สืบค้นงานวิจัย
ชุดโครงการวิจัยและพัฒนาการคุ้มครองพันธุ์พืช
กรมวิชาการเกษตร - กรมวิชาการเกษตร
ชื่อเรื่อง: ชุดโครงการวิจัยและพัฒนาการคุ้มครองพันธุ์พืช
ชื่อเรื่อง (EN): Research and Development Program of Plant Varieties Protection
ผู้แต่ง / หัวหน้าโครงการ: กรมวิชาการเกษตร
บทคัดย่อ: การเข้าเป็นภาคีสมาชิกอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ หรืออนุสัญญาไซเตส ประเทศไทยได้นำเอาพระราชบัญญัติพันธุ์พืช พ.ศ. 2518 และที่แก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 2 พ.ศ. 2535 มาปฏิบัติเพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดของอนุสัญญาฯ โดยกำหนดให้พืชที่อนุสัญญาไซเตสมีการควบคุมการค้าเป็นพืชอนุรักษ์ โดยมีการกำหนดให้การนำเข้า ส่งออก และนำผ่าน จะต้องได้รับหนังสืออนุญาต ไซเตสจากกรมวิชาการเกษตร และในอนุสัญญาไซเตสได้มีข้อกำหนดให้ประเทศผู้ส่งออกต้องมีการศึกษาและประเมินสถานภาพของชนิดพันธุ์ที่จะส่งออกเพื่อให้แน่ใจว่าการออกหนังสืออนุญาตส่งออกชนิดพันธุ์จะต้องมีผลกระทบเสี่ยงต่อการใกล้สูญพันธุ์ของชนิดพันธุ์ดังกล่าวในธรรมชาติ ซึ่งเรียกว่า Non-detriment finding (NDF) การจัดทำ NDF จะต้องศึกษาจากเอกสารและสำรวจชนิดพันธุ์ในธรรมชาติ เพื่อให้ได้ข้อมูลทางด้านชีววิทยา สถานภาพของพืชในประเทศ การบริหารจัดการด้านการเก็บเกี่ยว การควบคุมดูแลการเก็บเกี่ยว การติดตามและตรวจสอบการเก็บเกี่ยว ปัจจัยที่เอื้อให้มีการใช้ประโยชน์จากชนิดพันธุ์พืชและมาตรการในการป้องกันการเก็บเกี่ยวที่มากจนเกินไป โดยดำเนินการศึกษากับพืชอนุรักษ์จำนวน 14 ชนิด 4 กลุ่มพืช ได้แก่ สกุลกฤษณา (Aquilaria spp.) จำนวน 2 ชนิด ปรงนา (Cycas siamensis) เฟินลูกไก่ (Cibotium barometz) และกล้วยไม้อีก 10 ชนิด ได้แก่ ว่านเพชรหึง (Grammatophyllum speciosum) เอื้องเขาพระวิหาร (Vandopsis lissochiloides) และกล้วยไม้สกุลเอื้องกุหลาย อีก 8 ชนิด (Aerides spp.) ผลจากการศึกษาพบว่าพืชอนุรักษ์ทั้ง 14 ชนิดมีการใช้ประโยชน์ทางการค้า แต่มีปัจจัยอื่นที่ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการใกล้สูญพันธุ์ได้แก่ รูปแบบทางชีววิทยาของกฤษณา และปรงที่เป็นพืชมีอายุหลายปี มีการเจริญเติบโตช้า เอื้องเขาพระวิหารมีการกระจายพันธุ์แคบและขาดออกจากกัน พบได้ยาก ปรงนาและเฟินลูกไก่ถูกคุกคามเนื่องจากการบุกรุกพื้นที่เพื่อทำการเกษตร ส่วนกล้วยไม้สกุลเอื้องกุหลาบมีการเก็บออกมาจากธรรมชาติในระดับปานกลางถึงจำนวนมากขึ้นอยู่กับความสวยงามของดอก ในแต่ละชนิดพันธุ์พืชอนุรักษ์ที่ดำเนินการศึกษามีการควบคุมการเกี่ยวที่เหมาะสมในระดับปานกลาง แต่ในพื้นที่ส่วนบุคคลไม่มีการควบคุม เนื่องจากพืชอนุรักษ์ที่ดำเนินการศึกษาโดยส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่อนุรักษ์ การเข้าถึงได้ยาก ทำให้ขาดข้อมูลทางชีวิทยา ในเรื่องความสามารถในการสืบพันธุ์ และการอยู่รอดของต้นอ่อนในสภาพธรรมชาติ และสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป จึงทำให้ได้ข้อมูลที่สามารถประเมินผลออกมาว่าพืชอนุรักษ์ที่ดำเนินการศึกษาได้รับผลกระทบจากการเก็บเกี่ยวออกจากธรรมชาติเพื่อทำการค้า โดยมีปัจจัยอื่นช่วยเสริมให้มีการสูญพันธุ์เพิ่มมากขึ้น ดังนั้นก่อนการออกหนังสืออนุญาตส่งออก จะต้องแน่ใจวาชนิดพันธุ์ที่ส่งออกได้มาจากการขยายพันธุ์เทียม และต้องขึ้นทะเบียนสถานที่เพาะเลี้ยงพืชอนุรักษ์กับกรมวิชาการเกษตร เนื่องจากประเทศไทยมีเทคโนโลยีในการขยายพันธุ์เทียมได้ดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งพืชในกลุ่มกล้วยไม้ สำหรับกฤษณา ควรมีการจัดทำแผนหรือโครงการเพื่อฟื้นฟูประชากรกฤษณาในธรรมชาติ สำหรับปรงนา เนื่องจากถิ่นที่อยู่ถูกทำลาย ดังนั้นเพื่อไม่ให้เกิดการสูญพันธุ์การส่งเสริมให้มีการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืนนอกถิ่นที่อยู่ ด้วยการอนุญาตให้ส่งออกชนิดพันธุ์ที่ได้มาจากธรรมชาติ ส่วนเฟินลูกไก่ทองควรมีการส่งเสริมให้มีการขยายพันธุ์เทียมเฟินลูกไก่ทองจากสปอร์ให้กับชาวบ้านในพื้นที่ พร้อมกับจัดสร้างเครือข่ายชุมชนและปลูกจิตสำนึกในการอนุรักษ์เฟินลูกไก่ทอง โครงการวิจัยดำเนินการภายใต้สำนักคุ้มครองพันธุ์พืช ระยะเวลาตั้งแต่ตุลาคม พ.ศ. 2554 ถึง กันยายน พ.ศ. 2558 แบ่งการดำเนินงานออกเป็น 3 การทดลอง แต่ละการทดลองมีการทดลองย่อย เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการดำเนินงานของแต่ละการทดลอง การทดลองประกอบด้วย การศึกษาลักษณะทางพฤกษศาสตร์ และการจำแนกการจำแนกเมล็ดพืชที่มีศักยภาพทางการเกษตร การศึกษาลักษณะทางพฤกษศาสตร์ และการจำแนกพืชสมุนไพรที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจ และการศึกษาลักษณะทางพฤกษศาสตร์ และการจำแนกไม้ประดับพื้นเมืองที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจ ดำเนินการสำรวจ รวบรวมและศึกษาลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของทรัพยากรพรรณไม้ ทั้งพืชป่า พืชพื้นเมืองทั่วไป และพืชพื้นเมืองเฉพาะถิ่น เพื่อเป็นข้อมูลสนับสนุนการคุ้มครอง อนุรักษ์ การใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืน ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองพันธุ์พืช พ.ศ. 2542 จากการดำเนินโครงการ ได้ข้อมูลพืชสมุนไพรที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจ จำแนกออกได้เป็น วงศ์ APIACEAE 18 สกุล 21 ชนิด พืชวงศ์ GESNERIACEAE 16 สกุล 87 ชนิด พืชวงศ์ URTICACEAE 7 สกุล 40 ชนิด วงศ์ ACANTHACEAE ได้แก่ 4 สกุล 31 ชนิด ในจำนวนพรรณไม้ที่ศึกษานี้ มีตัวอย่างที่เป็นพืชสมุนไพร ที่มีการนำมาใช้ประโยชน์อย่างแพร่หลาย และมีมูลค่าทางเศรษฐกิจในระดับชุมชนหลายชนิด เช่น ยี่หร่าหวาน Foeniculum vulgare Mill. แว่นแก้ว Hydrocotyle umbellate L. หญ้าหูกระต่าย Bupleurum hamiltonii N. P. Balakr. จ๊าห้อม Peristrophe lanceolaria (Roxb.) Nees ดีปลากั้ง (Phlogacanthus pulcherimus T. Anders.) Lepigagathis chiengmaiensis Bremek., Lepigagathis chlorostachya Nees, Lepigagathis dissimilis J.B. Imlay ว่านไก่แดง Aeschynanthus andersonii C.B.Clarke และ ปีกแมลงสาบลาย Pilea cadierei Gagnep. & Guillaumin เป็นต้น การดำเนินการศึกษาลักษณะพฤกษศาสตร์และการจำแนกชนิดไม้ประดับที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจ จำแนกออกได้เป็นพืชดอกทั่วไปจำนวน 3 วงศ์ 19 สกุล 98 ชนิด กลุ่มพืชกินแมลง จำนวน 3 วงศ์ 3 สกุล 21 ชนิด พรรณไม้น้ำ จำนวน 9 วงศ์ 9 สกุล 12 ชนิด และกลุ่มพืชที่เจริญเติบโตบนลานหินจำนวน 16 วงศ์ 26 สกุล 40 ชนิด ซึ่งในจำนวนพรรณไม้ที่ศึกษานี้ เป็นพรรณไม้ที่มีความสวยงามและเกือบทั้งหมดสามารถพัฒนาให้เป็นไม้ประดับได้ เนื่องจากมีรูปร่างสีสันที่สวยงาม เช่น กลุ่มของพืชกินแมลงได้แก่ กลุ่มหม้อข้าวหม้อแกงลิง (Nepenthes) กลุ่มสร้อยสุวรรณา(Uticularia) และหยาดน้ำค้าง (Drosera) และพืชในวงศ์บีโกเนีย (BEGONIACEAE) ที่มีรูปร่างและสีสันของใบและดอกที่สวยงามแปลกตา มีการศึกษาการจำแนกเมล็ดของพรรณไม้วงศ์ต่างๆ ได้แก่ วงศ์LAMIACEAE BEGONIACEAE CYPERACEAE POACEAE ได้ข้อมูลลักษณะของเมล็ดพรรณไม้จำนวนรวม 94 ชนิด ซึ่งใช้เป็นข้อมูลในการช่วยตรวจสอบระบุชนิดพืชโดยอาศัยลักษณะของเมล็ดได้ การดำเนินการภายใต้โครงการวิจัยนี้ เป็นข้อมูลพื้นฐานที่สำคัญสำหรับการศึกษาด้านอนุกรมวิธานพืช และด้านอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เป็นประโยชน์กับบุคลากรภายในกรมวิชาการเกษตรในการใช้ข้อมูลเพื่อศึกษาต่อยอดความรู้ รวมถึงสามารถคัดเลือกชนิดพืชที่มีศักยภาพเพื่อพัฒนาใช้ประโยชน์ได้อย่างหลากหลายต่อไป วัตถุประสงค์ของการศึกษาวิจัยในครั้งนี้ เพื่อจัดทำหลักเกณฑ์และวิธีการตรวจสอบพันธุ์พืช เพื่อการคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ ภายใต้พระราชบัญญัติคุ้มครองพันธุ์พืช พ.ศ. 2542 ตลอดจนรวบรวมข้อมูลตัวอย่างลักษณะพันธุ์พืชตามชนิดพืชที่จัดทำหลักเกณฑ์การตรวจสอบ เพื่อจำแนกความแตกต่างและสนับสนุนการคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่โดยกำหนดขอบเขตงานวิจัยไว้กับพืช 5 ชนิด ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ประกาศกำหนดเป็นพันธุ์พืชใหม่ที่จะได้รับความคุ้มครอง ได้แก่ ถั่วแขก บวบเหลี่ยม หญ้าเนเปียร์ กุหลาบ กระเจี๊ยบเขียว และเตรียมที่จะประกาศเพิ่มเติมได้แก่มะพร้าว งา แก้วมังกร และพุทธรักษา ซึ่งได้ทำการสังเคราะห์หลักเกณฑ์ และวิธีการตรวจสอบพันธุ์พืช ที่ขอจดทะเบียนเป็นพันธุ์พืชใหม่ ( DUS Test and Test Guideline (TG) for New Plant Varieties ) ของพืชทั้ง 9 ชนิดพืชดังกล่าวขึ้นมาตามแนวทางของอนุสัญญายูพอฟ ภายใต้คำแนะนำเกี่ยวกับการจัดทำและพัฒนาหลักเกณฑ์ และวิธีการตรวจสอบพันธุ์พืชใหม่ ( TG/1/3 ) และคำแนะนำในการพัฒนาวิธีการบันทึกลักษณะให้เป็นแบบฟอร์มมาตรฐานในการตรวจสอบพันธุ์พืชใหม่ (TG Template , in TGP/7/1 ) ซึ่งประกอบไปด้วยเรื่องของการเตรียมการปลูกทดสอบ วิธีการตรวจสอบการประเมินผล ตารางรายการบันทึกลักษณะตามแบบฟอร์มมาตรฐานพร้อมภาพวาดลายเส้น และคำอธิบายประกอบการตรวจสอบพันธุ์พืชใหม่ของพืชทั้ง 9 ชนิด โดยมีการประชุมการระดมสมองแบบมีส่วนร่วมจากบุคคลหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน รวมทั้งนำไปทดลองตรวจสอบพันธุ์พืชได้ 9 ชนิดพืช ตามสถานที่ต่างๆ เช่น แปลงรวบรวม และแหล่งแปลงปลูกทั่วไป เพื่อปรับปรุงแก้ไขให้ชัดเจน โดยเฉพาะในเรื่องเกี่ยวกับเครื่องหมาย และสัญลักษณ์ในรายการบันทึกลักษณะตามแบบฟอร์มมาตรฐาน พร้อมระบุพันธุ์อ้างอิง ซึ่งผลการทดลองดังกล่าวยังได้ฐานข้อมูลพันธุ์ทีจะใช้สำหรับการอ้างอิงในกระบวนการตรวจสอบพันธุ์พืชที่ยื่นขอจดทะเบียนพันธุ์พืชใหม่ ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองพันธุ์พืช พ.ศ.2542 ด้วย ผลสำเร็จจากการศึกษาวิจัยในครั้งนี้ จะได้นำไปกำหนดเป็นกฎระเบียบอันเป็นแนวปฏิบัติตามกฎหมาย เกี่ยวกับหลักเกณฑ์ และวิธีการตรวจสอบพันธุ์พืชใหม่ อันประกอบด้วย ระเบียบกรมวิชาการเกษตรว่าด้วยการตรวจสอบลักษณะของพันธุ์พืชที่ขอจดทะเบียนเป็นพันธุ์พืชใหม่ สำหรับพนักงานเจ้าหน้าที่ใช้ปฏิบัติงานในการรับจดทะเบียนพันธุ์พืชใหม่ และประกาศกรมวิชาการเกษตรเรื่องแบบคำขอและการเตรียมการเพื่อตรวจสอบพันธุ์พืชที่ขอจดทะเบียนเป็นพันธุ์พืชใหม่ สำหรับแนะนำให้ผู้ยื่นคำขอจดทะเบียนพันธุ์พืชใหม่ได้ปฏิบัติ โครงการวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาหลักเกณฑ์และวิธีการตรวจสอบพันธุ์พืช เพื่อการคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ ภายใต้พระราชบัญญัติคุ้มครองพันธุ์พืช พ.ศ.2542 จากมาตรฐานระดับชาติ เป็นระดับมาตรฐานอาเซียน ของพืช ข้าว ทุเรียน มะละกอ พริก แก้วกาญจนา และมันสำปะหลัง เนื่องจากการคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ เป็นเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาและการค้า ซึ่งผู้ทรงสิทธิอาจจะขอรับการคุ้มครองภายในประเทศหรือประเทศที่ตนมีการค้าด้วย ขณะที่ประเทศในภูมิภาคอาเซียนใช้หลักเกณฑ์และวิธีการตรวจสอบของตนเอง ทำให้ผลการตรวจสอบไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน จึงไม่สามารถใช้ผลการตรวจสอบร่วมกันได้ มีผลให้เสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบมากขึ้น กลุ่มประเทศอาเซียนบวกสาม (ASEAN plus Three, Japan China Korea) จึงได้ร่วมมือกันจัดทำหลักเกณฑ์และวิธีการตรวจสอบพันธุ์พืช ฉบับกลุ่มประเทศอาเซียน กอรป ประเทศไทยได้ใช้หลักเกณฑ์ฯ มาระยะเวลาหนึ่งแล้ว พบว่ามีข้อจำกัด จึงเป็นโอกาสให้มีการพัฒนาหลักเกณฑ์ฯ ให้มีความเหมาะสมและเป็นไปตามมาตรฐานสากลยิ่งขึ้น จึงดำเนินการศึกษาพัฒนาหลักเกณฑ์และวิธีการตรวจสอบพันธุ์พืชของประเทศในภูมิภาคอาเซียน โดยศึกษาหลักเกณฑ์และวิธีการตรวจสอบพันธุ์พืชของประเทศในภูมิภาคอาเซียนและของสหภาพระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ ศึกษาลักษณะพันธุ์พืช พันธุ์พื้นเมืองทั่วไปที่มีการปลูกอยู่ตามแหล่งเพาะปลูก และใช้ข้อมูลดังกล่าว เป็นแนวทางประกอบการยกร่างหลักเกณฑ์การตรวจสอบลักษณะพันธุ์พืชดังกล่าว สำหรับใช้ในกลุ่มประเทศอาเซียน จากนั้นได้ประชุมเพื่อพิจารณาร่างหลักเกณฑ์ฯ โดยมีประเทศที่เข้าร่วมประชุม ได้แก่ ประเทศกลุ่มอาเซียน ร่วมกับ จีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น ร่วมกันพิจารณา (ร่าง) หลักเกณฑ์ฯ ปรับปรุง แก้ไข และแต่ละประเทศนำไปทดสอบใช้ ผลจากการวิจัย ได้ (ร่าง) หลักเกณฑ์และวิธีการตรวจสอบลักษณะพันธุ์พืช ของข้าว ทุเรียน มะละกอ พริก แก้วกาญจนา และมันสำปะหลัง ที่เป็นไปตามมาตรฐานอาเซียน และมาตรฐานสากล ที่ประกอบด้วย การกำหนดพันธุ์ในชนิดพืชที่ใช้หลักเกณฑ์ฯ นี้ ตรวจสอบ ชนิดและจำนวนส่วนขยายพันธุ์ที่ต้องส่งมอบ วิธีการตรวจสอบ การประเมินความแตกต่าง ความสม่ำเสมอ และความคงตัว การจัดกลุ่มพันธุ์ ลักษณะทางสัณฐานวิทยาที่ใช้ตรวจสอบ การอธิบายลักษณะและการอธิบายด้วยภาพลายเส้นหรือภาพถ่าย โดยมีลักษณะทางสัณฐานวิทยาที่ใช้ตรวจสอบ ใน (ร่าง) หลักเกณฑ์ฯ ของข้าว ทุเรียน มะละกอ พริก แก้วกาญจนา และมันสำปะหลัง จำนวน 74 50 62 53 50 และ 34 ลักษณะ ตามลำดับ และ (ร่าง) หลักเกณฑ์และวิธีการตรวจสอบพันธุ์พืชดังกล่าวนี้ สามารถนำไปใช้สำหรับตรวจสอบพันธุ์พืชใหม่ที่นักปรับปรุงพันธุ์พืช ได้ยื่นขอจดทะเบียนเป็นพันธุ์พืชใหม่ในประเทศภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ โครงการเริ่มดำเนินงานตั้งแต่ปี 2554-2558 ประกอบด้วย 8 การทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อรวบรวมข้อมูลภูมิปัญญาพื้นบ้านในการใช้พืช เพื่อการดำรงชีวิตในวิถีไทยของชุมชนที่มีการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์พืชอย่างยั่งยืน ตลอดจนข้อมูลของพันธุ์พืชที่ชุมชนได้อนุรักษ์และใช้ประโยชน์ รวมถึงการอนุรักษ์พันธุ์พืชหายาก โดยผสมผสานเทคโนโลยีที่มีอยู่ในปัจจุบัน เพื่อการบูรณาการอย่างมีประสิทธิภาพ การศึกษาความหลากหลายและการใช้ประโยชน์พืชในชุมชนต่างๆ ได้แก่ ชาวเลกลุ่มอูรักลาโวยทางภาคใต้ (ภูเก็ต กระบี่ สตูล) ชุมชนจังหวัดชายแดนภาคตะวันตก (ประจวบคีรีขันธ์ ราชบุรี กาญจนบุรี) ชุมชนภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน (สกลนคร หนองคาย เลย) พื้นที่ภาคเหนือตอนบน (ลำปาง ลำพูน น่าน พะเยา) ชุมชนเขตพื้นที่ภาคเหนือ 3 จังหวัด (แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย) และชุมชนเขตพื้นที่ภาคใต้ 3 จังหวัด (นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา) โดยการออกสำรวจ และรวบรวมข้อมูลการใช้ประโยชน์พืช พบว่าชุมชนต่างๆ มีการใช้ประโยชน์พืชหลากหลายชนิด แบ่งเป็นพืชอาหาร 297 ชนิด พืชสมุนไพร 27 ชนิด พืชใช้สอย 23 ชนิด พืชเส้นใย 4 ชนิด พืชน้ำมัน 4 ชนิด พืชประดับ 1 ชนิด และข้าวพื้นเมือง 52 พันธุ์ การศึกษาวิธีการขยายพันธุ์พืชชนิดใหม่ 4 ชนิด ได้แก่ ต้นชมพูสิริน ต้นไอยริศ ต้นภูมิพลินทร์ และต้นนครินทรา พบว่า การปักชำลำต้นภูมิพลินทร์และนครินทรามีการเจริญเติบโตได้ดีในอุณหภูมิห้อง และการแยกเหง้าเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการขยายพันธุ์ต้นไอยริศ การใช้วัสดุปลูก คือ ดิน ทราย แกลบเผา และเกล็ดหิน อัตรา 1:1:1:1 เป็นวัสดุปลูกที่เหมาะสมต่อการรอดชีวิตของต้นชมพูสิริน ส่วนวัสดุปลูก ดิน ทราย ขุยมะพร้าว และ เม็ดเถ้าแกลบ อัตรา 1:1:1:1 เหมาะสมต่อการรอดชีวิตของต้นไอยริศ ส่วนต้นภูมิพลินทร์ และ ต้นนครินทรา ยังไม่พบวัสดุปลูกที่เหมาะสม ต่อการรอดชีวิตของพืช จากการทดสอบการส่งเสริมการเจริญเติบโตของพืช พบว่าต้นไอยริศที่ใส่ราอาบัสคูลาไมโคไรซ่า Glomus tunicatum มีการเจริญเติบโตมากกว่าต้นที่ไม่ได้ใส่ ส่วนกระถางที่ใส่ราอาบัสคูลาไมโคไรซ่า Glomus sp. ร่วมกับ Acaulospora sp. ให้ค่าเฉลี่ยความสูงของต้นชมพูสิรินสูงที่สุด
บทคัดย่อ (EN): To implement to the Parties of the Convention on International Trade in Endangered Species of Wild fauna and Flora or CITES, Thailand has been amended the Plant Act B.E 2518 to Plant Act (2) B.E. 2535. To comply with the requirements of the Convention, the plant species under CITES listed are define as Conserved Plants. The import, export or re-export of Conserved Plants are required CITES Permit before doing. And the requirements of the Convention for exporting countries have to be studied and evaluated the status of the species before issuing the CITES Permits, to ensure that the issuance of permit do not detriment to the survival of the population of those species. This project study is called Non-detriment finding or NDF. The making of NDF must have to study the document and survey the species in nature. To get information on the biology, the status of the plants in the country, management of Harvest, regulating the harvest, tracking and monitoring the harvest, factors contributing to the exploitation of plant species and measures to protect the over exploitation. The study was conducted on Conserved Plants for 14 species of four group, including genus agarwood (Aquilaria spp.) for 2 species, Siamese cycad (Cycas siamensis), the golden chicken fern (Cibotium barometz) and orchids for 10 species of Grammatophyllum speciosum, Vandopsis lissochiloides and genus Aerides spp for 8 species The study found that 14 species of Conserved Plants are utilized by trade. But there are other factors that contribute to the risk of extinction such as, a form of biological of agarwoood and Cycads are long-lived and low reproductive. While the national distribution of Vandopsis is restricted and fragmented. For Siamese cycad and the golden chicken fern are threaten by habitat destruction for agriculture. Whilst Aerides spp. are collected from nature in moderate to high amounts, based on the beauty of the flowers. From the study found that all conserved have been manage in the medium level of regulation in protected area. But there are less regulation in private land. The access to natural habitat of all Conserved Plants which conduct in this study is very difficult because those are in protected area. Given the lack of biological information, the ability to reproduce, survival of seedlings in natural conditions, and climate change. Thus, the data from our studying can be evaluated that Conserved Plants have effects by over harvesting from natural to trade. By other factors which previous state contribute to increase the extinction. So the issuance of export permit have to ensure that those exported species are from artificial propagation and have to registered the nursery with the Department of Agriculture. Thailand has the potential technology for artificial propagation, especially orchid plants and agarwood. The result from the study should be submit plan or project to restore the natural population of cycads due to the habitat destruction. To avoid the extinction by promoting the ex situ conservation and sustainable use by allowing export species which derived from nature. The artificially propagated from spores of golden chicken fern should be encourage to avoid the extinction, especially to the villagers in the area. In the same time the networking community and raise awareness of conservation of golden chicken fern have to establish. were carried out from October, 2011 to September, 2015. This research were focused on botanical and identification studies of 3 aspects of plant groups, such as seeds of agricultural potential plants, economic medicinal plants and native economic ornamental plants to serve as data for protection, conservation and utilization of plant genetic resources through the Plant Variety Act, 1999 (B.E. 2542) in terms of wild plant variety, general domestic plant variety and local domestic plant variety. The results were showed that the first one as economic medicinal plants were identified as follows: Apiaceae (18 genera, 21 species), Gesneriaceae (16 genera, 87 species), Urticaceae (7 genera, 40 species), Acanthaceae (4 genera,33 species) those were well-known for economic uses, i.e. Foeniculum vulgare Mill., Hydrocotyle umbellata L., Bupleurum hamiltonii N.P. Balakr., Peristrophe lanceolaria (Roxb.) Nees, Phlogacanthus pulcherrimus T. Anders., Lepidagathis chiengmaiensis Bremek., L. chlorostachya Nees, L. dissimilis J.B. Imlay, Aeschynanthus andersonii C.B. Clarke, Paraboea albida and Pilea cadierei Gagnep. & Guillaumin; the second one as native economic ornamental plants were identified into 3 familes, 19 genera, 98 species, consisting of pitcher plants (3 families, 3 genera, 21 species), aquatic plants (9 families, 9 genera, 12 species), plants on sand stone (16 families, 26 genera, 40 species), those were well-known for economic uses, i.e. Nepenthes spp., Utricularia spp., Drosera spp. and Begoniaceae; the third one as agricultural potential plants were identified into 4 families, i.e. Lamiaceae, Begoniaceae, Cyperaceae and Poaceae, totally 94 species which were used for seed identifying by seed morphological features. The useful data from this study is fruitful for taxonomic research and further studies for continuing other concerned subjects in advanc Study Conserve of Domestic Plant and Rare Indigenous Plants and Sustainable Use of Plant Genetic Resources in accordance with Plant Varieties Protection Act B.E. 2542 were carried out during October, 2011 to September, 2015. They consisted of 8 experiments which were focused on collecting traditional knowledge of indigenous plants for their daily uses and living in term of conservation and sustainable utilization. Hence, the study of rare plants were integrated by using propagation technology to conserve them efficiently. The main subjects were divide into 2 issues: The first one were concentrated on the utilization of plant resources in target community, i.e. sunrise called “Urak ride” in the south (Phuket, Krabi, Satun), community in western border (Prachuap Khirikhan, Ratburi, Kanchanaburi), community in upper northeast (Sakon Nakhon, Nongkhai, Loei), community in upper north (Lampang, Lamphun, Nan, Phayao), community in 3 provinces of north (Mae Hong Son, Chianh Mai, Ckiang Rai) and community in 3 provinces of South (Nakhon Si Thammarat, Phatthalung, Songkhla). The exploration and collection of useful plants were reported as food plants (297 species), medicinal plants (27 species), multipurpose plants (23 species), fibre plants (23 species), plants with oil containing (4 species), ornamental plants (1 species) and native rice (52 varieties) The second one were concentrated on propagation of new plant species (4Species), i.e.Impatiens sirindhorniae, Zingiber sirindhorniae, Trisepalum bhumibolianum and Trisepalum sangwaniae. The results were reported that stem cuttings of Trisepalum bhumibolianum and Trisepalum sangwaniae were showed the appropriate growth in room temperature and rhizome separation is the best method of Zingiber sirindhorniae. The method of growing media for planting were showed the best result in the formulation ratio for Impatiens sirindhorniae as soil: sand: burned husk: rock; 1:1:1:1, survival rate Zingiber sirindhorniae the formation ratio for as soil: sand: coconut shell’s hair: rich hull ash, 1:1:1:1, Impatiens sirindhorniae and Trisepalum sangwaniae were reported unsuitable growing media. The study on growth of Zingiber sirindhorniae which were treated with Glomus tunicatum was better than that without the mychorrhiza. The pot treated with Glomus sp. and Acarlospora sp. gaved the best result for height of stem.
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เผยแพร่โดย: กรมวิชาการเกษตร
คำสำคัญ: พันธุ์อ้างอิง
คำสำคัญ (EN): TGs
เจ้าของลิขสิทธิ์: สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
ชุดโครงการวิจัยและพัฒนาการคุ้มครองพันธุ์พืช
กรมวิชาการเกษตร
30 กันยายน 2558
แผนงานวิจัยและพัฒนาการคุ้มครองพันธุ์พืช ชุดโครงการวิจัยและพัฒนาการอารักขาพืช โครงการวิจัยเพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพบ่อน้ำร้อนถ้ำเขาพลู โครงการวิจัยการศึกษาลักษณะทางพฤกษศาสตร์ เพื่อพัฒนาหลักเกณฑ์ และวิธีการตรวจสอบพันธุ์พืชเพื่อการคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ ภายใต้พระราชบัญญัติคุ้มครองพันธุ์พืช พ.ศ. 2542 โครงการศึกษาและพัฒนาระบบการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์พันธุ์พืชอย่างยั่งยืนของชุมชน และ แนวทาง การให้ความคุ้มครองพันธุ์พืชพื้นเมือง ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองพันธุ์พืช พ.ศ. 2542 โครงการวิจัยการวิจัยและพัฒนาการผลิตพันธุ์พืชเพื่อการผลิตพืชระบบเกษตรอินทรีย์ ชุดโครงการวิจัยและพัฒนาพืชผัก ชุดโครงการวิจัยและพัฒนาการผลิตลองกอง ชุดโครงการวิจัยและพัฒนาพืชเส้นใย ชุดโครงการวิจัยและพัฒนาพันธุ์อ้อย
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก