดยไม่ใช้น้ำดีเกลือในการรักษาสภาพให้ผลอัตรารอดตายของลูกปลากะพงขาวต่ำที่สุดเท่ากับ 79.1?0.8% คำสำคัญน้ำดีเกลือ องค์ประกอบทางเคมี การเก็บรักษา อาร์ทีเมียแช่แข็ง
บทคัดย่อ (EN): Study on application of magnesium sulfate brine in increasing preservation efficiency of frozen artemia biomass (Artemia spp.) were devided into 2 experiments. First experiment was investigated the optimum brining interm ofsolution concentrations and immersion periods prior to frozen storage in different durations.The experiment was designed as 4x4 factorial model with 3 replications. The effect of 4 concentrations of magnesium sulfate brine (0, 5, 10 and15%) and 4 immersion periods (10, 15, 20 and30 minutes) were investigated on deteriolated resistance and nutritional value of fronzen artemia biomass storage at -20oC for 0, 14, 28 and 56 days.The second experiment evaluated the nutritional value of brine and non-brine frozen artemia biomass on survival rate and growth rate of Asian seabass fry (Lates calcarifer). The 4 different treatments were run in triplicates. Fifteen days feeding trial was conducted in 200 litres aquariums contained 30 ppt seawater to evaluate the nutritional value of alive artemia biomass (treatment 1), non-brining frozen artemia biomass (treatment 2), 28 days (treatment 3) and 56 days (treatment 4) of frozen artemia biomass immerged in 5% magnesium sulfate brinefor 20 minuteson survival rate and growth rate of 20 days old Asian seabass fry. The results of experiment 1 showed that there were significance difference of frozen artemia biomass stability among 4different brining concentrations 0, 5, 10 and15 % (p0.05) but there were significance fifferent of survival rate (p<0.05). The best survival rate was obtained from fish in treatment 3, the second order was treatment 4 which were not difference from treatment 1. The poorest survival rate was obtained from treatment 2(p<0.05). Fish in treatment 1 had the highest protein content but with the lowest lipid content(p<0.01). It can be concluded that brining Artemia biomass with 5% magnesium sulfate brine for 20 minutes resulted in the best performance of frozen Artemia biomass in term of both stability and protein and lipid content, while immerged in brine up to 30 minutesgave the poorest performance. Artemia biomass brining in 5% brine for 20 minutes was able to prolong the shelf life up to 56 days with out any adverse effect to growth rate, food conversion rate and survival rate of Asian seabass fry.However, 28 days storage of artemia biomass was suggested as the best survival rate as high as 98.2?1.15% was obtained, while none-brine frozen artemia had the poorest survival rate which was 79.1?0.8%. Keywords :Magnesium sulfate, Biochemical composition, preservation, Frozen Artemia biomass
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เผยแพร่โดย: กรมประมง
คำสำคัญ: อาร์ทีเมีย
เจ้าของลิขสิทธิ์: สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
การใช้น้ำดีเกลือในการเพิ่มประสิทธิภาพการเก็บรักษาอาร์ทีเมียแช่แข็ง
กรมประมง
31 มีนาคม 2559
กรมประมง
ผลของการเตรียมมังคุดต่อคุณภาพในการเก็บรักษาภายหลังการแช่แข็ง การศึกษาคุณภาพ และวิธีการเก็บรักษาต้นพันธุ์ที่มีต่อความงอกการเจริญเติบโตและผลผลิตของมันสําปะหลัง การเพิ่มประสิทธิภาพการเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์ข้าว หนังสือการเพาะเลี้ยงและการใช้ประโยชน์จากอาร์ทีเมีย การใช้สารแคลเซียมในช่วงก่อนการเก็บเกี่ยวเพื่อเพิ่มคุณภาพและการเก็บรักษาของผลลองกอง ผลการเสริมกรดไขมันที่จำเป็นระดับต่างกันให้โรติเฟอร์ และอาร์ทีเมียต่อการเจริญเติบโตและ อัตรารอดตายของลูกปลาตะกรับ (Scatophagus argus Linnaeus, 1766) ศึกษาระยะเวลาที่เหมาะสมในการเก็บรักษาปุ๋ยอินทรีย์น้ำที่ยังคงประสิทธิภาพ (วันหมดอายุ) การเพิ่มประสิทธิภาพการเก็บรักษาข้าวเปลือกในไซโลด้วยการตรวจวัดอุณหภูมิ, ความชื้นสัมพัทธ์, และความเข้มข้นแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ผลกระทบของความเค็ม ความหนาแน่น และปริมาณน้ำแข็ง ต่อการลำเลียงอาร์ทีเมียตัวเต็มวัยมีชีวิตเพื่อใช้ในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ การใช้ทรีฮาโลสเพิ่มประสิทธิภาพการเก็บรักษาอาหารธรรมชาติแช่แข็งเพื่อใช้ในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก