สืบค้นงานวิจัย
การศึกษาแนวทางการพัฒนาการผลิตและแปรรูปข้าวสู่ระบบมาตรฐานข้าวอินทรีย์ของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนแปรรูปข้าวกล้องชีวภาพเครือข่ายเกษตรกร โคกผักกูด-โป่งแดง อำเภอบรบือ จังหวัดมหาสารคาม
ผกาวดี หนูมาก - สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
ชื่อเรื่อง: การศึกษาแนวทางการพัฒนาการผลิตและแปรรูปข้าวสู่ระบบมาตรฐานข้าวอินทรีย์ของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนแปรรูปข้าวกล้องชีวภาพเครือข่ายเกษตรกร โคกผักกูด-โป่งแดง อำเภอบรบือ จังหวัดมหาสารคาม
ผู้แต่ง / หัวหน้าโครงการ: ผกาวดี หนูมาก
บทคัดย่อ: ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม ประชาชนส่วนใหญ่ดำรงอยู่ได้ด้วยอาชีพที่มีความเกี่ยวพันกับการเกษตร ประกอบกับประเทศไทยเป็นประเทศที่มีทรัพยากรธรรมชาติค่อนข้างสมบูรณ์ มีความหลากหลายในด้านพืชพันธุ์ธรรมชาติ จึงถือเป็นฐานการผลิตทางการเกษตรที่สำคัญของโลก ซึ่งในอดีตเกษตรกรไทยทำการเกษตรเพื่อยังชีพ ใช้กระบวนการผลิตแบบดั้งเดิมโดยอาศัยภูมิปัญญาพื้นบ้านเชื่อมโยงกับทรัพยากรที่มีอยู่ในท้องถิ่น ในช่วงปี พ.ศ. 2504 เป็นต้นมา ได้มีนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อการค้าและการส่งออกเป็นสำคัญ ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระบบเกษตรกรรมจากแบบดั้งเดิมมาสู่การเกษตรกระแสหลัก หรือที่เรียกว่า การปฏิวัติเขียว ซึ่งเป็นเกษตรกรรมที่มุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้สูงขึ้น โดยใช้พันธุกรรมที่ดัดแปลงขึ้นมาใหม่ ใช้ปุ๋ยเคมี สารเคมีกำจัดศัตรูพืช เครื่องจักรกลทางการเกษตร ระบบชลประทานแผนใหม่ เป็นต้น ซึ่งการใช้สารเคมีทางการเกษตรเป็นจำนวนมากและต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน ก่อให้เกิดผลกระทบทั้งในด้านสุขภาพของเกษตรกรและผู้บริโภค ด้านสิ่งแวดล้อม และด้านเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งการทำเกษตรอินทรีย์เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของเกษตรกรสำหรับรับมือกับปัญหาข้างต้น สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ตระหนักถึงความสำคัญของเกษตรอินทรีย์และส่งเสริมให้เกษตรกรพัฒนาการผลิตสู่ระบบเกษตรอินทรีย์ โดยการสร้างกระบวนการเรียนรู้ให้แก่เกษตรกรเพื่อให้มีความรู้ ความเข้าใจ และสามารถนำไปปฏิบัติได้จริงในพื้นที่ของตนเอง อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีความพยายามในการส่งเสริมและพัฒนาการผลิตสู่ระบบมาตรฐานอินทรีย์มาโดยตลอด แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ดังนั้น ส.ป.ก. จำเป็นต้องแสวงหาแนวทางที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ เพื่อการพัฒนาและขยายผลการทำเกษตรอินทรีย์ในพื้นที่เขตปฏิรูปที่ดินต่อไป การศึกษาแนวทางการพัฒนาการผลิตและแปรรูปข้าวสู่ระบบมาตรฐานข้าวอินทรีย์ของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเกษตรกรโคกผักกูด-โป่งแดง แปรรูปข้าวกล้องชีวภาพ อำเภอบรบือ จังหวัดมหาสารคาม เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้รูปแบบการวิจัยแบบกรณีศึกษา และได้มีการนำข้อมูลเชิงปริมาณมาสนับสนุนผลการศึกษาเพื่อให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น มีวัตถุประสงค์ 3 ประการ คือ 1. เพื่อศึกษาการผลิตข้าวอินทรีย์ของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนฯ 2. เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเข้าสู่กระบวนการผลิตข้าวอินทรีย์ของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนฯ และ3. เพื่อศึกษาปัญหา อุปสรรค และผลที่ได้จากการผลิตข้าวอินทรีย์ของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนฯ โดยเลือกศึกษาสมาชิกที่ปลูกข้าวอินทรีย์จำนวน 30 ราย ของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเกษตรกรโคกผักกูด-โป่งแดง แปรรูปข้าวกล้องชีวภาพ อำเภอบรบือ จังหวัดมหาสารคาม ศึกษาโดยวิธีการสนทนากลุ่มย่อย สัมภาษณ์เชิงลึก แบบสอบถาม และสังเกตการณ์แบบไม่มีส่วนร่วม และใช้การวิเคราะห์เนื้อหา (Content analysis) สำหรับข้อมูลเชิงคุณภาพ และใช้การวิเคราะห์เชิงสถิติ (Statistical analysis) สำหรับข้อมูลเชิงปริมาณ จากการศึกษาการปรับเปลี่ยนการผลิตสู่ระบบมาตรฐานข้าวอินทรีย์เพื่อขอใบรับรองของกรมการข้าว พบว่า มีสมาชิกที่ได้รับใบรับรองมาตรฐานจำนวน 23 ราย ซึ่งในกระบวนการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวไม่ใช่เรื่องง่ายเนื่องจากเป็นการปรับเปลี่ยนแนวคิดของเกษตรกร ให้ผลิตตามเงื่อนไขของมาตรฐานข้าวอินทรีย์ที่กรมการข้าวกำหนด สิ่งที่ทำให้เกษตรกรที่เคยไม่เห็นด้วยหันมาให้ความสำคัญและเปลี่ยนใจมาเข้าร่วมกิจกรรม คือ “การทำให้ดู อยู่ให้เห็น” เกษตรกรจะยังไม่เชื่อจนกว่าจะเห็นว่าปฏิบัติแล้วได้ผลจริงๆ ซึ่งการทำเกษตรนั้นต้องใช้ระยะเวลานานกว่าจะเห็นผลเชิงประจักษ์ ดังนั้นนักพัฒนาและนักส่งเสริมจะต้องตระหนักในข้อนี้และปฏิบัติงานด้วยความเข้าใจ สิ่งที่น่าสนใจอีกประการหนึ่ง คือ การทำกิจกรรมกลุ่มอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกษตรกรยังคงดำเนินกิจกรรมต่อ ถึงแม้ว่าจะไม่ประสบความสำเร็จตามที่ตั้งไว้ในทันที นอกเหนือจากผลประโยชน์ด้านวัตถุสิ่งของแล้ว สิ่งสำคัญที่ทำให้เกษตรกรยังขับเคลื่อนกลุ่มคือ “กำลังใจที่ดี” ระหว่างสมาชิกในกลุ่มเอง มีการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้กันและช่วยกันแก้ไขปัญหา ร่วมทั้งกำลังใจจากเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานต่างๆ ที่เข้ามาสนับสนุนและส่งเสริมในพื้นที่ ที่แสดงให้เห็นถึงความจริงใจและความตั้งใจในการพัฒนาอย่างจริงจังและเป็นรูปธรรม ในขณะเดียวกัน ความเป็น “เครือข่าย” ถือเป็นอีกปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนกลุ่ม เนื่องจากก่อให้เกิดกิจกรรมและการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างสมาชิกในกลุ่ม และระหว่างกลุ่มอื่นๆ ในเครือข่าย ก่อให้เกิดการมีส่วนร่วมในการคิด วิเคราะห์ และลงมือปฏิบัติ นอกจากนี้ยังก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนพันธุ์พืชระหว่างกัน และกิจกรรมของเครือข่ายทำให้กลุ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้างเพิ่มมากขึ้น สามารถเชื่อมโยงกับหน่วยงานต่างๆ ได้มากขึ้น รวมทั้งส่งผลต่อการขยายช่องทางการตลาดของกลุ่มอีกด้วย จากความพยายามในการปรับเปลี่ยนรูปแบบการผลิตสู่ระบบการผลิตแบบปลอดสารพิษ จนกระทั่งพัฒนาไปสู่ระบบมาตรฐานอินทรีย์นั้น ผู้วิจัยสังเกตว่า จำเป็นจะต้องมีการพัฒนาแบบค่อย เป็นค่อยไป และอาศัยกระบวนการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง และการสนับสนุนของหน่วยงานต่างๆ นอกจากนี้ ผู้วิจัยได้วิเคราะห์ถึงพัฒนาการด้านการผลิตของเกษตรกร พบว่า กระบวนการผลิตต่างๆ ยังคงอาศัยกระบวนการผลิตแบบดั้งเดิมที่อาศัยภูมิปัญญาพื้นบ้าน แต่ที่เพิ่มขึ้นมาจากเดิมคือ มีกระบวนการจัดการที่เป็นระบบตามมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ ซึ่งไม่ใช่ปัญหาสำหรับการปฏิบัติ เพียงแต่เกษตรกรจะต้องยอมรับเงื่อนไขและวิธีการดังกล่าว รวมทั้งจะต้องทำความเข้าใจกับคนในครอบครัวให้เข้าใจอีกด้วย ซึ่งกระบวนการกลุ่มสามารถช่วยให้เกิดการยอมรับดังกล่าวได้ ดังนั้น ข้อค้นพบสำคัญสำหรับเป็นแนวทางในการพัฒนาการผลิตข้าวตามระบบมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ คือ กระบวนการปรับเปลี่ยนแนวคิดให้ตระหนักถึงความสำคัญของการทำเกษตรอินทรีย์ ซึ่งสิ่งสำคัญที่จะต้องคำนึงถึงคือ กระบวนการกลุ่ม ความต่อเนื่อง ความเป็นเครือข่าย และที่สำคัญคือ ความตั้งใจจริงของเกษตรกรเอง เนื่องจากการปรับสู่ระบบอินทรีย์จำเป็นจะต้องใช้ระยะเวลานานกว่าจะได้ผล และผลที่ได้ก็ไม่สามารถตีเป็นมูลค่าได้ แต่จะมีผลต่อความยั่งยืนทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม จากการศึกษาเกี่ยวกับการปรับเข้าสู่การผลิตตามระบบมาตรฐานอินทรีย์ จะเห็นว่าปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจปรับเปลี่ยนสู่การผลิตข้าวอินทรีย์คือ ปัจจัยด้านเศรษฐกิจ โดยปัจจัยเศรษฐกิจดังกล่าวไม่ได้หมายถึง การเพิ่มรายได้ แต่หมายถึงการช่วยลดต้นทุนมากกว่า รองลงมาคือ ปัจจัยภายในซึ่งเป็นปัจจัยส่วนบุคคล โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัจจัยด้านสุขภาพ ลำดับต่อมาคือปัจจัยด้านสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระแสด้านความปลอดภัยของอาหารที่มีการพูดถึงอย่างมากในสังคม ทั้งนักวิชาการ และรัฐบาลต่างก็สนับสนุนและส่งเสริมให้คนหันมาบริโภคข้าวอินทรีย์ และปัจจัยด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่นับวันเริ่มเสื่อมโทรม ซึ่งเกษตรกรก็อยากเห็นความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติกลับคืนมาอีกครั้ง จากการเปรียบเทียบผลในด้านเศรษฐกิจ สังคม และทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จะพบว่า ผลที่ได้จากการปรับสู่การผลิตข้าวอินทรีย์ที่มากที่สุดคือ ผลทางด้านสังคม โดยเกษตรกรมองว่าผลที่ได้จากการปลูกข้าวอินทรีย์ที่เห็นได้ชัดคือ ผลต่อสุขภาพ ทำให้ปลอดภัยจากสารเคมี และผลต่อความสัมพันธ์ของคนในชุมชนด้วย รองลงมาคือ ผลด้านเศรษฐกิจ กล่าวคือ นอกจากเกษตรกรจะมีข้าวที่ปลอดสารพิษสำหรับบริโภคในครัวเรือนแล้ว เกษตรกรยังมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการแปรรูปข้าวกล้องขาย ซึ่งเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับข้าว และสิ่งที่เกษตรกรค้นพบหลังจากการปลูกข้าวอินทรีย์คือ ระบบนิเวศทางธรรมชาติมีความอุดมสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ความอุดมสมบูรณ์กลับคืนมาสู่ท้องนาอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ในการปรับเปลี่ยนรูปแบบการผลิตสู่การผลิตข้าวอินทรีย์ของเกษตรกรยังประสบกับปัญหาและอุปสรรคในระดับปานกลาง และปัจจัยที่เกษตรกรเห็นว่าเป็นอุปสรรคมากที่สุด คือ ความไม่แน่นอนของสภาพภูมิอากาศและฤดูกาล ซึ่งถือเป็นวาระสากลที่ทั่วโลกต่างก็กำลังประสบอยู่ และที่สำคัญการผลิตของเกษตรกรยังต้องพึ่งพาธรรมชาติเป็นหลัก ดังนั้นสิ่งที่จะต้องดำเนินการจะต้องมีการวางแผนสำรองเพื่อรองรับกับอุปสรรคทางธรรมชาติดังกล่าว อาจจะใช้วิธีการจัดการระบบชลประทานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น หรือการพัฒนาวิธีการปลูกที่ประหยัดน้ำ พัฒนาสายพันธุ์ข้าว หรือปัจจัยอื่นๆ นอกจากนี้ เกษตรกรยังมีปัญหาด้านการขาดงบประมาณในการไปเรียนรู้องค์ความรู้ใหม่ๆ เกษตรกรยังขาดความรู้ ความเข้าใจด้านการผลิตตามมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ (มกท.) รวมทั้งขั้นตอนการขอรับรองตามมาตรฐานอินทรีย์ และสิ่งที่เกษตรกรต้องการจะพัฒนาเพิ่มเติม คือ ด้านบรรจุภัณฑ์ ด้านการเงิน การบัญชี การตลาด รวมถึงการจัดการข้อมูล และการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ด้วย ทั้งนี้ทางกลุ่มยังขาดเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่จะเข้ามาร่วมต่อยอดและพัฒนาให้เจริญก้าวหน้าต่อไปในอนาคต ในการส่งเสริมให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนวิถีการผลิตข้าวสู่มาตรฐานข้าวอินทรีย์ไม่ควรใช้ปัจจัยด้านเศรษฐกิจเป็นที่ตั้ง แต่จะต้องสร้างกระบวนการเรียนรู้แบบกลุ่ม เพื่อให้เกษตรกรได้เรียนรู้ควบคู่ไปกับการลงมือปฏิบัติ ซึ่งจะทำให้เกิดความเข้าใจอย่างถ่องแท้และเห็นคุณค่าของการทำเกษตรอินทรีย์ ที่ไม่สามารถตีเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจได้ แต่สิ่งที่เกษตรกรจะได้รับคือ คุณภาพชีวิตที่ดี สุขภาพร่างกายที่แข็งแรงปลอดภัย และอยู่ในสิ่งแวดล้อมอุดมสมบูรณ์และปลอดภัยจากสารเคมี โดยจะต้องมีการวางแผนการดำเนินงานร่วมกัน และดำเนินกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง โดยหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ควรส่งเสริมและสนับสนุนด้านองค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรมต่างๆ เพื่อใช้ในการผลิต การแปรรูป และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น ด้วยการช่วยเหลือสนับสนุนด้านวิทยาการ เครื่องมือ แหล่งเงินทุน รวมทั้งสร้างเครือข่ายความร่วมมือด้านการพัฒนาการผลิต และการตลาด ซึ่งจะช่วยให้เกษตรกรยืนอยู่ได้ด้วยตนเอง และสร้างความยั่งยืนในภาคการเกษตร
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เผยแพร่โดย: สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
คำสำคัญ: เกษตรอินทรีย์
เจ้าของลิขสิทธิ์: สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
การศึกษาแนวทางการพัฒนาการผลิตและแปรรูปข้าวสู่ระบบมาตรฐานข้าวอินทรีย์ของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนแปรรูปข้าวกล้องชีวภาพเครือข่ายเกษตรกร โคกผักกูด-โป่งแดง อำเภอบรบือ จังหวัดมหาสารคาม
สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
2558
รูปแบบการพัฒนาศักยภาพกลุ่มแม่บ้านแปรรูปเนื้อสัตว์เข้าสู่มาตรฐานระบบการจัดการผลิตภัณฑ์ชุมชน (มจก.) กรณีศึกษา กลุ่มแม่บ้านแปรรูปเนื้อสัตว์บ้านนาจารย์ อาเภอเมือง จังหวัดกาฬสินธุ์ การแปรรูปเปลือกทุเรียนเป็นกระถางชีวภาพ กระบวนทัศน์การพัฒนาวิสาหกิจชุมชนสู่ความเป็นธุรกิจอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน กรณีศึกษา กลุ่มวิสาหกิจชุมชนสิ่งทอ จ.ชัยภูมิ การศึกษาและพัฒนาการจัดทำบัญชีของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนการผลิตประมงและเกษตรอินทรีย์ บนพื้นฐานการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก กรณีศึกษา กลุ่มวิสาหกิจชุมชนจังหวัดจันทบุรีและจังหวัดตราด รูปแบบการจัดการช่องทางการตลาดของผลิตภัณฑ์ชุมชน ของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนตำบลดอนแก้ว อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ การศึกษากระบวนการปลูกและการแปรรูปกาแฟของเกษตรกรวิสาหกิจชุมชนกลุ่มกาแฟบ้านถ้ำสิงห์ จังหวัดชุมพร ศึกษาระยะเวลาการเก็บเกี่ยวข้าวอินทรีย์ที่มีผลต่อการแปรรูปผลิตภัณฑ์ การพัฒนาการตลาดของวิสาหกิจชุมชน กรณีศึกษา ชุมชนกลุ่มผู้ผลิตหมู จ.นครปฐม การสร้างนักออกแบบกลุ่มวิสาหกิจชุมชนให้มีความเป็นอัตลักษณ์ ล้านนาต่อการพัฒนาแฟชั่นในระบบเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ แนวทางการจัดการระบบการผลิตข้าวอินทรีย์ของเกษตรกร กรณีศึกษา : เกษตรกรอำเภอราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก