สืบค้นงานวิจัย
การปรับปรุงพันธุ์ยูคาลิปตัสด้วยเทคโนโลยีชีวภาพเพื่อเพิ่มพื้นที่ปลูกในแหล่งดินเค็มภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย
รงรอง หอมหวล - มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ชื่อเรื่อง: การปรับปรุงพันธุ์ยูคาลิปตัสด้วยเทคโนโลยีชีวภาพเพื่อเพิ่มพื้นที่ปลูกในแหล่งดินเค็มภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย
ชื่อเรื่อง (EN): The varietal improvement of Eucalyptus sp. via Biotechnology for salinity soil plantation in Northeastern part of Thailand
ผู้แต่ง / หัวหน้าโครงการ: รงรอง หอมหวล
บทคัดย่อ: การเพิ่มปริมาณต้นยูคาลิปตัส (Eucalyptus spp.) เบอร์ต่างๆ ได้แก่ E. camaldulensis (no.1, no.5, no.69, no.76, no.129/18, no. 188/18 และ no. 236/23); E. camaldulensis X E. tereticornis (C); E. tereticornis (Tere) และ E. grandis (no.51) ในสภาพปลอดเชื้อเพื่อใช้สำหรับการทดลองเหนี่ยวนำให้เกิดการกลายพันธุ์โดยการฉายรังสีแกมมา ทำได้โดยการนำชิ้นส่วนของตายอดและตาข้างต้นยูคาลิปตัสมาเพาะเลี้ยงในอาหารแข็งสูตร MS ที่เติม BA และ kinetin ความเข้มข้นอย่างละ 0.25 มก./ล ซึ่งสามารถพัฒนาให้เกิด multiple shoots ได้ โดยเฉลี่ย 3-5 ยอดต่อ 1 ตา ต้นยูคาลิปตัสมีการพัฒนาเป็นต้นเดี่ยวที่สมบูรณ์ และออกรากได้ดีในอาหารแข็งสูตร MS ซึ่งไม่เติมสารควบคุมการเจริญเติบโต เมื่อนำต้นยูคาลิปตัสสายพันธุ์ต่างๆ เหล่านี้ไปผ่านการฉายรังสีแกมมาแบบเฉียบพลัน (acute) ด้วยเครื่อง markI ที่ระดับความเข้มของรังสีต่างๆ กัน ตั้งแต่ 0,10, 25, 50 และ 100 เกรย์ พบว่ายูคาลิปตัส no.129/18, no.236/23 และ no.76 ที่ได้รับปริมาณรังสีในอัตรา 50-100 เกรย์ มีอัตราการเจริญเติบโตลดลงและตายหมดเมื่อเพาะเลี้ยงในอาหารได้นาน 3 เดือน ในขณะที่ยูคาลิปตัส no.1, no.5, C และ Tere มีอัตราการเจริญเติบโตลดลงแต่ก็ยังคงมีต้นที่รอดตาย ค่า LD50 ของปริมาณรังสีแกมมาแบบเฉียบพลันที่ใช้สำหรับต้นยูคาลิปตัสเหล่านี้อยู่ที่ 50-75 เกรย์ นอกจากนี้การศึกษาเกี่ยวกับอัตราการเจริญเติบโตของต้นยูคาลิปตัสสายพันธุ์ต่างๆ ที่เพาะเลี้ยงในอาหารสูตร MS ซึ่งมีเกลือ NaCl เป็นองค์ประกอบ เพื่อใช้สำหรับการคัดเลือกต้นยูคาลิปตัสซึ่งผ่านการฉายรังสีแกมมาที่มีคุณสมบัติทนเค็ม โดยพบว่าในอาหารเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อที่มีเกลือ NaCl ความเข้มข้น 400 mM ทำให้ต้นยูคาลิปตัสทั้งหมดตาย แต่ที่ระดับความเข้มข้น 200 mM พบว่ายูคาลิปตัสสายพันธุ์ Eucalyptus camaldulensis no.76, no.188/18 และ no.1 มีต้นรอดตายร้อยละ 50, 36.67 และ 13.33 ตามลำดับ โดยมีอัตราการเจริญเติบโตทางด้านความสูงน้อยมากและไม่มีเลย ยกเว้น no.188/18 ที่พบว่ามีความสูงเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 0.31 ซม. ในช่วงเดือนที่ 1 หลังจากนั้นไม่พบการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น เช่นเดียวกันกับ E. tereticornis ที่มีอัตราการรอดตายสูงสุดคือร้อยละ 50 มีการเปลี่ยนแปลงของความสูงเพิ่มขึ้นเพียง 0.2 ซม. เฉพาะในเดือนแรก หลังจากนั้นก็ไม่พบการเปลี่ยนแปลง แต่สำหรับ E. grandis ไม่พบมีต้นที่รอดตายในอาหารที่มีเกลือ NaCl ทั้งที่ระดับความเข้มข้น 200 และ 400 mM สำหรับการคัดเลือกต้นยูคาลิปตัสเบอร์ต่างๆ ที่ผ่านการฉายรังสีแกมมาในอาหารที่มีเกลือ NaCl ทั้งที่ระดับความเข้มข้น 200 และ 400 mM พบว่าต้นยูคาลิปตัสทุกเบอร์ไม่สามารถเจริญเติบโตได้ในอาหารที่มีเกลือ NaCl ความเข้มข้น 400 mM ในขณะที่ E. camaldulensis (no.1) ซึ่งเพาะเลี้ยงในอาหารที่มีเกลือ NaCl ความเข้มข้น 200 mM เป็นเวลานาน 3 เดือนสามารถรอดตายได้ การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบการเติบโตและลักษณะทางสรีรวิทยาของสายพันธุ์ รุ่นที่ 2 ของยูคาลิปตัส คามาลดูเลนซิส และคัดเลือกสายพันธ์ที่มีผลผลิตสูงและสามารถปรับตัวกับสภาพแวดล้อมในพื้นที่ปลูกได้ดี สำหรับพัฒนาเป็นสวนผลิตเมล็ดพันธุ์และสวนผลิตกิ่งพันธุ์ยูคาลิปตัส คามาลดูเลนซิส โดยทำการศึกษาการเติบโตและรูปทรงของต้นไม้ของยูคาลิปตัส คามาลดูเลนซิส จำนวน 120 สายพันธุ์ จาก 23 ถิ่นกำเนิด/แหล่งเมล็ด และศึกษาการแปรผันตามฤดูกาลของลักษณะทางสรีรวิทยาบางประการของยูคาลิปตัส คามาลดูเลนซิส จำนวน 10 สายพันธุ์ จาก 9 ถิ่นกำเนิด/แหล่งเมล็ด ตลอดจนวิเคราะห์ดัชนีการเติบโตเพื่อใช้เป็นเกณฑ์ในการคัดเลือกสายพันธุ์ของยูคาลิปตัส คามาลดูเลนซิส ตามวิธีการ selection index ผลการศึกษา พบว่า อัตราการรอดตาย ความสูง เส้นผ่านศูนย์กลางเพียงอก มวลชีวภาพเหนือพื้นดิน และการกักเก็บคาร์บอนในมวลชีวภาพเหนือพื้นดินของยูคาลิปตัส คามาลดูเลนซิส อายุ 1-3 ปี ในแปลงทดสอบสายพันธุ์ รุ่นที่ 2 มีการแปรผันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระหว่างถิ่นกำเนิด และระหว่างสายพันธุ์ ในขณะที่การประเมินรูปทรงของต้นไม้เมื่ออายุ 2 และ 3 ปี พบว่า การยืดยาวตรงของลำต้น ความหนาของกิ่ง มุมของกิ่ง และการลิดกิ่งตามธรรมชาติมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระหว่างถิ่นกำเนิด แต่การตั้งตรงของลำต้น และความตรงของลำต้น มีความแตกต่างอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติระหว่างถิ่นกำเนิด นอกจากนี้ ผลการศึกษาของลักษณะทางสรีรวิทยาแสดงให้เห็นว่าการสังเคราะห์แสงสุทธิสูงสุด การชักนำของปากใบ การคายน้ำ ประสิทธิภาพในการใช้น้ำ และค่าชลศักย์ของใบ มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระหว่างฤดูกาล แต่ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติระหว่างสายพันธุ์ ยกเว้นปริมาณคลอโรฟิลล์ในใบซึ่งมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระหว่างฤดูกาลและระหว่างสายพันธุ์ โดยสายพันธุ์ที่มีการเติบโตดีมีแนวโน้มที่มีความแตกต่างของลักษณะทางสรีรวิทยาระหว่างฤดูกาลน้อยกว่าสายพันธุ์ที่มีการเติบโตช้า นอกจากนี้ ผลการวิเคราะห์ดัชนีการเติบโตดีจากความสูงและเส้นผ่านศูนย์กลางเพียงอกทำให้สามารถจัดลำดับและคัดเลือกสายพันธุ์ที่มีการเติบโตดีจำนวน 60 สายพันธุ์ สำหรับพัฒนาเป็นสวนผลิตเมล็ดพันธุ์ และคัดเลือกแม่ไม้จำนวน 30 ต้น จากสายพันธุ์ที่มีการเติบโตดี และทำการขยายพันธุ์โดยไม่อาศัยเพศเพื่อสร้างเป็นสวนผลิตกิ่งพันธุ์ต่อไปในอนาคต รวบรวมพันธุ์ยูคาลิปตัส ทั้งจากแปลงทดลอง และในสภาพปลอดเชื้อ โดยเก็บตัวอย่างยูคาลิปตัสจากแปลงปลูก 13 สายต้น/สายพันธุ์ นำมาฟอกฆ่าเชื้อได้เนื้อเยื่อปลอดเชื้อ 9 สายต้น/ สายพันธุ์ แต่เนื้อเยื่อมีการเจริญเติบโต หลังการย้ายอาหารเพื่อ maintain เพียง 8 สายต้น/สายพันธุ์ และได้รับเนื้อเยื่อปลอดเชื้อ อีก 4 สายพันธุ์ ในจำนวนต้นเนื้อเยื่อปลอดเชื้อ 12 สายต้น/สายพันธุ์ ทำการคัดเลือกสายต้น/สายพันธุ์ยูคาลิปตัสปลอดเชื้อ 6 สายต้น/สายพันธุ์ เป็นยูคาลิปตัสคามาลดูเลนซิส 3 สายต้น/สายพันธุ์ ยูคาลิปตัสลูกผสม 2 สายพันธุ์ และ E. tereticornis เพื่อใช้ในการทดสอบปฏิกิริยาของเอนไซม์ที่พืชใช้ป้องกันตัวเองภายหลังจากได้รับเกลือความเข้มข้นสูง โดยการตรวจวัดปฏิกิริยาของเอนไซม์ SOD, CAT และ APX รวมทั้งวัดปริมาณโพรลีนเพื่อการคัดเลือกยูคาลิปตัสทนเค็ม ตรวจสอบกับเนื้อเยื่อยูคาลิปตัส 6 สายพันธุ์ ภายหลังจากเลี้ยงในอาหารที่เติมเกลือความเข้มข้น 0, 125, 250 และ 500 mM เป็นเวลา 7 วัน ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์เป็นโมเลกุลสัญญาณ มีบทบาทในการเจริญเติบโตและกลไกการป้องกันตัวในสภาวะไม่เหมาะสมของพืช อย่างไรก็ตามเมื่อความเข้มข้นไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์มากจะเป็นพิษต่อเซลล์ เซลล์มีการกำจัดไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์โดยเปอร์ออกซิเดส แคททาเลส (CAT) และแอสคอเบทเปอร์ออกซิเดส (APX) ในการทดลองนี้ ศึกษากิจกรรมการกำจัดไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์โดย APX และ CAT และกำจัดซุปเปอร์ออกไซด์ โดยซุปเปอร์ออกไซด์ดิสมิวเทส (SOD) ในเนื้อเยื่อยูคาลิปตัสสายต้น/สายพันธุ์ T-5, 51/23, CT-67, Tere, K-61 และ K-69 พบว่า ยูคาลิปตัสทุกสายพันธุ์ ยังมีกิจกรรม APX, CAT และ SOD ในสภาวะที่มีเกลือแกง (NaCl) สูงถึง 500 mM เป็นเวลา 7 วัน แต่รูปแบบกิจกรรม APX, CAT และ SOD ต่างกันในต่างสายพันธุ์ Tere เป็นสายพันธุ์ที่มีแนวโน้มการชักนำกิจกรรม APX โดยเกลือ NaCl ได้ดีที่สุด ส่วน T-5, 51/23 และ K-61 แสดงการชักนำกิจกรรม SOD และ CAT โดยเกลือ NaCl อย่างชัดเจน โดยที่เบอร์ 51/23 มีกิจกรรม SOD และ CAT สูงอย่างชัดเจนที่ความเข้มข้นเกลือ 500 mM ที่เวลา 7 วัน ในสภาพแวดล้อมความเค็มพืชมีการปรับตัวโดยการสะสมโพรลีน แม้มีปริมาณมากก็ไม่เป็นอันตรายต่อเซลล์ โพรลีนจึงเป็นตัวบ่งชี้ทางชีวเคมีสำหรับคัดเลือกพืชทนเค็ม ในการศึกษารูปแบบการสะสมโพรลีนในเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อยูคาลิปตัสเปรียบเทียบต่างสายพันธุ์ภายใต้สภาวะความเค็มได้แก่ T5, 51/23, CT-76, Tere, K-61 และ K-69 พบว่า รูปแบบการสะสมโพรลีนทั้ง 6 พันธุ์ คล้ายกันคือปริมาณโพรลีนเพิ่มขึ้นมื่อมีเกลือโซเดี่ยมคลอไรด์เพิ่มขึ้น และเพิ่มสูงสุดในสภาวะที่ศึกษาคือ 500 มิลลิโมลาร์โซเดี่ยมคลอไรด์ เป็นเวลา 7 วัน และพันธุ์ที่มีแนวโน้มศักยภาพสูงได้แก่ 51/23 และ Tereนำตัวอย่างยูคาลิปตัสที่เก็บมาจาก อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา 10 สายพันธุ์ มาขยายพันธุ์เพิ่มปริมาณโดยเทคนิคการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อใช้อาหารสูตร MS ที่เติมที่เติม BA 0.5มก./ล เพื่อขยายพันธุ์เพิ่มปริมาณ หลังจากนั้นตัดเป็นต้นเดี่ยวนำมาชักนำให้ออกราก พบว่าการเติมฮอร์โมน IBA 0.5 มก./ล สามารถชักนำให้เกิดรากได้ 100 %.และเลี้ยงไว้ในขวด เพียง 1 เดือน สามารถนำไปย้ายปลูกและมีอัตราการรอดชีวิตสูงสุด นอกจากนี้ยังได้ทำการคัดเลือกยูคาลิปตัสทนเค็มในสภาพปลอดเชื้อ โดยทดลองในสูตรอาหาร MS ที่เติม NaCl 8 ระดับ ได้แก่ 0,0.25 , 0.5 , 0.75 , 1 , 1.25 , 1.5 และ 2.0 เปอร์เซ็นต์ พบว่า เมื่อเวลาผ่านไป 2 เดือน สายพันธุ์ที่ทนเค็ม 3 อันดับแรกได้แก่ D1,129/18,และ236/23
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เผยแพร่โดย: มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
คำสำคัญ: การถ่ายยีนทนเค็ม
เจ้าของลิขสิทธิ์: มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
การปรับปรุงพันธุ์ยูคาลิปตัสด้วยเทคโนโลยีชีวภาพเพื่อเพิ่มพื้นที่ปลูกในแหล่งดินเค็มภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
2553
การปรับปรุงพันธุ์ยูคาลิปตัสให้ทนต่อความเค็มด้วยการถ่ายยีน APX เข้าสู่ต้น การปรับปรุงพันธุ์ยูคาลิปตัสด้วยเทคโนโลยีชีวภาพเพื่อเพิ่มพื้นที่ปลูกในแหล่งดินเค็มภาคตะวันออกเฉียงเหนือ Varietal Improvement o Eucalyptus sp. va Biotechnology for Salnity Soil Plantation in Northeaster การปรับปรุงพันธุ์ยูคาลิปตัสเพื่อปลูกในพื้นที่ภาคตตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย โดยการฉายรังสีแกมมาร่วมกับเทคนิคการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช ผลของการปรับปรุงดินด้วยถ่านชีวภาพต่อสมบัติเคมี-ฟิสิกส์ของดินทรายในพื้นที่ปลูกยางพาราภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โครงการ การปรับปรุงพันธุ์อ้อยให้ทนดินเค็มโดยวิธีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อร่วมกับการก่อกลายพันธุ์ เทคโนโลยีการปลูกพริกในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ การประเมินศักยภาพพื้นที่และดินเพื่อกำหนดชุดเทคโนโลยีการจัดการ ในการปลูกอ้อยที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลางของประเทศไทย การประเมินศักยภาพ ปริมาณพื้นที่และคุณภาพของดินเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีการปลูก และการจัดการที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืนในการปลูกอ้อยพื้นที่จังหวัดชัยภูมิและนครราชสีมา ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างของประเทศไทย การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อยในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย การประเมินปริมาณพื้นที่และคุณภาพของดินเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีการปลูกและการจัดการที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืนในการปลูกอ้อย ในพื้นที่จังหวัดขอนแก่น กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด และมหาสารคาม ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลาง
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก