สืบค้นงานวิจัย
สภาวะทรัพยากรหอยตลับและหอยชักตีนและแนวทางการจัดการเพื่อความยั่งยืนในพื้นที่ชายฝั่ง จังหวัดตรัง
ประเสริฐ ทองหนูนุ้ย - มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย
ชื่อเรื่อง: สภาวะทรัพยากรหอยตลับและหอยชักตีนและแนวทางการจัดการเพื่อความยั่งยืนในพื้นที่ชายฝั่ง จังหวัดตรัง
ชื่อเรื่อง (EN): Status and Management Concept for Sustainability of Hard Clam, Meretrix meretrix and Wing Shell, Strombus canarium in the Coastal Area of Trang Province
ผู้แต่ง / หัวหน้าโครงการ: ประเสริฐ ทองหนูนุ้ย
บทคัดย่อ: การศึกษาสภาวะทรัพยากรหอยตลับและ หอยชักตีน และแนวทางการจัดการเพื่อความ ชั่งยืนในพื้นที่ชายฝั่ง จังหวัดตรัง ประกอบไปด้วยการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประชากรกับ สภาพแวดล้อม การประเมินประชากร การศึกษาเกี่ยวกับชีววิทยาการสืบพันธุ์ การใช้ระบบ สารสนเทศภูมิศาสตร์ในการแสดงข้อมูลทงสังคมของชาวประมงและข้อมูลทางนิเวศวิทยา และ การศึกยาทางด้านเศรษฐกิงและสังคมของชาวประมงที่ประกอบอาชีพจับหอยทั้งสองชนิด ซึ่งเป็น แนวทางของการเรียนรู้วิจัยทางค้านชีววิทยาและระบบนิเวสที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการ จัดการทรัพยากรหอยทะเลทั้งสองชนิดนี้ต่อไป โดยพื้นที่ศึกษามีสองแหล่งคือบริเวณแหล่งทำการ ประมงหอยตลับ(Meretrix casta)คือ ปากแม่น้ำปะเหลียน อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง ส่วนพื้นที่ การศึกษาหอยชักตื่นได้แก่บริเวณแหล่งทำการประมงหอยชักตีน (Sirombus canarium) มี 2 พื้นที่ คือ หาดมดตะนอย และ เกาะลิบง อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง ทำการเก็บรวบรวมข้อมูลตั้งแต่เดือน มกราดม 2551 ถึง เดือนกุมภาพันธ์ 2552 พบว่า ความค็มและปริมาณสารแขวนลอยทั้งหมด (TSS) มีความสัมพันธ์ต่อประชากรหอยตลับสูงสุด (pw -= 0.504) ส่วนคุณภาพดินนั้น พบว่า ค่ความเป็น กรด-ด่าง และปริมาณเหล็กมีค่าสูงสุด (Pw = 0.716) ส่วนปีจจัยทางด้านสภาพแวดล้อมบริเวณ แหล่งทำการประมงชักตีน บริเวณหาคมคตะนอย พบว่า ปริมาณสารแขวนลอยทั้งหมด (TSS) และอุณหภูมิของน้ำ เป็นตัวแปรที่มีความสัมพันธ์ (pw) สูงสุดในช่วงฤดูแล้ง ขณะที่ปริมาณสาร แขวนลอยทั้งหมด (TSS) และ ปริมาณไนโตรเจนทั้งหมด (IIN) มีค่าสูงสุดในช่วงฤคูฝน ซึ่งมีค่า (Pw) เท่ากับ 0.733 และ 0.631 ในช่วงฤดูแล้ง และช่วงฤดูฝน ตามลำดับ ส่วนในพื้นที่เกาะลิบง พบว่า ในช่วงฤดูแล้ง ค่าความเป็นกรด-ด่าง เป็นตัวแปรที่มีความสำคัญที่สุด (pw= 0.358) แต่ ในช่วงฤดูฝน ปริมาณในโตรเจนทั้งหมดและปริมาณสารแขวนลอยทั้งหมด กลับเป็นตัวแปรที่ สำคัญที่สุด (0.223) จำนวนตัวอย่างหอยตลับมากที่สุดในเดือนมีนาคม และต่ำสุดในเดือนกรกฏาคม จำนวน ผถผลิดพบว่าในเดือนพฤษภาคมมีปริมาณน้ำหนักรวมมากที่สุด และเดือนกุมภาพันธ์มีผลผลิตค้าน น้ำหนักรวมต่ำที่สุด รูปแบบการเจริญเติบโตของเปลือกหอยตลับ มีการเจริญเดิบโตที่เป็นสัคส่วน ต่อกัน ความสัมพันธ์ระหว่างความสูงเปลือกหอย กับน้ำหนักของหอยตลับ ความสัมพันธ์ของความ ยาวของเปลือกหอย กับน้ำหนักของหอยตลับ และความกว้างของเปลือกหอย กับน้ำหนักของหอย ตลับ มีรูปแบบการเจริญเติบโตเป็นแบบ Allometric พบจำนวนตัวอย่างหอยตลับมากที่สุดในเดือน สิงหาดม และต่ำสุดในเดือนกรกฏาคม จำนวนผลผลิตพบว่าในเดือนกุมภาพันธ์มีปริมาณน้ำหนัก รวมมากที่สุด และเดือนกรกฎาคมมีผลผลิตค้านน้ำหนักรวมด่ำที่สุด ความสัมพันธ์ระหว่างความยาวทั้งหมดกับน้ำหนักหอยลับพบว่ามีการเจริญเติบโดเป็น แบบ Isometic แต่ความสัมพันธ์ระหว่างความยาวลำตัวกับน้ำหนัก ความสัมพันธ์ระหว่างความ กว้างลำตัวกับน้ำหนักล้วนและความสัมพันธ์ระหว่างความยาวปากกับน้ำหนักมีการเจริญเติบโต แบบ Allometric ด่าการเจริญเติบโต โดย 1... เท่ากับ 55.30 มม. และมีค่า K เท่ากับ 1.6 ต่อปี ความสัมพันธ์ระหว่างความยาวกับอายุ 17, = 55.30 (1 - ๕*) และความสัมพันธ์ระหว่างน้ำหนัก อายุ พ = 50.75 (1-- -160 )พารามิเตอร์การตายตามธรรมชาติ (M) ของหอยตลั จังหวัดตรัง มีการตาย เป็น 2.11 ต่อปี อัตราการตายรวม(Z) เป็น 7.15 ต่อ อัตราการตายจากการทำ ประมง(F) เป็น 5.04 ต่อปี อัตราการใช้ประโยชน์(E) เป็น 0.70 ซึ่งมีการใช้ประโยชน์เกินความ จำเป็น เพราะอัตราการใช้ประ โยชน์อย่างเต็มที่จะอยู่ที่ 0.50 การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง yield per recruit โดยใช้ค่าความยาว L ที่ 25 มม เพื่อวิเคราะห์ผลจับ โดยมีค่า E., เท่ากับ 0.586, E.s เท่ากับ 0.375 และการใช้ประโยชน์สูงสุด (. ..) เท่ากับ0,650 ลักษณะฤดูการสืบพันธุ์ของหอยตลับพบการพัฒนาซลล์สืบพันธุ์ในตัวอย่างในทุกเดือน ซึ่งจะเห็นว่าค่คัชนีดวามสมบูรณ์อยู่ในระดับคงที่ ลักขณะการสืบพันธุ์ดังกล่าวพบได้ในเขตร้อน เนื่องจากมีอาหารเพียงพอตลอดปี อย่างไรก็ตามการศึกษาครั้งนี้ได้พบช่วงที่มีเปอร์เซ็นต์ของระยะ ของไข่และ สเปริม์ระยะ Devcloping และ Mature อยู่ในเปอร์เซ็นต์สูงระหว่างเดือนมกรากม ถึง เคือน กรกฎาคม ซึ่งเป็นช่วงฤดูแลังและค้นฤดูฝน ซึ่งช่วงเวลาคังกล่าวก็ไม่ได้เป็นช่วงที่มีปัจจัย สภาวะแวคล้อมที่เป็นไปในทิศทางเดียวกับการเพิ่มขึ้นของระยะการพัฒนาอวัยวะสืบพันธุ์ อีกทั้ง ความเค็มของน้ำในช่วงเวลาดังกล่าวมีการลดลงอย่างรวดเร็วในช่วงเดือนมกราคมและเดือนกุมภา พันธุ์ ความเปลี่ยนแปลงของความเต็มจึงไม่ได้เป็นปัจจัยจำกัดต่อการพัฒนาของเซลล์สืบพันธุ์ของ หอยชนิดนี้ จากการพิจารณาการพัฒนาของอวัยวะสืบพันธุ์ในทุกสัปดาห์เป็นระยะเวลา 2 เดือน ติดต่อกัน พบว่าการพัฒนาเซลล์สืบพันธุ์จากระยะ Rest สู่ระยะ Mature ใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์ ซึ่งก่อนข้างสั้น การศึกษาในครั้งนี้ทั้งหอยตลับและหอยซักตื่นไม่สามารถหาดำขนาดเข้าสู่เต็มวัยที่ 50 % ของประชากร (.๒. ) ได้เนื่องจากตัวอย่างหอยตลับที่พบในการศึกษาครั้งนี้พบเป็นหอยที่มี ความต็มวัยแล้วแม้ว่าขนาดของหอยบางตัวอย่างจะมีขนาดเล็กก็ตาม เพราะว่าสามารถพบระยะการ พัฒนาของอวัยวะสืบพันธุ์ทุกระยะจากตัวอย่างหอยขนาคเล็ก นั่นหมายถึงหอยชนิดนี้มีการเข้าสู่วัย จริญพันธุ์เร็วจึงเป็นสัตว์น้ำที่มีการสืบพันธุ์เป็นแบบ r-sclction เหมือนกับสัตว์น้ำในเขตร้อนเป็น ส่วนใหญ่ ในการวางแผนเพื่อการบริหารจัดการเพื่อการจำกัดขนาดการทำการประมงเพื่อไม่ให้จับ ติดหอยที่ยังไม่เจริญพัน ธุ์จึงคำเนินการค่อยข้างขากในการกำหนดข้อปฏิบัติ การกำหนดช่วงการทำ การประมงเพื่อพักให้มีการสืบพันธุ์น่าจะปฏิบัติได้ง่ายกว่าเนื่องจากหอยชนิดนี้มีช่วงที่มีการพัฒนา อวยวะสิบพันธุทั้งเพศผู้และเพศเมียทิค่อนข้างจะเป็นฤดูกาลทำให้ง่ายแก่การทำความเข้าใจกับ ขาวประมง อย่างไรก็ตามในช่วงที่เปิดให้มีการทำการประมงจำเป็นต้องกำหนดปริมาณที่จับได้หรือ ขนาดของหอยที่ควรจับได้ควบคู่ไปด้วยเนื่องจากความดกของไข่หอยขนาดเล็กและหอยขนาดใหญ่ ช่อมมีความแตกต่างกัน หากเหลือเฉพาะหอยขนาดเล็กหรือปริมาณหอยที่เป็นพ่อแม่พันธุ์น้อย กินไปจะทำให้ปริมาณหอยวัยอ่อนที่ได้จากการผสมพันธุ์ในแต่ละฤดูกาลอาจจะไม่เพียงพอต่อการ จับในอนากตได้ สำหรับการทำการประมง กรณีของหอยชักตีนนั้นมีการทำการประมงอยู่สองวิธีคือวิธีเดิน เก็บและวิธีใช้เครื่องให้อากาศแล้วดำลงไปเก็บ การศึกษาในครั้งนี้เก็บตัวอย่างจากการเดินเก็บ บริวณแนวหญ้าทะเลขณะน้ำลงในช่วงน้ำเกิด ผลการศึกษาที่ได้จึงเป็นผลเฉพาะตัวอย่างหอยในเขต น้ำขึ้นน้ำลง การกำหนดข้อกำหนดในการทำการประมงจึงต้องมีข้อควรพิจารณา อย่างไรก็ตามผล การศึกยาก็ได้บ่งชี้ถึงฤดูการสืบพันธุ์ ซึ่งสามารถประมาณการสืบพันธุ์ของประชากรหอยชักตีนใน บริเวณนี้ได้ จากการวิจัยในครั้งนี้ได้บ่งชี้ถึงประสิทธิภาพของการจัดการทรัพยากรษายฝั่งโดยชุมชน ทำให้เกิดความสำเร็จในการป้องกันและสามารถใช้ประโยชน์จากทรัพยากรเหล่านั้นได้อย่างยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องการวิจัยต่างๆ ที่ใด้รายงานถึงบทบาทของชุมชนในการจัดการทรัพยากรชายฝั่ง ซึ่ง ปัขัยหลักที่ทำให้การจัดการทรัพยากรในชุมชนได้ผลตีคือการมีระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการใช้ ทรัพยากร ที่กำหนดและบังคับใช้โดยสมาชิกในขุมชนนั่นเอง จากการศึกษาสภาวะเศรมฐกิจและสังคมของผู้ใช้ประโยชน์ทรัพยากรหอยตลับ พบว่า ทาวประมงเกือบทั้งหมดได้เรียนหนังสือและจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน โคยอาชีพหลัก คือ การทำ ประมงหอยตลับและประมงสัตว์น้ำชนิดอื่นๆ ซึ่งชาวประมงส่วนใหญ่มีรายได้ต่อเดือนจากการ ประกอบอาชีพนี้ไม่เกิน 5,000 บาท ในขณะที่มีจำนวนสมาชิกในครัวเรือนเฉลี่ย 4 คนต่อเรือน ขาวประมงส่วนใหญ่จึงประกอบอาชีพเสริมเพื่อหารายได้เพิ่มเติมอีกทางหนึ่ง อย่างไรก็ตามรายได้ ของครัวเรือนขาวประมงประมาณร้อยละ 50 ของครัวเรือนทั้งหมดอยู่ที่ S,000-7,000 บาทต่อเดือน และตรัวเรือนร้อยละ 54 มีรายได้ไม่เพียงพอต่อค่าใช้ข่าย ส่งผลให้ต้องกู้ยืมเงินและมีหนี้สิน วิธีการทำประมงหอยตลับมี 3 วิธี ได้แก่ ชีเก็บด้วขมือ ซึ่งชาวประมงใช้เวลาในการทำ ประมงเฉดี่ย 3 ชั่วโมงต่อเที่ยว วิธีการใช้คราคแบบเดินคราดหรือยืนคราดบนเรือไม่คิดเครื่องยนตั และวิธีการใช้คราดแบบยืนคราดบนเรือขณะเรือติดเครื่องยนต์ ซึ่งชาวประมงใช้เวลาในการทำ ประมงเฉลี่ย 4 ชั่วโมงต่อเที่ยว ปริมาณหอย (กละขนาด) เฉถี่ยที่ได้จากการทำประมงแต่ละวิธี คือ 22. s+4.3, 58.0t10.6 แถะ 133.4+24.0 ตามลำดับ โดยปริมาณหอยเฉลี่ยที่ ได้จากการทำประมงโดย วิธีใช้คราดแบบยืนคราคบนเรือขณะเรือติดเครื่องยนตัสูงที่สุดและแตกต่างจากวิธีการทำประมงวิธี อื่นอย่างมีนัยสำคัญ ต้นทุนและผลตอบแทนของการทำประมงหอยตลับต่อเที่ยวแตกต่างกันในแต่ละวิธี โคย วีรีที่ใช้ต้นทุนสูงที่สุดแต่ให้รายรวมมากที่สุด คือ วิธีใช้คราดแบบยืนคราดบนเรือขณะเรือติด เครื่องยนด์ ซึ่งมีต้นทุนรวม 184.58 บาท และ รายได้รวม 700.35 บาท รองลงมา คือ การทำประมง ไดยวิธีใช้คราดแบบเดินคราคหรือยืนคราคบนเรือไม่ผิดเครื่องขนด์ มีต้นทุนรวม 146.36 บาท และ รายได้รวม 343 บาท ส่วนการทำประมงโดยวิธีเก็บด้วยมือมีต้นทุนรวมและรายได้รวมต่ำที่สุด คือ 103.35 และ 131.25 บาท การใช้ประโยชน์ทรัพยากรหอยตลับของชาวประมงเป็นไปเพื่อการบริ โภคและจำหน่าข ดยจำหน่ายในรูปหอยสดทั้งเปลือก หอยต้มแกะเนื้อ (เนื้อหอยต้ม) ทอยสดแกะเนื้อ (เนื้อหอยสด ไม่รวมเปลือก) และหอยคอง โดยชาวประมงจำหน่ายผลผลิตหอยสด ทั้งเปลือกและเนื้อหอยตลับ ตั้มส่วนใหญ่ให้กับผู้รวบรวมราชบ่อยซึ่งมี่หลายรายในท้องถิ่น ส่วนเนื้อหอยตลับสดและหอยดอง นั้นขาวประมงจำหน่ายให้ผู้บริโภคเองโดยตรงมากที่สุด ชาวประมงเห็นว่าทรัพยากรหอยตลับมีความสำคัญต่อชุมชนและระบบนิเวศน์ทางทะเล แต่ในขณะเดียวกันทรัพยากรหอยตลับมีปริมาณลคลงจากอคีตและขนาคตาอวนที่ใช้ประกอบ เครื่องมือคราดหอยในปัจจุบันทำให้คราคหอยขนาดเล็กได้มากขึ้น ส่วนมาตรการจัดการที่ ขาวประมงเห็นด้วย ได้แก่ กำหนดไม่ให้ทำการประมงหอยตลับขนาคเล็ก ไม่ใช้ตาอวนขนาดเล็ก ประกอบเครื่องมือคราดหอย การกำหนดขนาดหอยที่อนุญาตให้จับได้ และการกำหนดขนาดหอย ที่พ่อค้าจะรับซื้อ การจัดการทรัพยากรหอยตลับในปัจุบันของชุมชนเกิดขึ้นผ่านการดำเนินงานของกลุ่มที่ จัดตั้งขึ้น โดยมีสมาชิกกลุ่มทำหน้ที่ดูแลไม่ให้มีการทำประมงหอยตลับที่ผิดกฎระเบียบของกลุ่ม รวมถึงไส้กำหนดพื้นที่อนุรักษัพร้อมกับวางกฎระเบียบเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์หอยตลับในพื้นที่ อนุรักษ์ขึ้นใช้โดยชุมชน ส่วนการจัดการของกาครัฐได้ดำเนินการผ่านการออกกฎหมายประเภท ประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งส่งผลดีต่อการอนุรักษัทรัพยากรหอยตลับอีกทางหนึ่ง สำหรับชาวประมงหอยชักตีนนั้นมีสัดส่วนของผู้นับถือศาสนาพุทธและอิสลามใกล้เคียง กันรวมไปถึงอาชีพหลักที่ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพการทำสวนยางพาราและการทำประมงสัตว์น้ำ อื่นๆ โดยทำประมงหอยชักตีนเป็นอาชีพเสริม ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากการทำประมงหอยชักตีนสร้าง รายได้ไม่สูงนัก มีรายได้จากการทำประมงหอยชักตื่นต่ำกว่า 3,000 บาทต่อเดือน ส่วนรายได้ ทั้งหมดของครัวเรือนซึ่งมาจากแหล่งรายได้ทุกแหล่งนั้นอยู่ที่ครัวเรือนละ 5,000-9,000 บาท โดย ครัวเรือนมีจำนวนสมาชิกเฉถี่ย 4 คน และพบว่าครัวเรือนร้อยละ 29.4 ของทั้งหมด มีรายได้ไม่ เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายส่งผลให้มีหนี้สินโดยเฉพาะเพื่อการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวัน วิธีการทำประมงหอยชักตื่นมีวิธีเดียว คือ วิธีเก็บด้วยมือ ซึ่งชาวประมงใช้เวลาในการทำ ประมง 2- 3 ชั่วโมงต่อเที่ยว โดยชาวประมงมีทั้งกลุ่มที่ใช้และไม่ใช้เรือเป็นยานพาหนะในการ ดินทางไปยังแหล่งทำการประมง กลุ่มที่ไม่ใช้เรือมีต้นทุนการทำประมงเฉพาะต้นทุนค่าแรงงานซึ่ง ป็นดันทุนผันแปรประเภทค้นทุนประเมิน ประมาณ 60-80บาทต่อเที่ยว ได้ผลผลิตเฉลี่ย 5 กิโลกรัม คิดเป็นรายได้ประมาณ 100 บาทต่อเที่ยว ส่วนกลุ่มที่ใช้เรือมีต้นทุนการทำประมงทั้ง คันทุนคงที่และคั้นทุนผันแปรรวม 24.68 บาทต่อเที่ยว ผลผลิตหอยที่ได้เฉลี่ย 75 กิโลกรัม คิด เป็นรายได้ทั้งหมด 150 บาทต่อเที่ยว การใช้ประโยชน์ทรัพยากรหอยชักตีนของชาวประมงเป็นไปเพื่อการบริโภคและจำหน่าย โดยจำหน่ายในรูปหอยสดทั้งเปลือกในราคากิโลกรัมละ 20-25 บาท ซึ่งผลผลิตของชาวประมง ส่วนใหญ่ถูกจำหน่ายให้กับผู้รวบรวมรายย่อยในท้องถิ่น รองลงมาจำหน่ายให้กับพ่อค้าหอยต้มและ ผู้บริโภคโดยตรงในสัดส่วนที่เท่ากัน ผลผลิตหอยจากผู้รวบรวมรายย่อยถูกขายต่อให้กับผู้รวบรวม รายใหญ่ในท้องถิ่น ซึ่งจะจำหน่ายหอยต่อไปขังร้านอาหารบริเวณหาดปากเมง อำเภอสิเกา จังหวัด ตรัง รวมถึงไปยังพ่อค้าส่งและพ่อก้าปลีกในจังหวัดกระบี่ พังงา ภูเก็ต ชาวประมงเห็นว่าทรัพยากรหอยชักตีนมีความสำญต่อชุมชนและระบบนิเวศน์ทางทะเล ป็นทรัพยากรที่สามารถพบได้ในทุกพื้นที่ชายฝั่งทะเลของจังหวัดตรัง และการทำประมงหอยชัก นนั้นสามารถทำได้ตลอดทั้งปี แต่ปัจจุบันทรัพยากรหอยชักตื่นมีปริมาณลคลงจากอดีต โคย มาตรการจัดการที่ชาวประมงเห็นด้วย ได้แก่ กำหนดไม่ให้ทำการประมงหอยชักตื่นขนาดเล็ก กำหนดขนาดหอยที่อนุญาตให้จับไค้ กำหนดขนาดหอยที่พ่อค้ำาจะรับซื้อ และเห็นด้วยกับการเข้า ร่วมเป็นสมาชิกชมรม/กลุ่มดูแลและจัดการเกี่ยวกับการทำประมงหอยชักตีน รวมถึงการเข้าร่วม รณรงค์ห้ามทำประมงผิดข้อกำหนด การร่วมแจ้งข่าวสารเมื่อพบเห็นการทำประมงที่ผิดข้อกำหนด และการร่วมตรวจการณ์การทำประมงที่ผิดข้อกำหนดของชมรม/กลุ่ม การจัดการทรัพยากรหอยชักตื่น โดยเฉพาะเจาะทั้งของชุมชนและของภาครัฐนั้น พบว่ายัง ไม่มีการดำเนินการในพื้นที่ แต่ได้มีกฎหมายประเภทประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และ ประกาศจังหวัดตรัง ที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์ทรัพยากรชาฝั่งทะเลชนิคอื่น ๆ แล้วก่อประโยชน์ ต่อทรัพยากรหอยชักตื่นด้วย โดยเฉพาะประกาศจังหวัดตรังเรื่อง กำหนดห้ามใช้เครื่องมือประมง ขางชนิดทำการประมงในบริเวณแหล่งหญ้าทะเถภายในพื้นที่กำหนด ลงวันที่ 16 พฤบภาคม พ.ศ. 2535 เพราะประกาศฉบับนี้ครอบคลุมพื้นที่เกะลิบงบางส่วนซึ่งเป็นแหล่งทำการประมงหอยชัก ตีนของชาวประมง
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เผยแพร่โดย: มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย
คำสำคัญ: จังหวัดตรัง
คำสำคัญ (EN): Trang Province
เจ้าของลิขสิทธิ์: สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
สภาวะทรัพยากรหอยตลับและหอยชักตีนและแนวทางการจัดการเพื่อความยั่งยืนในพื้นที่ชายฝั่ง จังหวัดตรัง
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย
30 กันยายน 2552
ศักยภาพการใช้ประโยชน์และการสร้างมูลค่าเพิ่มของปูหิน บริเวณพื้นที่อ่าวสิเกา จังหวัดตรัง การศึกษาศักยภาพและแนวทางการจัดการแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศของอุทยานแห่งชาติขุนสถาน การวิเคราะห์ปัจจัยที่มีผลต่อการยอมรับและความยั่งยืนของการผลิตผักสดที่ผ่านมาตรฐานการผลิตทางการเกษตรดีที่เหมาะสมในเขตภาคเหนือตอนบน แนวทางการจัดการประมงกั้งตั๊กแตนในจังหวัดตรัง การศึกษาเปรียบเทียบการจัดการแรงงานภาคเกษตรของเกษตรกรชาวสวนลำไย จังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดจันทบุรี แนวทางการจัดการน้ำเพื่อการเกษตรบนพื้นที่สูงในพื้นที่บ้านแม่สาน้อย ตำบลโป่งแยง อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ แนวทางการพัฒนาศักยภาพของคนในท้องถิ่นในการบริหารจัดการการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนในพื้นที่จังหวัดชุมพร แนวทางการส่งเสริมการตลาดและพัฒนาผลิตภัณฑ์ : กรณีศึกษาสินค้า OTOP ในภาคตะวันออก การศึกษาระบบการผลิตและความยั่งยืนของกลุ่มเกษตรอินทรีย์ในเขตภาคเหนือตอนบน แนวทางการจัดการแบบมีส่วนร่วมเพื่อการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพของทรัพยากรประมงอย่างยั่งยืนในแม่น้ำปิงจังหวัดเชียงใหม่
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก