สืบค้นงานวิจัย
โครงการวิจัยขนาดเล็กเรื่องยางพารา (SPR) คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์วิทยาเขตปัตตานี
อาซีซัน แกสมาน - การยางแห่งประเทศไทย
ชื่อเรื่อง: โครงการวิจัยขนาดเล็กเรื่องยางพารา (SPR) คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์วิทยาเขตปัตตานี
ผู้แต่ง / หัวหน้าโครงการ: อาซีซัน แกสมาน
บทคัดย่อ: การทำรองเท้าวัวเพื่อใช้รักษาอาการบาดเจ็บที่กีบเท้า ทำได้โดยการออกสูตรยางเพื่อให้ได้สมบัติผ่านตาม เกณฑ์สมบัติรองเท้าวัวทางการค้า นอกจากนี้ยังออกแบบรองเท้าให้เข้ากับสรีระของกีบวัวเพื่อการถ่ายเทน้ำหนักของ กีบเท้าเป็นไปอย่างเป็นธรรมชาติ ยางธรรมชาติที่เลือกใช้คือ ยางแท่ง STR 5L และมีการแปรชนิดและปริมาณของสาร ตัวเติม 5 ชนิด ได้แก่ ไฮ-สไตรีนเรซิน, เขม่าดำ, ซิลิกา, เส้นใยสั้น และแคลเซียมคาร์บอเนต วัลคาไนซ์ด้วยระบบ กำมะถันแบบปกติ พบว่าสูตรที่ใช้ไฮ-สไตรีนเรซินให้ความแข็งและค่าความต้านทานต่อแรงกดสูงสุด รองลงมาคือ เขม่าดำ เส้นใยสั้น ซิลิกา และแคลเซียมคาร์บอเนต ตามลำดับ เมื่อศึกษาการใช้เรซินร่วมกับสารตัวเติมเสริมแรง โดย ใช้แคลเซียมคาร์บอเนต 80 phr พบว่าสูตรที่ใช้เรซินร่วมกับเขม่าดำมีค่าความแข็งและค่าความต้านทานต่อแรงกดสูง กว่าสูตรที่ใช้เรซินร่วมกับเส้นใยสั้น และซิลิกา ตามลำดับ เมื่อผสมยางรีเคลมกับยางธรรมชาติพบว่าเมื่อปริมาณยางรีเค ลมเพิ่มมากขึ้น จะทำให้ความแข็งและความต้านทานต่อแรงกดเพิ่มขึ้นในขณะที่มีค่าความต้านทานต่อแรงดึงลดลงทั้ง สูตรยางที่ใช้เขม่าดำร่วมกับเรซินและเขม่าดำร่วมกับเส้นใยสั้น แต่ที่ปริมาณยางรีเคลมเกินกว่า 20 phr จะทำให้ยางมี ลักษณะพื้นผิวที่แย่และความต้านทานต่อแรงกดมีแนวโน้มลดลง สูตรที่ใช้เรซิน 20 phr มีความแข็ง เท่ากับ 83 Shore A และค่าการรับแรงกดเท่ากับ 23.59 MPa และสูตรที่ใช้เส้นใยสั้น 30 phr มีความแข็งเท่ากับ 80 Shore A และค่าการ รับแรงกดเท่ากับ 22.34 MPa ผ่านตามเกณฑ์รองเท้าวัวที่กำหนด การทดสอบการกดทับพบว่ายางที่มีความแข็งสูงกว่า 80 Shore A จะช่วยให้แรงกดเข้มข้นบนพื้นผิวลดปริมาณลง และเมื่อใช้ยางสองความแข็งพบว่าแรงกดเข้มข้นมีปริมาณ ลดน้อยลงเมื่อยางสองส่วนมีความความแข็งแตกต่างกัน 6 Shore A การทดสอบการใช้งานเบื้องต้นโดยภาควิชากาย วิภาคศาสตร์ คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น พบว่า สูตรที่ใช้เรซินร่วมกับเขม่าดำจะมีการยึดติดได้ ดีกว่าสูตรที่ใช้สูตรที่ใช้เส้นใยสั้นร่วมกับเขม่าดำเนื่องมาจากการดูดซับน้ำของเส้นใยสั้นที่ก่อเกิดจุดอ่อนแอ โดย รองเท้ายางวัวสามารถคงตัวเพื่อรับแรงกดซึ่งเกิดจากน้ำหนักตัวของวัวได้ แต่ยังมีข้อด้วยเรื่องของการยึดติด คำสำคัญ: รองเท้าวัว, เขม่าดำ, เส้นใยสั้น, รีเคลม, ความต้านทานต่อแรงกด บทคัดย่อ งานวิจัยนี้ศึกษาการเตรียมกาวนํ้ ายางจากกราฟต์โคพอลิเมอร์ของยางธรรมชาติกับอะคริลิกมอนอเมอร์ ร่วมกันหลายชนิดเพื่อใช้งานในการติดประสานแผ่นไม้อัด โดยเตรียมกราฟต์โคพอลิเมอร์ของยางธรรมชาติ กับอะคริลิกมอนอเมอร์ในสภาวะนํ้ ายางโดยใช้คิวมีนไฮโดรเปอร์ออกไซด์และเตตระเอทิลีนเพนตามีนเป็นตัว เริ่มต้นปฏิกิริยาแบบรีดอกซ์ ศึกษาปัจจัยต่างๆที่มีอิทธิพลต่อปฏิกิริยากราฟต์โคพอลิเมอไรซ์ วิเคราะห์สมบัติ ของกราฟต์โคพอลิเมอร์ที่เตรียมได้คือ % Conversion, % Grafting efficiency และสเปคตรัมอินฟราเรด จากการ ทดลอง พบว่า สภาวะการทํ าปฏิกิริยากราฟต์โคพอลิเมอไรซ์ที่เหมาะสม คือ 60๐C ใช้เวลา 6 ชั่วโมง ให้ เปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนจากมอนอเมอร์เป็นพอลิเมอร์ และประสิทธิภาพการเกิดกราฟต์โคพอลิเมอไรซ์สูง จาก การศึกษาอิทธิพลของชนิดและปริมาณมอนอเมอร์ โดยกํ าหนดให้มอนอเมอร์ที่หนึ่งคือ เมทิลเมทาคริเลท มอนอเมอร์ที่สามคือ กรดอะคริลิก และแปรมอนอเมอร์ชนิดที่สองคือ บิวทิลเมทาคริเลท ลอริลเมทาคริเลท ไว- นิลอะซิเตท และเอทิลอะคริเลท พบว่า การใช้อัตราส่วนของ เมทิลเมทาคริเลท : บิวทิลเมทาคริเลท : กรดอะคริ ลิก เท่ากับ 10:5:1 phr ทํ าให้นํ้ ายางกราฟต์โคพอลิเมอร์มีความแข็งแรงของการติดประสานแบบปอกและแบบ เฉือนดีที่สุด การเพิ่มคิวมาโรนอินดีนเรซินในกาวนํ้ ายางจากกราฟต์โคพอลิเมอร์ทํ าให้ความแข็งแรงของการติด ประสานเพิ่มขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับกับพอลิไวนิลอะซิเตททางการค้ายี่ห้อ TOA พบว่า มีการติดประสานตํ่ ากว่า จากผลงานวิจัยสามารถประยุกต์วิธีการและสภาวะในการเตรียมกราฟต์โคพอลิเมอร์ของยางธรรมชาติกับอะคริ ลิกมอนอเมอร์ชนิดต่างๆไปทํ าวิจัยต่อยอดเพื่อพัฒนาสมบัติการติดประสานให้เพิ่มสูงขึ้นและขยายการผลิตใน ระดับโรงงานต้นแบบเพื่อนํ าไปใช้ได้จริงในอุตสาหกรรมการติดประสานแผ่นไม้อัด บทคัดย่อ การเพิ่มความแข็งให้กับผลิตภัณฑ์ยางสามารถทํ าได้โดยการใช้เรซินชนิดไฮสไตรีนซึ่งเป็นโคพลิเมอร์ ของสไตรีนและบิวทาไดอีนที่มีปริมาณสไตรีนสูงกว่า 50 % โดยนํ้ าหนัก หรือใช้สารตัวเติมปริมาณสูง งานวิจัย นี้มีจุดมุ่งหมายที่จะใช้กราฟต์โคพอลิเมอร์ของยางธรรมชาติกับสไตรีนปริมาณสูงในการเพิ่มความแข็งให้กับ ผลิตภัณฑ์ยางแทนที่การใช้เรซินชนิดไฮสไตรีน โดยสามารถเตรียมกราฟต์โคพอลิเมอร์ระหว่างยางธรรมชาติ กับสไตรีนปริมาณสูงจากนํ้ ายางข้นชนิดแอมโมเนียสูงกับสไตรีนโดยใช้สารเริ่มต้นปฏิกิริยาแบบรีด็อกซ์คือ เตตราเอทิลีนเพนทามีนกับคิวมีนไฮโดรเปอร์ออกไซด์ จากการวิจัยพบว่า เมื่อใช้อัตราส่วนโดยโมลระหว่างยาง ธรรมชาติกับสไตรีนเท่ากับ 30:70 เปอร์เซ็นต์โดยโมล ทํ าให้ประสิทธิภาพการเกิดกราฟต์โคพอลิเมอร์มีค่าสูงที่ สุด (92 เปอร์เซ็นต์) เตรียมยางธรรมชาติและยางสไตรีนบิวทาไดอีนผสมสารเพิ่มความแข็ง คือ ยางธรรมชาติ กราฟต์ด้วยสไตรีนเปรียบเทียบกับเรซินชนิดไฮสไตรีนมาทดสอบอัตราการวัลคาไนซ์ พบว่า เวลาการวัลคาไนซ์ และเวลาการสกอชของการใช้ยางธรรมชาติกราฟต์ด้วยสไตรีนมีค่าตํ่ ากว่าการใช้เรซินชนิดไฮสไตรีน หลังจาก นั้นนํ ามาทดสอบสมบัติ ได้แก่ ความต้านทานต่อแรงดึง ความต้านทานต่อการฉีกขาด ความต้านทานต่อการสึก หรอ ความแข็ง และการขยายตัวของรอยแตก พบว่า การใช้ยางธรรมชาติกราฟต์ด้วยสไตรีนที่อัตราส่วน 30:70 เปอร์เซ็นต์โดยโมล ผสมในยางธรรมชาติมีสมบัติทางด้านความต้านทานต่อแรงดึง ความต้านทานต่อการฉีก ขาด ความแข็ง และความต้านทานต่อการหักงอดีกว่าการใช้เรซินชนิดไฮสไตรีน ยกเว้นความต้านทานต่อการ สึกหรอ ในขณะที่การใช้ยางสไตรีนบิวทาไดอีนผสมเรซินชนิดไฮสไตรีนให้สมบัติเชิงกลที่กล่าวในข้างต้นดี กว่าการใช้ยางธรรมชาติกราฟต์ด้วยสไตรีน การใช้ยางธรรมชาติกราฟต์ด้วยสไตรีนผสมลงไปในสูตรยางที่ใช้ ยางธรรมชาติเป็นหลักสามารถใช้เป็นสารเพิ่มความแข็งและทดแทนการใช้เรซินชนิดไฮสไตรีนได้ บทคัดย่อ การวิจัยนี้เป็นการนำยางครัมบ์ (crumb rubber, CRM) มีขนาดโดยประมาณ 30 เมช มาเบลนด์กับขวดน้ำ พลาสติกที่ผ่านการใช้งานแล้วชนิดโพลีโพรไพลีนบดละเอียดจนมีขนาดประมาณ 0.5 ซม. (Recycled Polypropylene, PP-r) เพื่อเตรียมเป็นวัสดุมุงหลังคาโดยเปรียบเทียบกับสมบัติค่าความต้านทานต่อการดึงและค่า ความสามารถในการยืดจนขาดตามมาตรฐาน ASTM D638 ของกระเบื้องหลังคาจากวัสดุประเภทเดียวกันจาก บริษัท Ecostar Inc. เทอร์โมพลาสติกอิลาสโตเมอร์ (TPE) เตรียมโดยการแปรอัตราส่วนการเบลนด์ของ CRM/PPr ที่ 80/20, 60/40, 50/50 และ 40/60 ในเครื่องบราเบนเดอร์พลาสติคอเดอร์ที่อุณหภูมิ 180°C พบว่าที่อัตราส่วน CRM/PP-r 60/40 ให้สมบัติเชิงกลที่ดีที่สุด กล่าวคือ ให้ค่าความต้านทานต่อการดึง 10.62 Mpa ความสามารถใน การยืดจนขาด 31% ความแข็ง 95 Shore A และค่าความต้านทานต่อการกระแทก 227.49 J/mm ตามลำดับ แต่ยังต่ำ กว่าบริษัท Ecostar Inc. (ค่าความต้านทานต่อการดึง 11.23 Mpa ความสามารถในการยืดจนขาด 34%) การนำยาง สังเคราะห์ EPDM และยางธรรมชาติ NR เข้ามาผสมเพื่อเตรียมเป็นเทอร์โมพลาสติกวัลคาไนเซท (TPV) ช่วยให้ สมบัติวัสดุที่ได้ดีขึ้นกว่า TPE โดยทำการศึกษาที่อัตราส่วนระหว่างยางและพลาสติกคงที่ที่ 60/40 ในขณะที่แปร ปริมาณยางใหม่จากร้อยละ 10, 20, 30, 40, 50 และ 60 ตามลำดับ โดยเตรียมมาสเตอร์แบช CRM-EPDM หรือ CRM-NR บนเครื่องบดยางสองลูกกลิ้ง และเตรียม TPV ในเครื่องบราเบนเดอร์พลาสติคอเดอร์ที่อุณหภูมิ 180°C จากการทดลองพบว่าเมื่อปริมาณยางใหม่สูงขึ้น ความสามารถในการยืดจนขาด และค่าความต้านทานต่อการ กระแทกมีค่าสูงขึ้น ในขณะที่ค่าความต้านทานต่อการดึง และความแข็ง มีค่าลดลง CRM/EPDM/PP-r ให้สมบัติ ค่าความต้านทานต่อแรงดึง ความแข็ง ค่าความต้านทานต่อแรงกระแทกที่ดีกว่า CRM/NR/PP-r และเมื่อ เปรียบเทียบที่ปริมาณยางใหม่ร้อยละสิบ ค่าความต้านทานต่อการดึง (CRM/EPDM /PP-r, 14.93 MPa และ CRM/NR/PP-r, 12.73 MPa) และค่าความสามารถในการยืด (CRM/EPDM /PP-r, 38.88% และ CRM/NR/PP-r, 37.34%) มีค่าสูงกว่าค่าของบริษัท Ecostar Inc. บทคัดย่อ กระบวนการวัลคาไนซ์เป็นปฏิกิริยาทางเคมีที่ถูกควบคุมด้วยอุณหภูมิและเวลา การหาจุดสิ้นสุดปฏิกิริยาที่ เหมาะสมสำหรับการวัลคาไนซ์ สามารถที่จะกำหนดได้หลายวิธี อย่างไรก็ตามวิธีการใช้เครื่อง ODR นั้นเป็นวิธีที่ ได้รับการยอมรับกันอย่างกว้างขวางในอุตสาหกรรมยาง เครื่อง ODR อาศัยสมบัติทางกายภาพ เช่น โมดูลัสของ ยางที่เพิ่มสูงขึ้นในขณะเกิดการวัลคาไนซ์ ซึ่งสามารถวัดได้ผ่านจากค่าทอร์คที่กระทำผ่านชิ้นตัวอย่างในขณะที่ให้ ความร้อนที่อุณหภูมิใดอุณหภูมิหนึ่งระหว่างการวัลคาไนซ์ เช่นเดียวกัน ยางธรรมชาติในขณะวัลคาไนซ์จะมีการ เปลี่ยนแปลงค่าความจุไฟฟ้า ในการวิจัยนี้ศึกษาการเปลี่ยนแปลงค่าความจุไฟฟ้าของยางธรรมชาติใน กระบวนการแปรรูปยางโดยดัดแปลงใช้เครื่องดิจิตัลมัลติมิเตอร์และลวดเหล็กเป็นโลหะตัวนำเพื่อเป็นแนวทาง กำหนดเวลาวัลคาไนซ์ของยางโดยการใช้การค่าเปลี่ยนแปลงความจุไฟฟ้าซึ่งเปรียบเทียบกับเวลาการวัลคาไนซ์ที่ ได้จากการวัดค่า 300% โมดูลัส และค่า Tc90 ที่ได้จากเครื่อง ODR เครื่องมือที่ดัดแปลงขึ้นสามารถวัดการ เปลี่ยนแปลงค่าความจุไฟฟ้าของยางขณะวัลคาไนซ์เพื่อประมาณเวลาวัลคาไนซ์ที่เหมาะสมที่อุณหภูมิการอัดเบ้า 140-160°C สำหรับยางที่มีปริมาณเขม่าดำ 0-20 phr ระบบวัลคาไนซ์ที่มีอัตราส่วนของสารตัวเร่งกับกำมะถันที่ แตกต่างกัน และ เมื่อใช้สารตัวเร่ง MBT, TBBS ได้ รหัสโครงการ: RDG4950121 ชื่อโครงการ: การเตรียมไพรเมอร์เพื่อใช้ในการติดยางกับโลหะโดยใช้ กราฟต์โคพอลิเมอร์ของ ยางธรรมชาติกับมาลิอิกแอนไฮไดรด์ ชื่อนักวิจัย: รองศาสตราจารย์ ดร. เจริญ นาคะสรรค์ สังกัด: สถานวิจัยความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยียางพารา ภาควิชาเทคโนโลยียางและพอลิเมอร์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ โทรศัพท์ 073 312213, Email: ncharorn@bunga.pn.psu.ac.th ระยะเวลาโครงการ 10 เดือน บทคัดย่อ เตรียมกาวจากยางธรรมชาติมาลิเอต โดยใช้ยางธรรมชาติที่ลดน้ำหนักโมเลกุลด้วยวิธีการทางเคมีใน สภาวะน้ำยางและกราฟต์ด้วยมาลิอิกแอนไฮไดรด์ โดยคอมปาวด์ยาง MNR กับสารเคมีชนิด ต่างๆ เช่น สาร กระตุ้น สารวัลคาไนซ์ สารตัวเร่ง และคิวมาโรนเรซิน (สารเพิ่มการยึดติด) แล้วละลายในตัวทำละลายผสม ระหว่างโทลูอีน เมทิลเอทิลคีโตน และเอทิลอะซิเตท ศึกษาอิทธิพลของชนิดและปริมาณไพรเมอร์ในการติด ประสานยางธรรมชาติวัลคาไนซ์กับโลหะ 3 ชนิด คือ เหล็ก อลูมิเนียม และทองแดง โดยทดลองใช้ไพรเมอร์ 2 ชนิด คือ สารประกอบออกาโนไซเลน และสารละลายผสมของยางคลอโรพรีนและฟินอลิกเรเซิน ใช้ สารประกอบออกาโนไซเลน 2 ชนิด คือ bis-(trimethoxysilylpropyl) amine (BTMA) และ bis- (triethoxysilylpropyl) tetrasulfide (BTET) โดยในขั้นตอนแรกศึกษาสภาวะที่เหมาะสมของการเตรียมผิวโลหะ การทาไพรเมอร์และกาวโดยใช้ BTET:BTMA ที่อัตราส่วน 1:1 พบว่าสภาวะที่เหมาะสมต่อการติดประสาน เหล็กกับอลูมิเนียมกับยางธรรมชาติวัลคาไนซ์ คือ การทาไพรเมอร์แล้วอบที่อุณหภูมิ 100°C เป็นเวลา 30 นาที แล้วทาสารละลายกาวแล้วทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้องเป็นเวลา 6 ชั่วโมง ส่วนสภาวะที่เหมาะสมกับการติดประสาน ทองแดงกับยางธรรมชาติวัลคาไนซ์ คือ การทาไพรเมอร์ทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้องเป็นเวลา 6 ชั่วโมง แล้วทากาวยาง ธรรมชาติมาลิเอตอบที่ 100°C เป็นเวลา 30 นาที นอกจากนี้พบว่าอัตราส่วนที่ให้ความแข็งแรงต่อการติด ประสานดีที่สุดของ BTET:BTMA ในเหล็กและอลูมิเนียม คือ 3:1 แต่ในกรณีทองแดงคือ 1:1 สภาวะที่ เหมาะสมของการใช้ไพรเมอร์ผสมของสารละลายยางคลอโรพรีนกับฟินอลิกเรซิน (อัตราส่วนระหว่าง CR:HRJ = 80/20) พบว่าการทาไพรเมอร์แล้วอบที่อุณหภูมิ 100°C เป็นเวลา 30 นาที แล้วทาสารละลายกาว แล้วอบต่อเป็นเวลา 30 นาที จะให้การติดประสานโลหะอลูมิเนียมและเหล็กกับยางธรรมชาติวัลคาไนซ์ได้ดีแต่ ไพรเมอร์ชนิดนี้ไม่เหมาะกับการติดประสานโลหะทองแดง นอกจากนี้พบว่าการใช้สารละลายกาวยางคลอ โรพรีนเพียงอย่างเดียวจะให้สมบัติการติดประสานที่ดีที่สุด ทำการเปรียบเทียบสมบัติความแข็งแรงการติด ประสานกับกาวในทางการค้าพบว่ากาวยางธรรมชาติมาลิเอตที่เตรียมจากการวิจัยนี้ให้ความแข็งแรงสูงกว่ากาว ทางการค้าชนิดองค์ประกอบเดียวแต่จะให้สมบัติที่ด้อยกว่ากาวทางการค้าชนิดสององค์ประกอบ คำสำคัญ: การติดยางติดโลหะ; ยางธรรมชาติมาลิเอต: ออกาโนไซเลน; ยางคลอโรพรีน; ฟินอลิกเรซิน; รหัสโครงการ: RDG4950121 ชื่อโครงการ: การเตรียมน้ำยางข้นโดยใช้สารก่อครีมจากเม็ดมะขามและแป้งมันสำปะหลัง ชื่อนักวิจัย: รองศาสตราจารย์ ดร. เจริญ นาคะสรรค์ สังกัด: สถานวิจัยความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยียางพารา ภาควิชาเทคโนโลยียางและพอลิเมอร์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ โทรศัพท์ 073 312213, Email: ncharorn@bunga.pn.psu.ac.th ระยะเวลาโครงการ 10 เดือน บทคัดย่อ เตรียมน้ำยางครีมโดยใช้สารก่อครีมจากแป้งเม็ดมะขาม (โดยแปรความเข้มข้นเป็น 0.1, 0.3, 0.5 1.0 และ 2.0 % โดยน้ำหนักเนื้อยางแห้งตามลำดับ) จากแป้งเจลและแป้งที่ดัดแปลงโมเลกุลเป็นแป้งคาร์ บอกซีเมทิล (โดยแปรปริมาณเป็น 0.1, 0.5, 1.0, 2.0, 3.0 และ 5.0 %โดยน้ำหนักเนื้อยางแห้ง ตามลำดับ) ในงานวิจัยนี้ใช้แป้งจากเม็ดมะขาม 2 ชนิด คือ สกัดเองแล้วระเหยน้ำให้อยู่ในรูปผงแป้ง และสั่งซื้อจากผู้ผลิต พบว่าปริมาณสารก่อครีมที่ให้น้ำยางที่มีปริมาณเนื้อยางแห้งสูงที่สุด คือ สาร สกัดจากเม็ดมะขามทั้งสองชนิดปริมาณ 0.5% สารก่อครีมจากแป้งคาร์บอกซีเมทิลปริมาณ 1.0 % โดยน้ำหนักเนื้อยางแห้ง โดยให้ปริมาณเนื้อยางแห้ง (DRC) สูงที่สุดเป็น 56 และ 63% ตามลำดับ หลังจากนั้นนำน้ำยางข้นชนิดครีมจากการใช้สารก่อครีมที่ให้ปริมาณเนื้อยางแห้งสูงที่สุดเตรียมเป็น น้ำยางข้นชนิดแอมโมเนียสูง (HA) และแอมโมเนียต่ำ (LA) โดยใช้มาตรฐานน้ำยางข้นของน้ำยาง จากการเซ็นตริฟิวส์ ASTM D 1076 (Type I และ III) เนื่องจากน้ำยางมี DRC ไม่ถึง 66% ติดตาม สมบัติต่างๆเป็นเวลา 30 วัน พบว่าค่าความเป็นด่างของน้ำยางชนิด HA สูงกว่า LA และมีแนวโน้ม ลดลงตามระยะเวลาการเก็บเนื่องจากการสูญเสียแอมโมเนียจากการทำปฏิกิริยากับกรดไขมันอิสระ และกรดอะมิโน และการระเหยออกจากระบบ ซึ่งส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของค่า KOH number ซึ่งบ่งชี้ ถึงปริมาณเกลือแอมโมเนียมและสบู่แอมโมเนียมในน้ำยาง การเพิ่มเวลาการเก็บน้ำยางทำให้ค่า ความหนืดและ VFA ของน้ำยางมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เนื่องจากการย่อยสลายไขมันและโปรตีนของ แบคทีเรีย ทำให้อนุภาคยางรวมตัวกันเป็นอนุภาคที่ใหญ่ขึ้น นอกจากนี้การเพิ่มเวลาการเก็บมีผลทำ ให้ค่า MST มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น คำสำคัญ: สารก่อครีม; น้ำยางธรรมชาติ: เม็ดมะขาม; แป้งมันสำปะหลังดัดแปลงโมเลกุล การเตรียมและสมบัติของยางเบลนด์ระหว่างยางธรรมชาติมาลิเอต และยางคลอโรซัลโฟเนตพอลิเอทิลีน บทคัดย่อ เตรียมยางเบลนด์ระหว่างยางธรรมชาติมาลิเอต (MNR) กับยางคลอโรซัลโฟเนตพอลิเอทิลีน (CSM) ศึกษาอิทธิพลของอัตราส่วนการเบลนด์ MNR/CSM พบว่าการเพิ่มสัดส่วนของยาง CSM ในยาง เบลนด์ทำให้ค่าทอร์กสูงขึ้นแต่อัตราเร็วในการวัลคาไนซ์มีค่าลดลง การเบลนด์ MNR/CSM ที่อัตราส่วน 50/50 ให้ความทนทานต่อแรงดึงสูงที่สุด เมื่อเพิ่มสัดส่วนของยาง CSM ในยางเบลนด์ทำให้ความต้านทาน ต่อการบวมพองในตัวทำละลาย ความทนทานต่อความร้อนและความแข็งของยางเบลนด์สูงขึ้น ศึกษา อิทธิพลของระบบวัลคาไนซ์ พบว่ายางเบลนด์ที่วัลคาไนซ์ด้วยระบบแมกนีเซียมออกไซด์และระบบผสม ระหว่างกำมะถันกับแมกนีเซียมออกไซด์มีค่าอัตราเร็วในการวัลคาไนซ์สูงสุดและให้สมบัติด้านความทน ทานต่อแรงดึง ความสามารถในการยืดจนขาด ความทนทานต่อความร้อนและมีความต้านทานต่อการบวม พองสูงกว่ายางเบลนด์ที่วัลคาไนซ์ด้วยระบบอื่นๆ ศึกษาอิทธิพลของสารตัวเติมในยางเบลนด์พบว่าการ เพิ่มปริมาณสารตัวเติมจะทำให้ค่าโมดูลัส ความแข็ง และความต้านทานต่อแรงดึงของยางเบลนด์มีค่า สูงขึ้น โดยการใช้สารตัวเติมเขม่าดำให้ค่าโมดูลัสและความแข็งสูงที่สุด รองลงมาเป็นซิลิกาและแคลเซียม คาร์บอเนตตามลำดับ แต่ความต้านทานต่อแรงดึงเพิ่มขึ้นแล้วจะลดลงเมื่อใช้เขม่าดำมากกว่า 20 phr. ซิลิกาและแคลเซียมคาร์บอเนตมากกว่า 40 phr. การเพิ่มปริมาณสารตัวเติมทำให้ความสามารถในการยืด และความสามารถในการคืนรูปหลังการกดลดลง ยางเบลนด์ MNR/CSM มีความทนทานต่อการบวมพอง ดีกว่ายางธรรมชาติและยางธรรมชาติมาลิเอต ยางเบลนด์มีความทนทานต่อตัวการบวมพองในตัวทำ ละลายมากขึ้นเมื่อเพิ่มปริมาณสารตัวเติม เช่นในตัวทำละลายผสมระหว่างไอโซออกเทนและโทลูอีนการ ใช้สารตัวเติมแคลเซียมคาร์บอเนตปริมาณมากกว่า 40 phr. และการใช้สารตัวเติมซิลิกาและเขม่าดำ ปริมาณมากกว่า 20 phr. จะทำให้ยางเบลนด์มีความทนทานต่อการบวมพองดีกว่ายาง NBR การเบลนด์ยาง ธรรมชาติมาลิเอตกับยางคลอโรซัลโฟเนตพอลิเอทิลีนที่สภาวะและเทคนิคที่เหมาะสมคือใช้อัตราส่วน การเบลนด์ MNR/CSM = 50/50 โดยวัลคาไนซ์ด้วยระบบผสมระหว่างกำมะถันและแมกนีเซียมออกไซด์ และใช้เขม่าดำเป็นสารตัวเติมจะเป็นแนวทางในการผลิตผลิตภัณฑ์ยางทนน้ำมันชนิดใหม่จากยาง ธรรมชาติ บทคัดย่อ สบู่เป็นสารเพิ่มความเสถียรแก่นํ้ ายาง อาจเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติหรือผู้ผลิตใส่ลงไปในนํ้ ายาง สบู่ปริมาณมากเกินไปในนํ้ ายาง ก่อให้เกิดปัญหาในการทํ าผลิตภัณฑ์จากนํ้ ายาง ดังนั้นการตรวจหาปริมาณ สบู่ในนํ้ ายางจึงมีความจํ าเป็นในการควบคุมคุณภาพการผลิต การใช้เทคนิคการไทเทรตร่วมกับการวัดการ นํ าไฟฟ้าจึงเป็นที่สนใจ โดยทํ าการทดลองแปรนํ้า ยาง 3 ชนิด คือ นํ้า ยางสด (FL), นํ้า ยางขน้ ชนิดแอมโมเนียตํ่า (LA) และนํ้ ายางข้นชนิดแอมโมเนียสูง (HA) เก็บรักษาด้วยแอมโมเนีย 0.4%, 0.2% และ 0.7% ตามลํ าดับ สามารถตรวจพบสบู่ที่มีอยู่ในนํ้ ายางเรียงตามลํ าดับตามปริมาณแอมโมเนียที่มีอยู่ คือ HA > FL > LA สํ าหรับนํ้ ายางสด (FL) ที่กรีดจากต้นใหม่ๆ (เก็บไว้ไม่เกิน 1 ชั่วโมง) พบว่าไม่มีสบู่อยู่ แต่การใส่ แอมโมเนียปริมาณ 0.4% ในนํ้ ายางสด พบว่าสบู่สามารถเกิดขึ้นอย่างช้าๆ ประมาณวันละ 0.04±0.01% ใน เวลา 20 วัน การปรับความเข้มข้นนํ้ ายางให้เจือจางเพื่อใช้ตรวจหาปริมาณสบู่ในนํ้ ายาง ทํ าให้ค่าสบู่ที่ ตรวจพบมีความเที่ยงตรงและถูกต้องยิ่งขึ้น กรณีที่ใช้โซเดียมไฮดรอกไซด์ความเข้มข้น 0.025N เป็นสาร ไทแทรนต์ ความเข้มข้นของนํ้ ายางที่เหมาะสมที่สุดในการตรวจหาปริมาณสบู่คือ 15% DRC และนํ้ าหนัก ที่เหมาะสม คือ 2-10 กรัม สํ าหรับการใส่สารเพิ่มความเสถียร (Emulwin W) ปริมาณต่างๆในนํ้ ายาง พบว่า สบู่ที่ตรวจพบไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสํ าคัญ สารเพิ่มความเสถียรที่มีจํ าหน่ายทางการค้า ได้แก่ Lutensol TO 8, Lutensol XL 80 และ Terric N 30 สามารถใช้เป็นสารเพิ่มความเสถียรแก่นํ้ ายางได้เช่น เดียวกับ Emulwin W
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เผยแพร่โดย: การยางแห่งประเทศไทย
คำสำคัญ: ยางธรรมชาติ
เจ้าของลิขสิทธิ์: การยางแห่งประเทศไทย
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
โครงการวิจัยขนาดเล็กเรื่องยางพารา (SPR) คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์วิทยาเขตปัตตานี
การยางแห่งประเทศไทย
2551
กลุ่มวิจัยยางพารา โครงการวิจัยขนาดเล็กเรื่องยางพารา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โครงการวิจัยขนาดเล็กเรื่องยางพารา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น โครงการวิจัยขนาดเล็กเรื่องยางพารา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ การเปลี่ยนแปลงของค่าความจุไฟฟ้าของยางธรรมชาติในขณะวัลคาไนซ์ ภายใต้แผนงาน : การวิจัยขนาดเล็ก เรื่อง ยางพารา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี การยับยั้งอย่างจำเพาะเจาะจงต่อการแสดงออกของยีน Rubber Elongation Factor (REF) ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างโปรตีนก่อภูมิแพ้ในยางพาราด้วยเทคโนโลยีแอนติเซน การศึกษาเบื้องต้นในการส่งถ่ายยีนเข้าสู่ยางพาราด้วยเทคนิค Agrobacterium transformation โครงการวิจัยขนาดเล็กเรื่องยางพารา คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา โครงการวิจัยขนาดเล็กเรื่องยางพารา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี โครงการวิจัยขนาดเล็กเรื่องยางพารา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์การแพทย์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก