สืบค้นงานวิจัย
การเก็บกักคาร์บอนในดินที่มีการใช้ที่ดินต่างรูปแบบในพื้นที่ลูกคลื่น
ปัทมา วิตยากร แรมโบ - มหาวิทยาลัยขอนแก่น
ชื่อเรื่อง: การเก็บกักคาร์บอนในดินที่มีการใช้ที่ดินต่างรูปแบบในพื้นที่ลูกคลื่น
ชื่อเรื่อง (EN): Carbon sequestration in soils under different land uses on undulating terrain
ผู้แต่ง / หัวหน้าโครงการ: ปัทมา วิตยากร แรมโบ
ผู้แต่ง / หัวหน้าโครงการ (EN): Patma Vityakon Rambo
หน่วยงานสังกัดผู้แต่ง:
บทคัดย่อ: การศึกษาการเก็บกักและการเปลี่ยนแปลงอินทรีย์คาร์บอนในดินทรายของพื้นที่ลูกคลื่นในภาคตะวันออกเฉียงเหนือแบ่งการศึกษาเป็น 2 ส่วนคือ ส่วนแรกเป็นการศึกษาในพื้นที่ลุ่มน้ำขนาดเล็กที่เป็นพื้นที่ลูกคลื่น ซึ่งเป็นการศึกษาการเปลี่ยนแปลงของการใช้ที่ดินที่ส่งผลให้เกิดการเก็บกักอินทรีย์คาร์บอนได้แตกต่างกัน ทั้งนี้การใช้ที่ดินและความแตกต่างของระดับพื้นที่และความลึก เป็นปัจจัยสำคัญในการสะสมอินทรีย์คาร์บอนในดินที่แตกต่างกันดังกล่าว โดยปัจจัยดังกล่าวได้แก่ การใช้ที่ดิน, ปริมาณการให้กลับคืนซากอินทรีย์, คุณสมบัติของดิน (โครงสร้างดิน, ความชื้น, เนื้อดินและแร่วิทยาของดิน), สิ่งมีชีวิตในดิน (สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังและจุลินทรีย์) เป็นต้น และส่วนที่สองเป็นการศึกษาในแปลงทดลองระยะยาวกว่า 10 ปี ซึ่งเป็นการศึกษาการใส่สารอินทรีย์ที่หาได้ในท้องถิ่นที่ส่งผลต่อการสะสมและเปลี่ยนแปลงอินทรีย์คาร์บอนในดิน ทั้งนี้สัตว์หน้าดินและจุลินทรีย์ดินมีบทบาทในการสะสมอินทรียวัตถุทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยบทบาทในระยะสั้นเกี่ยวข้องในการย่อยสลายสารอินทรีย์เพื่อเปลี่ยนให้อยู่ในรูปธาตุอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อพืช ซึ่งสัตว์หน้าดินมีบทบาทสำคัญทางกายภาพในการย่อยสลายสารอินทรีย์ขนาดใหญ่ให้มีขนาดที่เล็กลง ขณะที่จุลินทรีย์ในดินทำหน้าที่ย่อยสลายสารอินทรีย์โดยอาศัยกลไกทางชีวเคมีได้แก่ เอนไซม์ที่ปลดปล่อยออกมาทำการย่อยสลายสารอินทรีย์ เห็นได้ว่าการศึกษาการเก็บกักและเปลี่ยนแปลงอินทรีย์คาร์บอนในดินเป็นแนวทางหนึ่งที่สำคัญในการแก้ไขปัญหาความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรดินและความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อม ดังนั้นในการศึกษานี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อทำการประเมินปริมาณอินทรีย์คาร์บอนในดินภายใต้การใช้ที่ดินที่แตกต่างกันและที่ระดับความลึกต่างๆในชั้นหน้าตัดดิน และการย่อยสลายสารอินทรีย์ในดิน โดยการวัดกิจกรรมของเอนไซม์จากจุลินทรีย์ ความหลากหลายของชนิดและปริมาณของสัตว์หน้าดิน เพื่อให้ได้องค์ความรู้ที่สำคัญของกลไกการย่อยสลายสารอินทรีย์และสะสมอินทรียวัตถุในดิน การศึกษาในส่วนแรกเป็นการศึกษาในพื้นที่ลุ่มน้ำขนาดเล็กที่เป็นตัวแทนของพื้นที่ลูกคลื่น ลอนลาดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ บ้านคำม่วง อ.เขาสวนกวาง จ.ขอนแก่น ซึ่งมีการใช้ที่ดินแบบต่างๆ ซึ่งเป็นตัวแทนของพื้นที่ป่าไม้และพื้นที่เกษตรที่ปลูกพืชไร่และนาข้าว ทำการเก็บตัวอย่างดินที่ระดับความลึกต่างๆเพื่อวิเคราะห์ปริมาณอินทรีย์คาร์บอนในดิน และการศึกษาในส่วนที่สองเป็นการศึกษากระบวนการย่อยสลายสารอินทรีย์ในดิน โดยมีสัตว์หน้าดินและจุลินทรีย์เป็นตัวการ ได้ดำเนินการโดยทำการสำรวจความหลากหลายของสัตว์หน้าดินไม่มีกระดูกสันหลังและกิจกรรมของเอนไซม์จากจุลินทรีย์ในดิน ในสถานีทดลองสำนักงานเกษตรภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ต.ท่าพระ อ.เมือง จ.ขอนแก่น ซึ่งมีการใส่สารอินทรีย์คุณภาพ (องค์ประกอบทางเคมี) แตกต่างกัน 6 กรรมวิธีทดลอง กรรมวิธีควบคุมซึ่งไม่มีการใส่สารอินทรีย์, ซากต้นใบถั่วลิสง (groundnut stover) ซึ่งจัดว่ามีคุณภาพสูง กล่าวคือมี N สูงแต่มีลิกนินและโพลีฟีนอลต่ำ, ใบ (+ก้าน) มะขามร่วง (tamarind) จัดว่ามีคุณภาพปานกลาง (มี N, ลิกนินและโพลีฟีนอลปานกลาง), ใบพลวงร่วง (dipterocarp) จัดว่ามีคุณภาพต่ำ (มี N ต่ำ แต่มีลิกนินและโพลีฟีนอลสูง), ฟางข้าว (rice straw) ซึ่งมีคุณภาพที่แตกต่างออกไป กล่าวคือ มีองค์ประกอบทั้งสามต่ำ แต่มีเซลลูโลสสูงที่สุด, และกรรมวิธีผสม (ฟางข้าวและซากต้นใบถั่วลิสง) โดยกรรมวิธีที่มีการใส่สารอินทรีย์ทำการใส่ในอัตรา 10 ตัน/เฮกตาร์ ยกเว้นฟางข้าว + ซากถั่วลิสง (mixed) ใส่ในอัตรา 10+10 ตัน/เฮกตาร์ โดยใส่ทุกปีเป็นปีที่ 14 ทำการเก็บตัวอย่างดินในช่วง 6, 18, และ 40 สัปดาห์หลังใส่สารอินทรีย์ เพื่อมาประเมินความหลากหลายของสัตว์หน้าดิน และเก็บตัวอย่างดินหลังจากสิ้นสุดปีที่ 14 (52 สัปดาห์ หลังการใส่สารอินทรีย์) เพื่อวัดกิจกรรมของเอนไซม์อินเวอเตส เบตากลูโคสิเดส ฟีนอลออกซิเดส และเปอร์ออกซิเดส ซึ่งเป็นเอนไซม์ในดินที่ทำหน้าที่ย่อยสลายสารอินทรีย์ และหมุนเวียนคาร์บอน ผลจากการศึกษาในส่วนแรก พบว่าความเข้มข้นของ SOC ในดินชั้นบนของดินป่ามีค่าสูงสุดเท่ากับ 4.78 g kg-1 ตามด้วยนาข้าว (2.72 g kg-1) และต่ำสุดในพื้นที่ดอนที่ปลูกพืชไร่ (? 1 g kg-1) โดยทั่วไป SOC จะลดลงตามระดับความลึก อย่างไรก็ตาม มีการสะสม SOC ที่เพิ่มขึ้นอีกครั้งที่ระดับลึกที่สุดของชั้นดินของการเก็บตัวอย่าง (~1 เมตร) ซึ่งการสะสม SOC ที่ระดับลึกที่สุดของการเก็บตัวอย่างมีความสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงของเนื้อดินที่ละเอียดขึ้น และผลจากการศึกษาในส่วนที่สอง พบว่า ค่าความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตในดินของแปลงทดลองที่ใส่สารอินทรีย์ผสม (ฟางข้าว+ถั่วลิสง) มีค่าสูงสุดเท่ากับ 0.741 ตามด้วยกรรมวิธีถั่วลิสง (0.693) ฟางข้าว (0.633) ใบมะขาม (0.458) และพลวง (0.425) ผลการวัดกิจกรรมของเอนไซม์ในดินพบว่ากรรมวิธีที่ใส่ซากถั่วลิสง (สารอินทรีย์คุณภาพสูง) และกรรมวิธีที่ใส่ใบมะขาม (คุณภาพปานกลาง) มีกิจกรรมของอินเวอร์เตส (invertase) สูงสุดอยู่ในช่วง 0.40- 0.41 mg GE g-1 h-1 นอกจากนี้ใบมะขามมีกิจกรรมของเบตากลูโคซิเดสสูงสุดด้วยเท่ากับ 59.5 g p-nitrophenol g-1 soil DW h-1 กรรมวิธีที่ใส่ใบพลวง (คุณภาพต่ำ) มีกิจกรรมของฟีนอลออกซิเดสสูงที่สุดตามมาด้วยส่วนผสมฟางข้าว+ถั่วลิสงและใบมะขาม ในช่วง 3.1-3.4 ?mol substrate converted h-1 g-1 soil DW ในขณะที่ฟางข้าว (มี N, ลิกนินและโพลีฟีนอลต่ำ แต่มีเซลลูโลสสูง) ทำให้กิจกรรมของเอนไซม์ทุกชนิดต่ำกว่าในสารอินทรีย์ชนิดอื่นๆ การศึกษาการเก็บกักและการเปลี่ยนแปลงอินทรีย์คาร์บอนในดินทรายของพื้นที่ลูกคลื่นในภาคตะวันออกเฉียงเหนือแบ่งการศึกษาเป็น 2 ส่วนคือ ส่วนแรกเป็นการศึกษาในพื้นที่ลุ่มน้ำขนาดเล็กที่เป็นพื้นที่ลูกคลื่น ซึ่งเป็นการศึกษาการเปลี่ยนแปลงของการใช้ที่ดินที่ส่งผลให้เกิดการเก็บกักอินทรีย์คาร์บอนได้แตกต่างกัน ทั้งนี้การใช้ที่ดินและความแตกต่างของระดับพื้นที่และความลึก เป็นปัจจัยสำคัญในการสะสมอินทรีย์คาร์บอนในดินที่แตกต่างกันดังกล่าว โดยปัจจัยดังกล่าวได้แก่ การใช้ที่ดิน, ปริมาณการให้กลับคืนซากอินทรีย์, คุณสมบัติของดิน (โครงสร้างดิน, ความชื้น, เนื้อดินและแร่วิทยาของดิน), สิ่งมีชีวิตในดิน (สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังและจุลินทรีย์) เป็นต้น และส่วนที่สองเป็นการศึกษาในแปลงทดลองระยะยาวกว่า 10 ปี ซึ่งเป็นการศึกษาการใส่สารอินทรีย์ที่หาได้ในท้องถิ่นที่ส่งผลต่อการสะสมและเปลี่ยนแปลงอินทรีย์คาร์บอนในดิน ทั้งนี้สัตว์หน้าดินและจุลินทรีย์ดินมีบทบาทในการสะสมอินทรียวัตถุทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยบทบาทในระยะสั้นเกี่ยวข้องในการย่อยสลายสารอินทรีย์เพื่อเปลี่ยนให้อยู่ในรูปธาตุอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อพืช ซึ่งสัตว์หน้าดินมีบทบาทสำคัญทางกายภาพในการย่อยสลายสารอินทรีย์ขนาดใหญ่ให้มีขนาดที่เล็กลง ขณะที่จุลินทรีย์ในดินทำหน้าที่ย่อยสลายสารอินทรีย์โดยอาศัยกลไกทางชีวเคมีได้แก่ เอนไซม์ที่ปลดปล่อยออกมาทำการย่อยสลายสารอินทรีย์ เห็นได้ว่าการศึกษาการเก็บกักและเปลี่ยนแปลงอินทรีย์คาร์บอนในดินเป็นแนวทางหนึ่งที่สำคัญในการแก้ไขปัญหาความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรดินและความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อม ดังนั้นในการศึกษานี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อทำการประเมินปริมาณอินทรีย์คาร์บอนในดินภายใต้การใช้ที่ดินที่แตกต่างกันและที่ระดับความลึกต่างๆในชั้นหน้าตัดดิน และการย่อยสลายสารอินทรีย์ในดิน โดยการวัดกิจกรรมของเอนไซม์จากจุลินทรีย์ ความหลากหลายของชนิดและปริมาณของสัตว์หน้าดิน เพื่อให้ได้องค์ความรู้ที่สำคัญของกลไกการย่อยสลายสารอินทรีย์และสะสมอินทรียวัตถุในดิน การศึกษาในส่วนแรกเป็นการศึกษาในพื้นที่ลุ่มน้ำขนาดเล็กที่เป็นตัวแทนของพื้นที่ลูกคลื่น ลอนลาดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ บ้านคำม่วง อ.เขาสวนกวาง จ.ขอนแก่น ซึ่งมีการใช้ที่ดินแบบต่างๆ ซึ่งเป็นตัวแทนของพื้นที่ป่าไม้และพื้นที่เกษตรที่ปลูกพืชไร่และนาข้าว ทำการเก็บตัวอย่างดินที่ระดับความลึกต่างๆเพื่อวิเคราะห์ปริมาณอินทรีย์คาร์บอนในดิน และการศึกษาในส่วนที่สองเป็นการศึกษากระบวนการย่อยสลายสารอินทรีย์ในดิน โดยมีสัตว์หน้าดินและจุลินทรีย์เป็นตัวการ ได้ดำเนินการโดยทำการสำรวจความหลากหลายของสัตว์หน้าดินไม่มีกระดูกสันหลังและกิจกรรมของเอนไซม์จากจุลินทรีย์ในดิน ในสถานีทดลองสำนักงานเกษตรภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ต.ท่าพระ อ.เมือง จ.ขอนแก่น ซึ่งมีการใส่สารอินทรีย์คุณภาพ (องค์ประกอบทางเคมี) แตกต่างกัน 6 กรรมวิธีทดลอง กรรมวิธีควบคุมซึ่งไม่มีการใส่สารอินทรีย์, ซากต้นใบถั่วลิสง (groundnut stover) ซึ่งจัดว่ามีคุณภาพสูง กล่าวคือมี N สูงแต่มีลิกนินและโพลีฟีนอลต่ำ, ใบ (+ก้าน) มะขามร่วง (tamarind) จัดว่ามีคุณภาพปานกลาง (มี N, ลิกนินและโพลีฟีนอลปานกลาง), ใบพลวงร่วง (dipterocarp) จัดว่ามีคุณภาพต่ำ (มี N ต่ำ แต่มีลิกนินและโพลีฟีนอลสูง), ฟางข้าว (rice straw) ซึ่งมีคุณภาพที่แตกต่างออกไป กล่าวคือ มีองค์ประกอบทั้งสามต่ำ แต่มีเซลลูโลสสูงที่สุด, และกรรมวิธีผสม (ฟางข้าวและซากต้นใบถั่วลิสง) โดยกรรมวิธีที่มีการใส่สารอินทรีย์ทำการใส่ในอัตรา 10 ตัน/เฮกตาร์ ยกเว้นฟางข้าว + ซากถั่วลิสง (mixed) ใส่ในอัตรา 10+10 ตัน/เฮกตาร์ โดยใส่ทุกปีเป็นปีที่ 14 ทำการเก็บตัวอย่างดินในช่วง 6, 18, และ 40 สัปดาห์หลังใส่สารอินทรีย์ เพื่อมาประเมินความหลากหลายของสัตว์หน้าดิน และเก็บตัวอย่างดินหลังจากสิ้นสุดปีที่ 14 (52 สัปดาห์ หลังการใส่สารอินทรีย์) เพื่อวัดกิจกรรมของเอนไซม์อินเวอเตส เบตากลูโคสิเดส ฟีนอลออกซิเดส และเปอร์ออกซิเดส ซึ่งเป็นเอนไซม์ในดินที่ทำหน้าที่ย่อยสลายสารอินทรีย์ และหมุนเวียนคาร์บอน ผลจากการศึกษาในส่วนแรก พบว่าความเข้มข้นของ SOC ในดินชั้นบนของดินป่ามีค่าสูงสุดเท่ากับ 4.78 g kg-1 ตามด้วยนาข้าว (2.72 g kg-1) และต่ำสุดในพื้นที่ดอนที่ปลูกพืชไร่ (? 1 g kg-1) โดยทั่วไป SOC จะลดลงตามระดับความลึก อย่างไรก็ตาม มีการสะสม SOC ที่เพิ่มขึ้นอีกครั้งที่ระดับลึกที่สุดของชั้นดินของการเก็บตัวอย่าง (~1 เมตร) ซึ่งการสะสม SOC ที่ระดับลึกที่สุดของการเก็บตัวอย่างมีความสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงของเนื้อดินที่ละเอียดขึ้น และผลจากการศึกษาในส่วนที่สอง พบว่า ค่าความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตในดินของแปลงทดลองที่ใส่สารอินทรีย์ผสม (ฟางข้าว+ถั่วลิสง) มีค่าสูงสุดเท่ากับ 0.741 ตามด้วยกรรมวิธีถั่วลิสง (0.693) ฟางข้าว (0.633) ใบมะขาม (0.458) และพลวง (0.425) ผลการวัดกิจกรรมของเอนไซม์ในดินพบว่ากรรมวิธีที่ใส่ซากถั่วลิสง (สารอินทรีย์คุณภาพสูง) และกรรมวิธีที่ใส่ใบมะขาม (คุณภาพปานกลาง) มีกิจกรรมของอินเวอร์เตส (invertase) สูงสุดอยู่ในช่วง 0.40- 0.41 mg GE g-1 h-1 นอกจากนี้ใบมะขามมีกิจกรรมของเบตากลูโคซิเดสสูงสุดด้วยเท่ากับ 59.5 g p-nitrophenol g-1 soil DW h-1 กรรมวิธีที่ใส่ใบพลวง (คุณภาพต่ำ) มีกิจกรรมของฟีนอลออกซิเดสสูงที่สุดตามมาด้วยส่วนผสมฟางข้าว+ถั่วลิสงและใบมะขาม ในช่วง 3.1-3.4 ?mol substrate converted h-1 g-1 soil DW ในขณะที่ฟางข้าว (มี N, ลิกนินและโพลีฟีนอลต่ำ แต่มีเซลลูโลสสูง) ทำให้กิจกรรมของเอนไซม์ทุกชนิดต่ำกว่าในสารอินทรีย์ชนิดอื่นๆ
บทคัดย่อ (EN): Studies of soil organic carbon (SOC) sequestration and dynamics in sandy soils of the undulating terrain of Northeast Thailand could be divided into two parts. The first part was conducted in a mini-watershed to study effects of land uses and land use changes on SOC sequestration. It was hypothesized that land uses in different geographic positions and soil depths are factors affecting different SOC accumulation. This is because these factors lead to different amounts of organic residue returned to the soils, soil properties (soil structure, moisture, texture, and mineralogies), and soil organisms (fauna and microorganisms). The second part of the studies was conducted in a long term (more than 10 years) experiment which investigated effects of locally available organic residues on SOC accumulation and dynamics. Soil fauna and microorganisms have important functions in SOM accumulation both in the short and long term. The short term role is associated with residue decomposition which can transform nutrients into plant available form. Soil fauna have an important function in the process of comminution which reduces sizes of organic residue, while microorganisms decompose organic residues through biochemical reactions involving enzymes that they release outside their cells (exogenous enzymes). It can be seen that studies on SOC sequestration and dynamics are one way to solve problems in soil fertility and degraded environment by concentrating on ways to increase SOC accumulation. The objectives of these studies were to evaluate SOC contents under different land uses and soil depths, and to evaluate SOC decomposition through assessing enzyme activities, and amount and diversity of soil fauna under application of different kinds of organic residues. These will bring about knowledge on mechanisms of residue decomposition and SOM accumulation. The first part of the studies was conducted in a mini-watershed which was a representative of such type of land form in the undulating terrain of Northeast Thailand at Kham Muang village, Khao Suan Kwang district, Khon Kaen province. Various land uses including forest, and agriculture, i.e., upland field crops and paddy rice, were represented in the mini-watershed. Soil samplings were conducted at different depths in soil profiles in order to determine SOC. Meanwhile, the second part was the studies of organic material decomposition in a sandy soil as affected by soil fauna and microbial activities. This was conducted through an evaluation of soil fauna biodiversity and activities of microbial enzymes in soils in a long - term SOM experiment at a research station belonging to Office of Agriculture of the Northeast, Tha Phra subdistrict, Muang district, Khon Kaen province. In this experiment there were six organic residue treatments: control (no residue addition), groundnut stover (considered high quality residues, i.e., high N but low lignin and polyphenol contents), litter of leaves and petioles of tamarind (considered medium quality, i.e., medium N, lignin and polyphenol contents), dipterocarp leaf litter (considered low quality, i.e., low N but high lignin and polyphenol contents), rice straw which is in a category of its own by having low contents of the three compounds but having the highest cellulose, and mixed (rice straw mixed with groundnut stover) treatment. The rate applied was 10 t ha-1 with an exception of the mixed treatment which was 10+10 t ha-1. Residue application had been conducted yearly for 14 years. Soil samplings were conducted at 6, 18, and 40 weeks after residue application for fauna evaluation and 52 weeks after residue application for evaluation of soil enzymes, i.e., invertase, ?-glucosidase, phenoloxidase, and peroxidase which were enzymes involving in decomposition and carbon cycling. Results of the first part of the study showed that SOC content was highest in topsoils of the forest soil, 4.78 g kg-1, followed by rice paddy (2.72 g kg-1) and lowest in the uplands (? 1 g kg-1). In general, SOC decreased with soil depth, however it increased at the highest depth sampled (approx. 1 m). The SOC accumulation was associated with finer texture at the highest depth relative to upper layers. The results of the second part of the studies showed that soil fauna biodiversity was highest, 0.741, in the mixed treatment followed by groundnut (0.693), rice straw (0.633), tamarind (0.458) and dipterocarp (0.425). The results of enzyme activities showed that the groundnut stover and tamarind were the two that had highest invertase activities, 0.40-0.41 mg GE g-1h-1. In addition, tamarind treatment also had the highest ?-glucosidase activity of 59.5 g p-nitrophenol g-1 soil DW h-1. Dipterocarp treatment had the highest phenol oxidase activity followed by mixture of rice straw+groundnut stover and tamarind in the range of 3.1-3.4 ?mol substrate converted h-1 g-1 soil DW. Meanwhile, rice straw had lower activities of all enzymes than the other organic residues.
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เผยแพร่โดย: มหาวิทยาลัยขอนแก่น
คำสำคัญ: ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
คำสำคัญ (EN): soil organic matter
เจ้าของลิขสิทธิ์: สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
การเก็บกักคาร์บอนในดินที่มีการใช้ที่ดินต่างรูปแบบในพื้นที่ลูกคลื่น
มหาวิทยาลัยขอนแก่น
2554
อิทธิพลของการใช้ที่ดินต่างกันต่อการสะสมอินทรีย์คาร์บอน ในดินร่วนปนทราย การเคลื่อนที่ของคาร์บอนอินทรีย์ในการใช้ประโยชน์ที่ดินแบบต่างๆ กันของพื้นที่ลูกคลื่นในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รูปแบบการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรหอยลาย การศึกษาวัสดุคลุมดินที่มีอิทธิพลต่อการเจริญเติบโตแบบอาศัยเพศ และไม่อาศัยเพศของสตรอเบอรี 2 สายพันธุ์ การประเมินมวลชีวภาพและการกักเก็บคาร์บอนในสวนส้ม ความหลากหลายของเชื้อราจากดิน ซากพืชและการนำไปใช้ประโยชน์ การกักเก็บคาร์บอนในดินเค็มจากการใช้วัสดุอินทรีย์ปรับปรุงดินในการผลิตข้าว การใช้ไบโอชาร์ปรับปรุงดินเปรี้ยวจัดเพื่อผลิตข้าวและกักเก็บคาร์บอนในดิน การกระจายตัวของไส้เดือนดินและอิทธิพลต่อพลวัตอินทรีย์คาร์บอน ในดินภายใต้การใช้ประโยชน์ที่ดินที่แตกต่างกัน ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประเทศไทย การใช้ถ่านไบโอชาร์ปรับปรุงดินเพื่อผลิตผักระบบอินทรีย์และการกักเก็บคาร์บอนในดิน
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก