สืบค้นงานวิจัย
การศึกษาเภสัชจลนศาสตร์และประสิทธิผลในการฆ่าพยาธิของสารสกัดจากรากหนอนตายหยากเพื่อประเมินขนาดและระยะเวลาในการให้สารสกัดสําหรับฆ่าพยาธิตัวจี๊ดในหนูทดลอง
รองศาสตราจารย์ ดร. อุรุษา แทนขํา - สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน)
ชื่อเรื่อง: การศึกษาเภสัชจลนศาสตร์และประสิทธิผลในการฆ่าพยาธิของสารสกัดจากรากหนอนตายหยากเพื่อประเมินขนาดและระยะเวลาในการให้สารสกัดสําหรับฆ่าพยาธิตัวจี๊ดในหนูทดลอง
ชื่อเรื่อง (EN): The study of pharmacokinetics and efficacy test of Stemona collinsiae root extract to determine dose and duration for treatment of Gnathostoma spinigerum infected rat
ผู้แต่ง / หัวหน้าโครงการ: รองศาสตราจารย์ ดร. อุรุษา แทนขํา
หน่วยงานสังกัดผู้แต่ง:
บทคัดย่อ: โรคพยาธิตัวจี๊ดจัดเป็นโรคพยาธิที่มีความสำคัญทางสาธารณสุข และยาแผนปัจจุบันยังไม่สามารถรักษา ได้ผลเต็มที่จึงเป็นที่มาให้คณะผู้วิจัยสนใจที่จะพัฒนายารักษาโรคนี้ในผู้ป่วยจากสมุนไพรที่หาได้ภายในประเทศ ที่ผ่านมาคณะผู้วิจัยได้รับทุนวิจัยสนับสนุนจากสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) รหัส โครงการ CRP5705020410 ค้นพบพืชสายพันธุ์หนอนตายหยากเล็ก Stemona collinsice สายพันธุ์ไทย ที่มี สารออกฤทธิ์สำคัญ Didehydrostemofoline ซึ่งมีงมีฤทธิ์ในการฆ่าตัวอ่อนระยะที่ 3 ซึ่งเป็นระยะก่อโรคในคนโดย มี LC50 ที่ 38.05 pg/ml ดังนั้นในการพัฒนาสารสกัดหยาบรากหนอนตายหยากจึงกำหนดให้ สาร Didehydrostemofoline เป็น chemical marker โดยมีปริมาณคงที่ที่ที่ 2.5% ของสารสกัดหยาบเพื่อควบคุม ปริมาณสารออกฤทธิ์สำคัญเพื่อใช้เป็นสารทดสอบต่อไป โดยการพัฒนานี้ได้มีการยื่นขอจดสิทสิทธิบัตรเรียบร้อยแล้ว และเนื่องจากผลของการศึกษาในใครงการที่ 2 รหัสโครงการ CRP6005020930 พบว่าสารสกัดตามกรรมวิธี ข้างต้นมีความปลอดภัยต่อ Wistar rat เมื่อทดสอบความเป็นพิษพบค่าความเข้มชั้นที่ปลอดภัยต่อสัตว์ทดลองที่ 500 mg/kg BW โดยไม่มีผลต่อจุลพยาธิสภาพของสัตว์ทดลองเมื่อทดสอบความเป็นพิษกึ่งเรื่อรัง จากผลข้างต้น ชี้ให้เห็นความปลอดภัยสารสกัดหยาบรากหนอนตายหยากหากจะนำมาเป็นยารักษาโรคพยาธิตัวจี๊ด ในการศึกษานี้คณะผู้วิจัยได้รับการสนับสนุนทุนวิจัยต่อเนื่องจากสำนักงานการวิจัยการเกษตร (องค์การ มหาชน) รหัสโครงการรหัสโครงการ CRP6305031500 เพื่อทดสอบประสิทธิผลของสารสกัดฯ หากใช้เป็นยา รักษาการติดเชื้อพยาธิตัวจี๊ดในหนูทดลอง โดยมีขั้นตอนการทำวิจัยเริ่มจาก 1) การพัฒนาวิธีการตรวจหา Didehydrostemofoline luพลาสมา Wistar rat ได้อย่างถูกต้อง แม่นยำ 2) การศึกษาข้อมูลเภสัชจลนศาสตร ของสาร Didehydrostemofoline เมื่อ Wistar rat ได้รับสารสกัดหยาบฯ ความเข้มข้น 500 mg/kg BW เพื่อ นำข้อมูลไปใช้สำหรับการวางแผนการให้สารแก่หนูทดลองติดเชื้อพยาธิตัวจี๊ด 3) การนำข้อมูลความเข้มขันของ สาร Didehydrostemofoline ที่ 1 ug/ml ซึ่งเป็นความเข้มข้นสูงสุดที่พบในพลาสมามาทดสอบระยะเวลาของ สารสกัดฯ ในการฆ่าพยาธิในจานเลี้ยงเชื้อ เพื่อประมาณระยะเวลาที่สารสกัดความเข้มชั้นต่ำนี้มีผลต่อพยาธิ 4) ประเมินประสิทธิผลของสารสกัดหยาบฯ ความเข้มข้น 500 mg/kg BW ในการรักษาพยาธิตัวจี๊ดในหนูทดลอง จากการลดลงของพยาธิตัวจี๊ดในหนูหลังได้รับสารสกัดหยาบเมื่อเทียบกับผลของยาอัลเบนดาโซล และ 5)การศึกษาผลของสารสกัดต่อการเปลี่ยนแปลงสัญฐานและผลทางจุลพยาธิวิทยาเพื่อศึกษาการตอบสนอง ภูมิคุ้มกันของโฮสต์ต่อพยาธิเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาอัลเบนดาโซลและกลุ่มควบคุบคุม ผลการศึกษาข้อมูลทางเกสัชจลนศาสตร์ของสารสารสกัดหยาบรากหนอนตายหยากเล็ก S. collinsioe พบว่าเมื่อป้อนสารขนาด 500 mg/kg BW พบความเข้มข้นของสารออกฤทธิ์ Didehydrostemofoline ใน พลาสมาคือ 1 ๒g/ml ซึ่งน้อยกว่าค่า LC50 ที่สาร Didehydrostemofoline สารมารถฆ่าพยาธิตัวจี๊ดในจานเลี้ยง เชื้อ 40 เท่า โดยมีค่าครึ่งชีวิตที่ 2 ชั่งโมงและค่าพื้นที่ใต้ cunve แสดงช่วงเวลาที่มีสารอยู่ในพลาสมาประมาณ 5 ชั่วโมง ดังนั้นการกำหนดขนาดสารสกัดในการใช้ทดสอบประสิทธิผลของสารสกัดหยาบรากหนอนตายหยากจึงกำหนดโดยใช้ความเข้มขั้นที่ 500 mg/kg BW โดยป้อนวันละ 3 เวลาห่างกัน 8 ชั่วโมง และเนื่องจากสารออกฤทธิ์ ที่พบในพลาสมาตำและไม่สามารถฆ่าพยาธิตัวจี๊ดในจานเลี้ยงเชื้อได้ การกำหนดจำนวนวันจึงให้ตามยาอัลเบนดา โซลคือ 21 วันต่อเนื่อง หลังจากป้อนสารตามขนาดดังกล่าวพบผลประสิทธิผลของสารสกัดฯ โดยสามารถลด จำนวนตัวจี๊ดได้ถึง 51.5% โดยพบลักษณษณะเกิดชีสต์หัมเช่นเดียวกับกลุ่มควบคุม โดยชีสต์ของกลุ่มสารสกัดฯ มี แนวโน้มตอบสนองต่อระบบภูมิคุ้มกันของหนูในระดับสูงอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญ หลังหยุดให้สารสกัดฯ 10 วัน โดยชีสต์ส่วนใหญ่อยู่ในไขมันบริเวณผิวหนังชั้น subcutaneous ในขณะที่ผลของ ยาอัลเบนดาโชล แม้นจำนวนพยาธิในร่างกายจะลดลงถึง 85.2% แต่พยาธิในร่างกายหนูทดลอง มีแนวโน้มไม่ลด ความสามารถในการตอบสนองต่อระบบภูมิคุ้มกันโดยที่ตัวพยาธิไม่ปรากฎซีสต์มาหุ้ม โดยพบระดับเซลล์ภูมิคุ้มกัน ในระดับต่ำอย่างไม่มีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับพยาธิกลุ่มควมควบคุม ในขณะที่พยาธิยังสามารถชอนไชได้โดยพบใน กล้ามเนื้อบริเวณลำตัวเป็นส่วนใหญ่ อย่างไรก็ดี ผลการศึกษานี้แสดงประสิทธิผลเบื้องต้นของสารสกัดรากหนอน ตายหยากและแนวโน้มระดับการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันและเซลล์ภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันระหว่างกลุ่มหนู ทดลองติดเชื้อพยาธิตัวจี๊ดที่ได้รับสารสกัดฯ และกลุ่มที่ได้รับยาอัลเบนดาโซล เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม ซึ่งแสดงให้ เห็นแนวโน้มศักยภาพของสารสกัดฯ ในการเป็นยารักษาโรคพยาธิตัวจี๊ดที่มีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ดี เพื่อให้ได้ ข้อมูลสำคัญในการพัฒนาสารสกัดฯ เป็นยารักษาโรคพยาธิตัวจี๊ดยังต้องการการยืนยันผลการทดสอบดังกล่าวให้ ชัดเจนโดยเพิ่มการทดสอบและให้มีผลยืนยันการทดสอบเป็นค่าทางสถิติระหว่างกลุ่มทดสอบต่อไป จากการศึกษานี้ คณะผู้วิจัยมีความคาดหวังว่า สารสกัดหยาบรากหนอนตายหยากเล็ก S. collinsioe จะ สามารถพัฒนาต่อยอดต่อไปเป็นยารักษาโรคพยาธิตัวจี๊ดในผู้ป่วยอย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่ทำให้เกิดอาการช้ำ (recurrence) ของพยาธิหลังจบการให้ยา ซึ่งเป็นปัญหาของการใช้ยาอัลเบนดาโซลเพื่อการรักษาในปัจจุบัน โดย ศักยภาพของการเป็นยารักษาโรคพยาธิของพืชหนอนตายหยากเล็ก 5. collinsice เป็นข้อมูลสนับสนุนการเพิ่ม มูลค่าของพันธุ์พืชสมุนไพรไทยสู่ยารักษาโรคพยาธิต่อไปในอนาคต
บทคัดย่อ (EN): Gnathostomiasis is a parasitic disease of public health importance, while modern medicine can still not cure it successfully. Therefore, our research team is interested in developing a drug for this disease from Thai medical herbs. In the past, the research team received research funding from the Agricultural Research Development Agency (Public Organization) Project Code CRP5705020410 discovered a Thai strain of Stemona collinsiae having important-active ingredients. Didehydrostemofoline effectively killed the third-stage larvae (L3), the pathogenic stage in humans, with an LC50 of 38.05 µg/ml. Didehydrostemofoline is a chemical marker fixed at 2.5% of the crude extract to control the content of active ingredients for further use. By this development has already applied for a patent. Because of the study results in Project 2 (project code CRP6005020930), the extracts, according to the above procedures, were found to be safe for Wistar rats when tested for sub-chronic toxicity at a safe concentration of 500 mg/kg BW in laboratory animals without effect on the pathology and behavior of animals. The above results indicate the safety of S. collinsiae crude extract when used as a drug for treating parasitic worms. In this study, the researchers received ongoing research funding from the Agricultural Research Development Agency (Public Organization) Project Code: CRP6305031500 to test the extract's effectiveness if used as a drug to treat Gnathostoma spinigerum infections in rats. The research process starts with 1) the development of detection methods for Didehydrostemofoline in Wistar rat plasma accurately 2) the pharmacokinetics of the metabolites Didehydrostemofoline when Wistar rats were given a crude extract at 500 mg/kg concentration BW to use as the data for planning the dosing of rats with Gn. spinigerum worm infection, 3) Didehydrostemofoline at 1 µg/ml, which was the highest concentration found in plasma, was tested for the effect on L3 Gn. spinigerum in Petri dishes for estimating the time duration for further treatment in infected rats, 4) the effectiveness of the 500 mg/kg BW S. collinsiae crude extract in treating AL3 of Gn. spinigerum in rats to assess the percentage reduction of parasitic worms in rats after treatment by crude extract compared with treatment by albendazole, and 5) the effect of the crude extract on morphological and histopathological changes to determine the host's immune response to parasites compared to the albendazole and control groups.The study results on the pharmacokinetic profile of S. collinsiae crude extract showed that the 1 µg/ml (Cmax) of Didehydrostemofoline-active compound was found in plasma when feeding 500 mg/kg BW in Wistar rats. This concentration is less than the LC50 of Didehydrostemofoline to kill L3 Gn. spinigerum in Petri dishes around 40 times. The half-life of the Didehydrostemofoline is two hours, and the area under the curve (AUC) representing the active compound existing in the blood is approximately five hours. Therefore, the crude extract was determined at a 500 mg/kg BW concentration administered three times (every 8 hours for treatment). Because we could not determine the treatment period from in vitro results above, we treated the infected rats for 21 consecutive days with crude extract similar to the albendazole regimen. S. collinsiae crude extract can reduce the number of worms to 51.5%. The worms found were encysted in rats' bodies, similar to the control group. The levels of immune responses of Wistar rats to these parasitic cysts tend to be consistently higher than those in the control group after stopping treatment for ten days. Most of the cysts were in the subcutaneous fat. Although albendazole can reduce the number of worms by 85.2%, it tends to affect those worms to escape from the host immune system without-encystation. In addition, insignificantly low levels of immune cells were found compared to a control group of parasites with thick cysts. The parasite can infect most of the muscles and migrate in the body. However, the results of this study show the preliminary efficacy of the S. collinsiae root extract. The result also showed the trends that were different in the immune and immune cell responses of the experimental rats infected with the worms between the group treated with the extract and the group receiving albendazole compared to the control group. This study shows the potential trend of the extract to be an effective drug for the treatment of parasitic parasites. However, to obtain necessary information for the development of the S. collinsiae extract, further confirmation of these results has still been required by adding more studies and statistically validating the test results among groups. We hoped that S. collinsiae crude extract could be further developed as an effective treatment for parasitic worms in patients without recurrence of helminths following the end of dosing. The potential of S. collinsiae as an anthelmintic drug supports data for the value-adding of Thai medicinal plants as medicines for helminths in the future. This is a problem with the current use of albendazole for treatment.
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เผยแพร่โดย: สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน)
คำสำคัญ: หนูทดลอง
เจ้าของลิขสิทธิ์: คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
การศึกษาเภสัชจลนศาสตร์และประสิทธิผลในการฆ่าพยาธิของสารสกัดจากรากหนอนตายหยากเพื่อประเมินขนาดและระยะเวลาในการให้สารสกัดสําหรับฆ่าพยาธิตัวจี๊ดในหนูทดลอง
สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน)
2563
การศึกษาผลต่อเซลล์และหนูทดลองและคาดคะเนคุณสมบัติทางเภสัชจลนศาสตร์ของสารสกัดจากรากหนอนตายหยากเล็ก (Stemona collinsiae) การศึกษาสารออกฤทธิ์ของหนอนตายหยากที่มีประสิทธิภาพในการฆ่าพยาธิตัวจี๊ด การวิจัยและพัฒนาสารสกัดมะละกอสําหรับผู้ป่วยที่มีภาวะเกล็ดเลือดต่ําในอนาคต การวิจัยและพัฒนาสารสกัดมะละกอ สําหรับผู้ป่วยที่มีภาวะเกล็ดเลือดต่ําในอนาคต ระยะที่ 2 การพัฒนาแผ่นแปะแก้ปวดจากสารสกัดไพลและสารเมือกจากเมล็ดแมงลัก ต้นแบบถังปฏิกรณ์ชีวภาพผลิตแพลงก์ตอนระดับอุตสาหกรรมแบบต่อเนื่อง เพื่อผลิตอาหารคุณภาพสาหรับบ่ออนุบาลลูกกุ้ง ลูกปลา และผลิตสารสกัดออกฤทธิ์ทางเภสัชวิทยามูลค่าสูง การพัฒนาวัคซีนต้านโรคพยาธิใบไม้ตับสัตว์ในแพะโดยใช้เอ็นไซม์ที่ย่อยสลายโปรตีนจําเพาะในพยาธิตัวอ่อน การศึกษาการเพาะเลี้ยงปลาพลวงหินเชิงพาณิชย์ ปีที่ 2 โครงการที่ 1 การศึกษาสภาวะการปลูก การเก็บเกี่ยวกัญชาและการปลูกกัญชาสําหรับการพัฒนาตํารับ ยาศุขไสยาศน์และสําราญนิทรา ประสิทธิผลของการใช้ขมิ้นชันร่วมในการรักษาผู้ป่วยโรคซึมเศร้า
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก