สืบค้นงานวิจัย
รูปแบบไร่นาสวนผสมในเขตน้ำฝนของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
วีรวัฒน์ กุลสิงห์ - กรมส่งเสริมการเกษตร
ชื่อเรื่อง: รูปแบบไร่นาสวนผสมในเขตน้ำฝนของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ผู้แต่ง / หัวหน้าโครงการ: วีรวัฒน์ กุลสิงห์
บทคัดย่อ: การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาสภาพพื้นฐานบางประการ เหตุผลและแรงจูงใจของเกษตรกรที่ทำไร่นาสวนผสม ตลอดจนรูปแบบไร่นาสวนผสมในเขตน้ำฝนของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ การศึกษาได้แบ่งออกเป็น 2 ระบบ คือ การศึกษาเชิงปริมาณและการศึกษาเชิงคุณภาพ การศึกษาเชิงปริมาณ ประชากรและตัวอย่างคือเกษตรกรที่ทำไร่นาสวนผสมในปี 2536 ซึ่งกรมส่งเสริมการเกษตรได้รวบรวมข้อมูลไว้แล้ว รวม 21 รายใน 16 จังหวัดของภาค สำหรับการศึกษาเชิงคุณภาพได้แบ่งพื้นที่ทั้ง 19 จังหวัดในภาคออกเป็น 2 เขต คือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน และตอนล่าง แต่ละเขตได้กำหนดพื้นที่ไร่นาสวนผสมเป็น 3 ขนาดได้แก่ไร่นาสวนผสมขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ คัดเลือกเกษตรกรตัวอย่างตามขนาดของพื้นที่ ๆ ละ 1 จังหวัด ๆ ละ 1 ราย โดยวิธีเจาะจง (purposive selection) รวม 2 เขตมีเกษตรกรตัวอย่างทั้งสิ้น 6 จังหวัด 6 ราย รวบรวมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์แบบหยั่งลึกร่วมกับการสังเกตการณ์ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์โปรแกรมสำเร็จรูป SPSS สถิติที่ใช้ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพโดยการแยกแยะตามประเด็นของเนื้อหา สถิติที่ใช้ได้แก่ค่าเฉลี่ยเลขคณิต แล้วหาข้อสรุปและนำเสนอผลการศึกษาด้วยวิธีการบรรยาย ผลการศึกษาเชิงปริมาณสรุปได้ดังนี้ ก่อนการปรับปรุงไร่นาสวนผสมเกษตรกรส่วนใหญ่ (ร้อยละ 66.67) ทำการเกษตรโดยใช้ระบบการปลูกพืช มีการปลูกข้าวเพียงอย่างเดียวมากที่สุด (ร้อยละ 25.57) มีรายได้จากกิจกรรมการเกษตรเฉลี่ย 50,259 บาท/ปี รายจ่ายเฉลี่ย 24,375.43 บาท/ปี หลังจากปรับปรุงไร่นาสวนผสมจนถึงปี 2536 แล้วพบว่าระบบที่เกษตรกรปฏิบัติมากที่สุดคือ ระบบการปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ และทำประมง (ร้อยละ 80.95) โดยรูปแบบมากที่สุดคือรูปแบบข้าว + ไม้ผลไม้ยืนต้น + สุกร + ไก่ + ปลา (ร้อยละ 14.28) มีรายได้ จากกิจกรรมการเกษตรเฉลี่ย 260,729.40 บาท/ปี รายจ่ายเฉลี่ย 133,101.80 บาท/ปี และกำไรเฉลี่ย 127ล627.60 บาท/ปี สำหรับผลการศึกษาเชิงคุณภาพสรุปได้ว่าเกษตรกรส่วนใหญ่ (5 ราย) จบชั้นประถมศึกษาชั้นประถมปีที่ 4 อายุเฉลี่ย 55.83 ปี มีแรงงานทำการเกษตรเฉลี่ย 3 คน ทำงานในไร่นา ปี 2540 คนละ 9.30 ชั่วโมง/วัน ทุกรายมีเครื่องสูบน้ำ ไร่นาสวนผสมมีเนื้อที่เฉลี่ย 21.33 ไร่ ใช้น้ำฝนเป็นหลัก เสริมด้วยน้ำในบ่อเก็บกักน้ำฝน ทั้งนี้มี 3 แปลงที่อยู่ใกล้แหล่งน้ำธรรมชาติซึ่งมีน้ำตลอดปี เหตุผลและแรงจูงใจที่เกษตรกรทุกรายหันมาทำไร่นาสวนผสมคือ ได้รับการฝึกอบรมเกี่ยวกับไร่นาสวนผสมและการเกษตรอื่น ๆ และมีโอกาสไปศึกษาดูงานจากเกษตรกรที่ประสบผลสำเร็จ ซึ่งจัดโดยหน่วยงานของรัฐ เปรียบเทียบรูปแบบไร่นาสวนผสมในเขตน้ำฝนของภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนและตอนล่าง พบว่าระบบการเกษตรปี 2540 ของเกษตรกรตอนล่างคือ ระบบการปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ และทำประมง ส่วนตอนบนใช้ระบบนี้เพียง 1 ราย อีก 2 รายใช้ระบบการปลูกพืชและทำประมง โดยรูปแบบที่เหมือนกันของเกษตรกรตอนบนคือ ไม้ผลไม้ยืนต้น + พืชผัก + ปลา และของเกษตรกรตอนล่างคือ ข้าว + ไม้ผลไม้ยืนต้น + พืชผัก + เป็ด + ไก่ + ปลา จำนวนกิจกรรมการเกษตรของเกษตรกรตอนบนเฉลี่ย 4.33 กิจกรรม (24.33 กิจกรรมย่อย) และตอนล่างเฉลี่ย 7 กิจกรรม (22.67 กิจกรรมย่อย) เกษตรกรตอนบนได้รับผลกำไรในปี 2540 มากกว่าตอนล่าง 90,835 บาท/ปี เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบรูปแบบไร่นาสวนผสมขนาดเล็กระหว่างตอนบนและตอนล่าง พบว่าทั้ง 2 แปลงอยู่ใกล้แห่งน้ำธรรมชาติ เกษตรกรตอนบนทำไร่นาสวนผสมก่อนตอนล่างนานถึง 15 ปี ในปี 2540 ทำงานมากกว่าเกษตรกรตอนล่าง 34.30 ชั่วโมง/วัน กิจกรรมการเกษตรทุกกิจกรรมได้รับผลผลิตเต็มที่แล้ว จึงได้รับผลกำไรมากกว่าเกษตรกรตอนล่าง 111,320 บาท/ปี สำหรับรูปแบบไร่นาสวนผสมขนาดกลางพบว่า เกษตรกรตอนล่างทำงานมากกว่า ตอนบน 5.46 ชั่วโมง/วัน แต่ได้รับผลกำไรน้อยกว่าเกษตรกรตอนบน 405,493 บาท/ปี เนื่องจากกิจกรรมที่เป็นรายได้หลักของเกษตรกรตอนบน คือ ไม้ผล ฯ จำนวน 5 กิจกรรมย่อยให้ผลตอบแทนสูงใช้ระยะเวลาสั้นเพียง 1-2 ปี จำหน่ายผลผลิตทั้งในรูปแบบผลสด หน่อพันธุ์และกิ่งพันธุ์ ส่วนกิจกรรมที่เป็นรายได้หลักจากข้าวนาปีซึ่งมีกำไรน้อย มีรายได้รองจากไม้ผลฯ ซึ่งยังไม่เต็มที่ ทั้งนี้มีรายได้เสริมจากกิจกรรมที่ให้ผลตอบแทนภายในหนึ่งปี จึงมีเงินทุนหมุนเวียนในปีต่อไป อีกปัจจัยหนึ่งคือแปลงตอนของเกษตรกรตอนบนเสริมสร้างด้วยแหล่งน้ำธรรมชาติซึ่งมีตลอดทั้งปี ในส่วนของไร่นาผสมขนาดใหญ่พบว่าทั้ง 2 แปลงใช้น้ำฝนเป็นหลักและเสริมด้วยน้ำในบ่อเท่านั้น เกษตรกรตอนบนทำงานมากกว่าตอนล่าง 2 ชั่วโมง/วัน แต่ได้รับผลกำไรน้อยกว่าตอนล่าง 244,308 บาท/ปี เนื่องจากเกษตรกร ตอนล่างมีรายได้หลักจากกิจกรรมเลี้ยงปลาซึ่งให้ผลตอบแทนสูง ใช้เวลาสั้นเพียง 1 ปี มีการผสมผสานปัจจัยการผลิตในไร่นาให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่จากทุกกิจกรรม โดยให้ธรรมชาติเกื้อกูลกันมากที่สุดซึ่งช่วยประหยัดรายจ่ายได้มาก ส่วนเกษตรกรตอนบนมีรายได้หลักจากไม้ผลฯ ซึ่งส่วนใหญ่ให้ผลผลิตเต็มที่แล้ว แต่มีรายจ่ายสูงเป็นค่าปุ๋ยคอก ปุ๋ยเคมีและสารเคมี สำหรับกิจกรรมที่เป็นรายได้รองและรายได้เสริมนั้นยังดำเนินการไม่เต็มพื้นที่และการปฏิบัติดูแลรักษายังไม่ดีเท่าที่ควร จากผลการศึกษามีข้อเสนอแนะดังนี้ เจ้าหน้าที่การเกษตรตำบลควรแนะนำให้เกษตรกรจดบันทึกรายได้ - รายจ่าย แบบง่ายและเป็นปัจจุบัน ผสมผสานการใช้ปัจจัยการผลิตที่มีอยู่ในไร่นาให้เกิดประโยชน์สูงสุด ขุดบ่อเพิ่มเติมให้ได้ประมาณร้อยละ 30 ของเนื้อที่ไร่นาสวนผสม ปฏิบัติดูแลรักษากิจกรรมไม้ผลฯ อย่างปราณีต เจ้าหน้าที่เกษตรตำบลควรได้รับการอบรมเรื่องการทำไร่นาสวนผสมปีละ 1 ครั้ง การศึกษาครั้งต่อไปควรศึกษาเกี่ยวกับรูปแบบไร่นาสวนผสมในเขตน้ำฝนเป็นรายจังหวัด รายอำเภอ และรายตำบลหรือศึกษาเฉพาะราย
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เผยแพร่โดย: กรมส่งเสริมการเกษตร
คำสำคัญ: ไร่นาสวนผสม
หมวดหมู่ AGRIS:
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
รูปแบบไร่นาสวนผสมในเขตน้ำฝนของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
กรมส่งเสริมการเกษตร
2545
รูปแบบการทำไร่นาสวนผสมของเกษตรกรในจังหวัดขอนแก่น รูปแบบการทำไร่นาสวนผสมของเกษตรกรในเขตลุ่มน้ำเจ้าพระยา การผลิตมะม่วงในระบบการทำฟาร์มแบบไร่นาสวนผสม โครงการส่งเสริมการทำไร่นาสวนผสม ภาคกลาง ปีงบประมาณ 2539 ปัจจัยที่มีสัมพันธ์กับการตัดสินใจทำการเกษตรแบบไร่นาสวนผสมของเกษตรกรจังหวัดราชบุรี สภาพการทำไร่นาสวนผสมและเกษตรผสมผสานของเกษตรกร จังหวัดหนองบัวลำภู สภาพการทำไร่นาสวนผสมของเกษตรกรในจังหวัดกาฬสินธุ์ ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการยอมรับการทำไร่นาสวนผสมและเกษตรผสมผสานของเกษตรกรในจังหวัดลำปาง ปัจจัยที่มีสัมพันธ์กับการตัดสินใจทำการเกษตรแบบไร่นาสวนผสมของเกษตรกรจังหวัดราชบุรี รูปแบบการทำไร่นาสวนผสมของเกษตรกรในจังหวัดหนองคาย
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก