สืบค้นงานวิจัย
โครงการวิจัยและพัฒนาเพื่อแก้ปัญหาโรคใบขาวของอ้อย
นฤทัย วรสถิตย์ - กรมวิชาการเกษตร
ชื่อเรื่อง: โครงการวิจัยและพัฒนาเพื่อแก้ปัญหาโรคใบขาวของอ้อย
ชื่อเรื่อง (EN): Research and Development for Management Strategy to Eradicate White Leaf of Sugarcane
ผู้แต่ง / หัวหน้าโครงการ: นฤทัย วรสถิตย์
บทคัดย่อ: ทำการวิจัยเพื่อแก้ปัญหาโรคใบขาวอ้อยซึ่งเป็นโรคที่ระบาดทำความเสียหายอย่างรุนแรงต่อผลผลิตอ้อย ในภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นพื้นที่นับแสนไร่ ดำเนินการระหว่างปี 2549-2553 ในศูนย์วิจัย และไร่เกษตรกรในเขตที่มีการระบาด โดยแบ่งเป็น 4 กิจกรรมย่อย ได้แก่ 1) การศึกษาศักยภาพของพันธุ์อ้อยทนทานโรคใบขาว 2) การจัดการโรคใบขาวโดยการใช้ท่อนพันธุ์ปลอดโรค 3) การพัฒนาระบบฐานข้อมูลและการรณรงค์เพื่อป้องกันและเฝ้าระวังการเกิดโรคใบขาวแบบชุมชนมีส่วนร่วม และ 4) การแก้ไขปัญหาการระบาดของโรคใบขาวในเขตภาคกลางและภาคเหนือตอนล่าง ผลการดำเนินงาน พบว่า พันธุ์อ้อยจาก 18 ประเทศ รวม 82 พันธุ์ เมื่อนำมาทดสอบปฏิกิริยาต่อโรคใบขาวโดยปลูกในไร่อ้อย ที่มีการระบาดของโรครุนแรง พบว่า มี 47 พันธุ์ หรือร้อยละ 57 ที่ไม่แสดงอาการโรคใบขาว ซึ่งเป็นพันธุ์อ้อยในกลุ่ม Phil จากฟิลิปปินส์ และสกุล Erianthus การสำรวจโรคใบขาวและความทนทานต่อโรคของอ้อยป่าและอ้อยลูกผสม พบว่า ทั้งอ้อยและอ้อยป่าแสดงอาการใบขาว ยกเว้นอ้อยในสกุล Erianthus และลูกผสมของอ้อยในสกุลนี้ ที่ตรวจพบเชื้อแต่ไม่แสดงอาการของโรค พบการเสื่อมสภาพของชั้นเซลล์บริเวณเซลล์มีโซฟิลล์อย่างรุนแรงในเนื้อเยื่อใบขาว ชั้นเซลล์ฉีกขาดเห็นเป็นช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างท่อลำเลียง ท่อลำเลียงไม่สมบูรณ์ และมีการสะสมเม็ดแป้งในคลอโรพลาสต์มากกว่าปกติ ส่วนการจัดการโรคใบขาวโดยการใช้ท่อนพันธุ์ปลอดโรค พบว่า สามารถพัฒนาวิธีการเพาะเลี้ยงยอดอ่อนอ้อยในอาหารสูตร MS ที่เติมสาร Benzyl aminopurine (BA) อัตรา 2 มิลลิกรัม/ลิตร จะให้หน่ออ้อยปริมาณมากและการเจริญเติบโตดี โดยการเพาะเลี้ยงในอาหารเหลวอ้อยจะแตกหน่อและเจริญเติบโตรวดเร็วกว่า และเมื่อนำมาเพิ่มปริมาณโดยการแยกหน่อ พบว่า เป็นวิธีการที่สามารถเพิ่มปริมาณการผลิตท่อนพันธุ์อ้อยปลอดโรคได้อย่างรวดเร็ว โดยเพิ่มมากกว่า 5 เท่าในโรงเรือนตาข่ายกันแมลงเมื่อแยกปลูกที่อายุ 60 วัน และมากกว่า 10 เท่าในสภาพแปลงผลิตท่อนพันธุ์ เมื่อแยกปลูกที่อายุ 70-85 วัน โดยมีอัตรารอดของหน่อหลังแยกปลูก 85 -100% ทั้งหน่อขนาดใหญ่ กลาง และเล็ก และเมื่อนำกล้าอ้อยปลอดโรคไปปลูกขยายพันธุ์ในแปลงที่อยู่ห่างจากแปลงอ้อยอื่นๆ อย่างน้อย 1-2 กิโลเมตร หรือปลูกในแหล่งที่ไม่มีการระบาดของโรค จะใช้ขยายพันธุ์ได้ 3-4 รุ่นหรือไว้ตอได้ 3-4 ตอ โดยไม่พบการติดเชื้อเลยในอ้อยปลูก แต่พบในอ้อยตอ 1 และ ตอ 2 ตั้งแต่ 0.01-12% สำหรับวิธีการเดินสุ่มสำรวจและเก็บตัวอย่างเพื่อเฝ้าระวังการกลับมาติดเชื้อใหม่ พบว่าวิธีการเดินแบบขั้นบันไดทแยงทางเดียว ตรวจเช็คโรคทุก 5 แถว ทุก 5 ต้น เก็บตัวอย่าง 2 จาก 4 จุด และการเดินแบบขั้นบันไดทแยงสองทาง ตรวจเช็คโรคทุก 5 แถว ทุก 5 ต้น เก็บตัวอย่าง 4 จาก 8 จุด ให้ผลไม่แตกต่างกัน และเป็นวิธีการที่เหมาะสมที่สุด อัตราการแพร่โรคใบขาวผ่านทางท่อนพันธุ์ที่เป็นพาหะของโรค พบว่าท่อนพันธุ์จากแปลงที่เป็นโรค ลำสมบูรณ์จากกอไม่เป็นโรค อาจไม่แพร่โรค หรือแพร่โรคได้ถึง 36.8% ส่วนลำที่มีอาการใบขาวแพร่โรคได้ 100% การกำจัดเชื้อโรคใบขาวในท่อนพันธุ์อ้อยโดยใช้ความร้อน ความเย็น และสารไคโตซาน พบว่าการแช่น้ำร้อนวิธี Dual Hot Water Treatment สามารถกำจัดเชื้อโรคใบขาวได้ดีที่สุด อ้อยแสดงอาการใบขาว 2.0% และเมื่อนำไปปลูกในสภาพไร่ ไม่พบอาการใบขาว และไม่พบเชื้อโรคใบขาวในตัวอย่างอ้อย วิธีการดังกล่าว ยังให้ผลผลิตอ้อยสูงสุด 18 ตันต่อไร่ และมีจำนวนลำสูงสุด 10,313.71 ลำต่อไร่ สำหรับการพัฒนาระบบฐานข้อมูลและการรณรงค์เพื่อป้องกันและเฝ้าระวังการเกิดโรคใบขาวแบบชุมชนมีส่วนร่วม พบว่า ได้แผนที่การระบาดของโรคใบขาวของอ้อย ใช้เป็นข้อมูลแจ้งเตือนภัยไปยังผู้เกี่ยวข้อง และวางแนวทางในการบริหารจัดการโรคใบขาวในหมู่บ้าน เกษตรกร 2 ราย ที่ไถแปลงอ้อยเป็นโรคใบขาวมากทิ้ง แล้วพักแปลงเพื่อตัดวงจรของโรคนาน 5 เดือน และแปลงที่ปลูกมันสำปะหลังสลับนาน 10 เดือน หลังจากเก็บเกี่ยวผลผลิตมันสำปะหลังแล้วปลูกอ้อยไม่พบการระบาดของโรคใบขาวทั้ง 2 แปลง มีเกษตรกร 3 ราย ปลูกพืชอื่นที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า โดยปลูกหญ้าเลี้ยงวัว ยางพารา และแตงโม เกษตรกร 2 ราย ปลูกอ้อยจากท่อนพันธุ์ปลอดโรคพันธุ์ขอนแก่น 3 ปัจจุบันไม่พบการอาการโรคใบขาวทั้ง 2 แปลง และมีการจัดงานวันรณรงค์เกษตรกรร่วมใจกำจัดโรคใบขาว โดยศูนย์วิจัยพืชไร่ขอนแก่นร่วมกับเกษตรกรในหมู่บ้าน จำนวน 15 ราย ร่วมกันกำจัดอ้อยที่แสดงอาการใบขาว ในพื้นที่ปลูกอ้อยของสมาชิกที่เข้าร่วมงาน โดยการขุดตอที่แสดงอาการใบขาวทิ้ง จำนวน 1,698 ตอ พื้นที่ 178 ไร่ ทำให้การระบาดโรคใบขาวน้อยลง การสูญเสียผลผลิตและความหวานของอ้อยไม่มีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคใบขาว การจัดการสมดุลธาตุอาหารพืชเพื่อเพิ่มความทนทานของอ้อยที่มีต่อโรคใบขาวในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง พบว่าโรคใบขาวอ้อยมักระบาดมากในฤดูกาลปลูกที่ประสบภัยแล้งรุนแรง (ฝนน้อยและทิ้งช่วงเป็นเวลานานกว่าปกติ) พบในดินเนื้อหยาบ (ทรายจัด) มากกว่าดินเนื้อละเอียด (ดินเหนียว) และที่ระดับความลึก 10-20 เซนติเมตรของดินที่มีความชื้นและความแน่น (มีชั้นดานเทียม) สูงกว่าปกติ อ้อยที่มีเชื้อไฟโตพลาสมาจะแสดงอาการใบขาวหรือไม่ขึ้นกับความเข้มข้นของฟอสฟอรัสในพืชที่มีมากเกินไป จะขัดขวางการดูดใช้ธาตุอาหารพืชอื่นๆ เช่น แมกนีเซียม สังกะสี โพแทสเซียม แคลเซียม และไนโตรเจน จากการทดลองฯ พบว่า การใส่ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดินร่วมกับการใส่โดโลไมท์และซิลิคอน มีแนวโน้มทำให้เปอร์เซ็นต์ของโรคใบขาวของอ้อยตอ 1 ลดลงมากกว่าใส่ปุ๋ยตามคำแนะนำเดิม การทดสอบฤดูปลูกพบว่า อ้อยที่ปลูกในช่วงเดือนมกราคม และเดือนมีนาคม พบอาการใบขาวน้อยกว่าอ้อยที่ปลูกในช่วงฤดูฝน แม้ว่าจะเป็นพันธุ์อ้อยที่อ่อนแอต่อโรคมาก เช่นพันธุ์ K88-92 ส่วนอ้อยพันธุ์ 94-2-156 ไม่พบอาการใบขาวเลย ในขณะที่ในอ้อยตอ 1 พบว่าอ้อยที่ปลูกและตัดในช่วงเดือนมีนาคม แสดงอาการใบขาวน้อยที่สุด ในขณะที่อ้อยที่ปลูกและตัดในช่วงฝนชุก เดือนสิงหาคม อ้อยทุกพันธุ์แสดงอาการใบขาวมาก แต่พันธุ์ 95-2-156 ยังคงแสดงอาการน้อยกว่า K88-92 และ 94-2-483 จึงสรุปได้ว่าการป้องกันกำจัดโรคใบขาวโดยเลี่ยงการปลูกและตัดอ้อยในช่วงฤดูแล้งจะสามารถลดการเกิดโรคได้แม้ว่าจะเป็นพันธุ์ที่อ่อนแอต่อโรค สำหรับรูปแบบการกระจาย ของโรคใบขาวอ้อยนั้น ไม่มีรูปแบบที่แน่นอนไม่ว่าจะเป็นในเขตที่มีการระบาดมาก ปานกลาง หรือน้อย พบเพลี้ยจักจั่นสีน้ำตาล 2 ชนิด คือ Matsumuratettix hiroglyphicus และ Yamatotettix flavovittatus ปริมาณมากในฤดูฝนช่วงเดือนพฤษภาคม–ตุลาคม ของปี ทั้งในไร่เกษตรกรจังหวัดราชบุรีและอุดรธานี และเริ่มลดปริมาณลงในช่วงเดือนพฤศจิกายน–เมษายน ศึกษานิเวศวิทยาของเพลี้ยจักจั่นสีน้ำตาลในจังหวัดขอนแก่น พบว่า ปี 2550 ดักจับ M. hiroglyphicus สูงสุดปลายเดือนเมษายนจำนวน 37 ตัว (เพศเมีย 30 เพศผู้ 7 ตัว) และ ลดน้อยลงในเดือนมิถุนายน-สิงหาคม Y. flavovittatus ระบาดช่วงเดือนกันยายน-พฤศจิกายน เป็นเพศผู้มากกว่าเพศเมีย และมีปริมาณสูงกว่า M. hiroglyphicus ในปี 2551 จำนวนประชากรของ M. hiroglyphicus น้อยมาก เมื่อเปรียบเทียบกับ Y. flavovittatus ที่มีปริมาณสูงกว่าทุกเดือน และสูงสุดเดือนกันยายน 176 ตัว (เพศเมีย 37 เพศผู้ 139 ) แมลงทั้งสองชนิดมีช่วงการระบาดคาบเกี่ยวกันในฤดูฝนเดือนมิถุนายน-ตุลาคม ตัวอ่อนและตัวเต็มวัยเพลี้ยจักจั่นอ้อย Y. flavovittatus มีพฤติกรรมชอบหลบแสงในตอนกลางวัน ซ่อนตัวใต้ใบอ้อย ชอบเล่นไฟในตอนกลางคืน หลังจากผสมพันธุ์ เพศเมียวางไข่ในเนื้อเยื่อใบพืช ฟักออกเป็นตัว 7-10 วัน ตัวอ่อนลอกคราบ 4 ครั้ง มี 5 วัย ระยะตัวอ่อนนาน 20-25 วัน ทั้งตัวอ่อนและตัวเต็มวัยดูดกินน้ำเลี้ยงจากใบอ้อยและขับถ่ายมูลหวานทำให้เกิดเชื้อราดำบนใบพืช ทดสอบประสิทธิภาพของสารฆ่าแมลงในห้องปฏิบัติการ และสภาพไร่ โดยพ่นสาร imidacloprid (Confidor 10% SL) อัตรา 15 มิลลิลิตร/น้ำ 20 ลิตร isoprocarb (Mipcin 50% WP) อัตรา 60 กรัม/น้ำ 20 ลิตร พ่นเชื้อราขาว Beuvaria sp. อัตรา 1 ถุง/น้ำ 5 ลิตร พ่น carbosulfan (Poss 20% EC) อัตรา 50 มิลลิลิตร/น้ำ 20 ลิตร พ่น etofenprox (Trebon 10%EC) อัตรา 20 มิลลิลิตร/น้ำ 20 ลิตรเปรียบเทียบกับการไม่พ่นสาร พบว่า ในสภาพห้องปฎิบัติการ ตัวอ่อน Y. flavovittatus ตาย 100%ภายใน 24 ชั่วโมงหลังพ่นสารฆ่าแมลงทุกกรรมวิธี ยกเว้นการพ่นเชื้อราขาว Beauveria sp. และไม่พ่นสาร ในสภาพไร่ พบว่า จำนวนลำ และผลผลิตอ้อยปลูก ในแต่ละกรรมวิธีแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ การพ่น etofenprox ให้ผลผลิตสูงสุด 19.24 ตันต่อไร่ แต่ไม่แตกต่างทางสถิติจากการพ่น carbosulfan (19.02 ตันต่อไร่) และ imidacloprid (18.21 ตันต่อไร่) ผลผลิตอ้อยและจำนวนลำต่ำสุดเมื่อไม่พ่นสารและแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติจากการพ่นสาร สำหรับการแก้ไขปัญหาการระบาดของโรคใบขาวในเขตภาคกลางและภาคเหนือตอนล่าง โดยการควบคุมเพลี้ยจักจั่นสีน้ำตาล พบว่า การใช้สารฆ่าแมลง dinotefuran (Starkle 10%SL) อัตรา 140 มิลลิลิตรต่อไร่ เมื่ออ้อยอายุ 3 เดือนหลังงอก ไปพร้อมกับการให้น้ำแบบน้ำหยอดทางสายยาง สามารถควบคุมเพลี้ยจักจั่นสีน้ำตาลทั้งสองชนิด และโรคใบขาวได้ ศึกษาการติดเชื้อสาเหตุโรคใบขาวในแปลงพันธุ์เขตภาคกลางและภาคเหนือตอนล่างพบว่า มีการติดเชื้อเป็นปริมาณมากในแปลงขยายพันธุ์อ้อยเพื่อการค้าที่จังหวัดสุโขทัย และเพียง 10% ที่จังหวัดชัยนาท การทดสอบเทคโนโลยีการจัดการโรคใบขาว พบว่าเมื่อนำท่อนพันธุ์อ้อยสะอาดพันธุ์ต่างๆ ไปปลูกทดสอบในไร่เกษตรกรที่มีการกำจัดอ้อยที่เป็นโรคและวัชพืชออกจากพื้นที่ พบว่า อ้อยปลูกไม่เป็นโรคใบขาว แต่ในอ้อยตอ 1 ที่จังหวัดสุโขทัยอ้อยพันธุ์อู่ทอง 8 ยังคงทนทานต่อโรคใบขาวมากกว่าพันธุ์อื่น พบโรคใบขาวเพียง 2.1% พันธุ์อู่ทอง 3 พบ 4.9% ส่วนพันธุ์ SR2000-8-3 พบมากถึง 17.3% ที่จังหวัดนครสวรรค์ อ้อยพันธุ์ LK92-11 พบอาการใบขาวมากที่สุดถึง 62.3% อ้อยพันธุ์ อู่ทอง 8 เป็นโรค 12.7% และพันธุ์ RT2001-803 เป็นโรคน้อยที่สุดเพียง 11.5% อย่างไรก็ตามในพื้นที่ดังกล่าวพบอาการใบขาวในแปลงอ้อยตอ เกือบ 50% แสดงให้เห็นว่าการใช้อ้อยที่สะอาดสามารถลดจำนวนใบขาวได้แต่ไม่สามารถกำจัดโรคให้หมดไปได้
บทคัดย่อ (EN): Research and Development for Management Strategy to Eradicate White Leaf Disease of Sugarcane was conducted to solve this problem which causes the serious damage to sugarcane production in the lower North, Central and Northeast of Thailand. The experiments were carried out during 2006-2010 in research centers and farmer’s fields of the epidemic areas. Research project comprises of 4 activities viz 1) Study on potential of sugarcane variety tolerance to white leaf disease 2) Sugarcane white leaf disease management through diseased-free cane sett 3) Development of sugarcane white leaf disease data base and propaganda for disease prevention through farmers’ participatory 4) Strategy to solve sugarcane white leaf disease in the Central and lower North region. Sixty-three sesame varieties showed no disease symptom after grown in epidemic fields. Most of them are of Philippines origin and also Erianthus family. From the survey, we found that all Saccharum officinarum, S. spontaneum and Erianthus were infected with Phytoplasma but only Erianthus showed no disease symptom. This may indicate that Erianthus is more tolerance to white leaf disease. The deterioration of cell layer in mesophyll area was found in white leaf tissue. Large holes were observed between parenchyma cells as cell layer tear off. Accumulation of starch granules were found in chloroplast. Plantlet multiplication can be the best obtained in liquid MS (Murashige and Skoog) media added with 2.0 mg/L of BA (Benzyl aminopurine). Diseased-free plants are then multiplied by plantlet transplanting (5 times in insect-free screen house at 60 days old and 10 times under field condition at 70-85 days old). The survival rate obtained was very high (85-100% whether small medium or large sucker were used. Diseased-free plants when grown in separate area (1-2 km away from other cane field) can give 3-4 ratoons free from the disease, or with little incidence of the disease (<1 %), except when grown in the severely infected area. The suitable survey and sampling method was found to be 5 plants step walk and sampling 2 from 4 plants or cross 5 plants step walk and sampling 4 from 8 plants. Growing of sugarcane stalks of no disease symptom from infected field may carry no disease or carry as high as 36.8% whereas stalks with disease symptom may give up to 100% diseased plants. Soaking the stalks in hot water twice at 52?C for 30 minutes, leave overnight and then at 50?C for 2 hours can reduce the infection to only 2% as detected by DNA probe and show no disease occurrence when these stalks were planted in the field. The result of the survey conducted to evaluate the infection of the disease in seed-cane farm in the Central and lower North region showed that the overall infection was about 9.75%. Seed-cane farms in Sukothai province showed the highest infection of the disease at 33.3% whereas the infection found in Nakonsawan province was 10.5%. However, no infection was investigated in Singburi and Supanburi province during the year 2008-2009. From the activity to develop sugarcane white leaf disease data base and propaganda for disease prevention through farmers’ participatory, we obtain white leaf widespread map which was used for warning of the disease as well as for setting up management plan for watching of the disease. The result also indicated that planting of sugarcane in January-March can avoid disease occurrence, thus minimize the disease widespread. We also find out the pattern of insect vectors which were two species of brown leaf hopper, Matsumuratettix hiroglyphicus and Yamatotettix flavovittatus widespread. The first widespread in rainy season from May-October whereas the second one widespread during September-November. Y. flavovittatus like to live underneath plant leaves during the day. They lay eggs in the leaves tissues and hatch out within 7-10 days. Larva period takes 20-25 days but both larva and adult feed on sugarcane leaves therefore transfer the Phytoplasma. Larva of Y. flavovittatus was completely killed after applied with insecticides, etofenprox (Trebon 10%EC), carbosulfan (Poss 20% EC) or imidacloprid (Confidor 10% SL) in laboratory. Applying of insecticide dinotefuran (Starkle 10%SL) at the rate of 140 mL/rai through pipe watering at 3 months old can control both M.hiroglyphicus and Y. flavovittatus, the disease occurrence also was not observed in the field. The results also showed that there was no relationship between the disease incidence and yield loss as well as CCS value. There is no pattern of disease widespread whether in the serious, mid or mild epidemic areas. Applying of fertilizers at the requirement rates, together with silicon tend to reduce disease incidence. Organic matter use, however, could enhance plant growth but had no effect on the disease. The strategy to solve sugarcane white leaf disease in the Central and lower North region by planting of clean cane sett in farmers’ field of which diseased stubborn and weed were eliminate from the field resulted in no occurrence of the disease in plant cane. However, in the first ratoon sugarcane variety Authong 8 and Authong 3 showed the disease incidence only 2.1 and 4.9% respectively whereas it occurred in variety SR2000-8-3 at 17.3%, in Sukothai province. In Nakonsawan province, the disease occurred in variety Authong 8, RT2001-803 and LK92-11 at 12.7, 11.5 and 62.3%, respectively. Nevertheless, the ratoon of sugarcane growing in the nearby area had the disease occurrence up to 50%.
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เผยแพร่โดย: กรมวิชาการเกษตร
คำสำคัญ: พันธุ์อ้อยปลอดโรค
เจ้าของลิขสิทธิ์: สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
โครงการวิจัยและพัฒนาเพื่อแก้ปัญหาโรคใบขาวของอ้อย
กรมวิชาการเกษตร
30 กันยายน 2553
กระบวนการเกิด Programmed cell death ในเซลล์ใบอ้อยที่เป็นโรคใบขาว การขยายผลเทคโนโลยีการผลิตต้นพันธุ์อ้อยปลอดโรคใบขาว เปรียบเทียบการใช้ชนิดและปริมาณปุ๋ยอินทรีย์ในการปลูกอ้อยเพื่อเกษตรกรรายย่อยใน อำเภอศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ การผลิตท่อนพันธุ์อ้อยปลอดโรคใบขาวแบบประณีตแนวใหม่ในสภาพโรงเรือนอนุบาลและแปลงปลูก โครงการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตอ้อย การวิจัยเพื่อลดการระบาดโรคใบขาวอ้อยในประเทศไทยอย่างมีประสิทธิภาพ การเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมโรคใบขาวอ้อย การพัฒนาชุดเครื่องจักรผลิตอ้อยพันธุ์สะอาดเพื่อลดการเกิดโรคใบขาว การวิจัยต่อยอดและกลไกการบูรณาการเชิงพื้นที่เพื่อการลดโรคใบขาวอ้อยอย่างยั่งยืน แบบจำลองการคัดเลือกพันธุ์อ้อยต้านทานโรคใบขาว
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก