สืบค้นงานวิจัย
การพัฒนารูปแบบการป้องกันโรคไข้หวัดนกโดยใช้ชุมชนเป็นฐาน ในอำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี ประเทศไทย
Tavorn Maton - มหาวิทยาลัยมหิดล
ชื่อเรื่อง: การพัฒนารูปแบบการป้องกันโรคไข้หวัดนกโดยใช้ชุมชนเป็นฐาน ในอำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี ประเทศไทย
ชื่อเรื่อง (EN): Development of a community-based model to prevent Avian influenza in Song Phi Nong district, Suphan Buri province, Thailand
ผู้แต่ง / หัวหน้าโครงการ (EN): Tavorn Maton
บทคัดย่อ: ไข้หวัดนกเป็นโรคติดเชื้อในสัตว์ และติดต่อสู่คนโดยการสัมผัสกับสัตว์ที่ติดเชื้อหรือสัตว์ตาย ประเทศไทยมีผู้ป่วยไข้หวัด นกสะสม นับตั้งแต่เดือน มกราคม 2547 จนถึง ธันวาคม 2548 จำนวน 22 คน ซึ่งตายไป 14 คน ทุกครั้งที่มีการระบาดเกิดขึ้นในสัตว์ ปีก มักจะมีการระบาดติดต่อสู่คนเสมอ ในปี 2547 จังหวัดสุพรรณบุรี มีผู้ป่วยไข้หวัดนกที่มีผลการตรวจจากห้องปฏิบัติการยืนยัน 3 ราย ปัจจุบัน การระบาดของไข้หวัดนกในสัตว์ปีกยังคงเกิดขึ้นอยู่อย่างต่อเนื่อง การวิจัยนี้เป็น Action Research ซึ่งเริ่มโดยการสำรวจ ความรู้ ทัศนคติ และการปฏิบัติตนเกี่ยวกับไข้หวัดนกของประชาชน และดำเนินงานโครงการป้องกันและควบคุมโรคโดยเน้นการมี ส่วนร่วมของชุมชน กลุ่มตัวอย่างที่ถูกสัมภาษณ์จำนวน 784 คน ถูกสุ่มมาจาก 14 ตำบล โดยวิธี Multi-stage random sampling ใน อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงเทพ ฯ 80 กิโลเมตร ผลการศึกษาพบว่าร้อยละ 85.1 ของกลุ่มตัวอย่างมีความรู้ (7-12 คะแนน จากคะแนนเต็ม 18 คะแนน) และการปฏิบัติตน (10-20 คะแนน จากคะแนนเต็ม 30 คะแนน) เกี่ยวกับการป้องกันและ ควบคุมไข้หวัดนกในระดับปานกลาง ร้อยละ 98.9 ของกลุ่มตัวอย่างมีทัศนคติในทางบวก (35-51 คะแนน จากคะแนนเต็ม 51 คะแนน) เกี่ยวกับการป้องกันและควบคุมโรค รายได้ครอบครัวมีความสัมพันธ์กับทัศนคติและการปฏิบัติตน ระดับการศึกษามี ความสัมพันธ์กับระดับความรู้ การมีเด็กหรือผู้สูงอายุในครอบครัวมีความสัมพันธ์กับการปฏิบัติตน การได้รับข้อมูลข่าวสารมี ความสัมพันธ์กับระดับความรู้และการปฏิบัติตน การเลี้ยงและการฆ่าสัตว์ปีกเพื่อการบริโภคในครอบครัวมีความสัมพันธ์กับการ ปฏิบัติตนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ในระยะที่สองเป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ ภายใต้โปรแกรมการสร้างพลังโดยใช้ชุมชนเป็นฐาน (Community-Based Empowerment Program) ในหมู่บ้านที่ถูกคัดเลือกได้แก่ บ้านวังตะกู ตำบลทุ่งคอก โปรแกรมนี้เน้นให้ความรู้ ทัศนคติ และการปฏิบัติ ทั้งในระดับบุคคลและครอบครัว รวมถึงการเพิ่ม self-efficacy และ self-esteem แก่แกนนำหมู่บ้าน 24 คน และตัวแทนหลังคาเรือน 199 คน โดยการให้ความรู้แก่คนในชุมชนเพื่อให้เกิดการเรียนรู้และความเชื่อมั่นในการทำกิจกรรมร่วมกัน ซึ่งได้จัดประชุมเชิงปฏิบัติการและการอบรม 2 ครั้ง ครั้งแรกและครั้งที่สองห่างกัน 1 สัปดาห์ โดยการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมเกี่ยวกับ การป้องกันโรคไข้หวัดนกในคน ในสัตว์เลี้ยง การเฝ้าระวังและรายงานการเกิดโรค และการรณรงค์ให้ความรู้ในชุมชน แกนนำ หมู่บ้านได้รับมอบหมายให้ทำงานร่วมกับ 199 หลังคาเรือนอย่างต่อเนื่องในเขตรับผิดชอบของตนเอง การศึกษานี้ประเมินผลโดยการ เก็บรวบรวมข้อมูล 2 ครั้งคือ ก่อน และหลังดำเนินงานโครงการทั้งในกลุ่มแกนนำ 24 คน และตัวแทนหลังคาเรือน 199 คน โปรแกรม การศึกษานี้ประสบความสำเร็จทุกด้านทั้งระดับความรู้ ทัศนคติ และการปฏิบัติเกี่ยวกับไข้หวัดนก พฤติกรรมการล้างมือด้วยสบู่ การ รับรู้ความสามารถแห่งตน การรับรู้ความจำเป็นในการป้องกันและควบคุมโรคไข้หวัดนก ทั้งหมดมีคะแนนเฉลี่ยสูงขึ้นกว่าก่อนการ ทดลองโปรแกรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ตัวแทนหลังคาเรือนมีความพึงพอใจและมีส่วนร่วมในกิจกรรมการป้องกันและควบคุม ไข้หวัดนกสูง (ร้อยละ98.3 และ 80.9 ตามลำดับ) ผลการศึกษานี้ สามารถนำไปใช้ในชุมชนอื่นที่มีอุบัติการณ์ไข้หวัดนกสูง รวมถึง ความรู้ ทัศนคติ การปฏิบัติ ข้อมูลข่าวสารและประสบการณ์ที่ได้รับจากการศึกษานี้จะช่วยในการพัฒนาโปรแกรมการป้องกันและ ควบคุมโรคไข้หวัดนกได้ นอกจากนั้นรูปแบบการศึกษานี้ ยังมีผลต่อการลดอัตราอุบัติการณ์และส่งเสริมพฤติกรรมการป้องกัน ไข้หวัดนกได้เป็นอย่างดี
บทคัดย่อ (EN): 2 = 10.187, P = 0.006, respectively). The second stage of the study was an implementation conducted in a selected village, Ban Vang Ta Ku, Thung Khok Sub-district, under the community-based empowerment program (CBEP). The program emphasized KAP for AI, personal and family protection and increased self-efficacy, and self-esteem, for 24 key community stakeholders and 199 household representatives. The program trained the community stakeholders in self-efficacy for this active, participative learning process. Workshops and training were organized twice onsite at the start of implementation, and at one week. The latter was based on participatory learning action for personal knowledge of AI prevention, farming protection, surveillance and report of disease occurrence, and a community campaign. The community stakeholders had self-assignments and continued working with 199 households in their geographic area. The study evaluated the program by conducting two data collections, with baseline and final data collections in both groups (24 stakeholders and 199 householders). The program was quite successful, with KAP levels for AI, hand washing with soap behaviors, self-efficacy, and necessary perception of prevention and control, significantly higher than before the implementation. Householder satisfaction and participation in the activities had higher levels to the project activities (98.3 and 80.9%, respectively). Logistic regression analysis suggested that selfefficacy score, practice score, and factors of raising poultry, and learning information predicted increased chance of program participatory activities. Results of the study can be applied with other communities having a high incidence of AI. Knowledge, attitudes, practices, information, and learning experiences gained from the study are helpful in developing AI prevention and control programs. Furthermore, the study model affected a reduction in the incidence rate, and promoted AI-preventive behaviors.
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เอกสารแนบ: http://dcms.thailis.or.th/dcms/dccheck.php?Int_code=126&RecId=3534&obj_id=4829
เผยแพร่โดย: มหาวิทยาลัยมหิดล
คำสำคัญ (EN): Thailand
เจ้าของลิขสิทธิ์: มหาวิทยาลัยมหิดล
รายละเอียด: ไข้หวัดนกเป็นโรคติดเชื้อในสัตว์ และติดต่อสู่คนโดยการสัมผัสกับสัตว์ที่ติดเชื้อหรือสัตว์ตาย ประเทศไทยมีผู้ป่วยไข้หวัด นกสะสม นับตั้งแต่เดือน มกราคม 2547 จนถึง ธันวาคม 2548 จำนวน 22 คน ซึ่งตายไป 14 คน ทุกครั้งที่มีการระบาดเกิดขึ้นในสัตว์ ปีก มักจะมีการระบาดติดต่อสู่คนเสมอ ในปี 2547 จังหวัดสุพรรณบุรี มีผู้ป่วยไข้หวัดนกที่มีผลการตรวจจากห้องปฏิบัติการยืนยัน 3 ราย ปัจจุบัน การระบาดของไข้หวัดนกในสัตว์ปีกยังคงเกิดขึ้นอยู่อย่างต่อเนื่อง การวิจัยนี้เป็น Action Research ซึ่งเริ่มโดยการสำรวจ ความรู้ ทัศนคติ และการปฏิบัติตนเกี่ยวกับไข้หวัดนกของประชาชน และดำเนินงานโครงการป้องกันและควบคุมโรคโดยเน้นการมี ส่วนร่วมของชุมชน กลุ่มตัวอย่างที่ถูกสัมภาษณ์จำนวน 784 คน ถูกสุ่มมาจาก 14 ตำบล โดยวิธี Multi-stage random sampling ใน อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงเทพ ฯ 80 กิโลเมตร ผลการศึกษาพบว่าร้อยละ 85.1 ของกลุ่มตัวอย่างมีความรู้ (7-12 คะแนน จากคะแนนเต็ม 18 คะแนน) และการปฏิบัติตน (10-20 คะแนน จากคะแนนเต็ม 30 คะแนน) เกี่ยวกับการป้องกันและ ควบคุมไข้หวัดนกในระดับปานกลาง ร้อยละ 98.9 ของกลุ่มตัวอย่างมีทัศนคติในทางบวก (35-51 คะแนน จากคะแนนเต็ม 51 คะแนน) เกี่ยวกับการป้องกันและควบคุมโรค รายได้ครอบครัวมีความสัมพันธ์กับทัศนคติและการปฏิบัติตน ระดับการศึกษามี ความสัมพันธ์กับระดับความรู้ การมีเด็กหรือผู้สูงอายุในครอบครัวมีความสัมพันธ์กับการปฏิบัติตน การได้รับข้อมูลข่าวสารมี ความสัมพันธ์กับระดับความรู้และการปฏิบัติตน การเลี้ยงและการฆ่าสัตว์ปีกเพื่อการบริโภคในครอบครัวมีความสัมพันธ์กับการ ปฏิบัติตนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ในระยะที่สองเป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ ภายใต้โปรแกรมการสร้างพลังโดยใช้ชุมชนเป็นฐาน (Community-Based Empowerment Program) ในหมู่บ้านที่ถูกคัดเลือกได้แก่ บ้านวังตะกู ตำบลทุ่งคอก โปรแกรมนี้เน้นให้ความรู้ ทัศนคติ และการปฏิบัติ ทั้งในระดับบุคคลและครอบครัว รวมถึงการเพิ่ม self-efficacy และ self-esteem แก่แกนนำหมู่บ้าน 24 คน และตัวแทนหลังคาเรือน 199 คน โดยการให้ความรู้แก่คนในชุมชนเพื่อให้เกิดการเรียนรู้และความเชื่อมั่นในการทำกิจกรรมร่วมกัน ซึ่งได้จัดประชุมเชิงปฏิบัติการและการอบรม 2 ครั้ง ครั้งแรกและครั้งที่สองห่างกัน 1 สัปดาห์ โดยการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมเกี่ยวกับ การป้องกันโรคไข้หวัดนกในคน ในสัตว์เลี้ยง การเฝ้าระวังและรายงานการเกิดโรค และการรณรงค์ให้ความรู้ในชุมชน แกนนำ หมู่บ้านได้รับมอบหมายให้ทำงานร่วมกับ 199 หลังคาเรือนอย่างต่อเนื่องในเขตรับผิดชอบของตนเอง การศึกษานี้ประเมินผลโดยการ เก็บรวบรวมข้อมูล 2 ครั้งคือ ก่อน และหลังดำเนินงานโครงการทั้งในกลุ่มแกนนำ 24 คน และตัวแทนหลังคาเรือน 199 คน โปรแกรม การศึกษานี้ประสบความสำเร็จทุกด้านทั้งระดับความรู้ ทัศนคติ และการปฏิบัติเกี่ยวกับไข้หวัดนก พฤติกรรมการล้างมือด้วยสบู่ การ รับรู้ความสามารถแห่งตน การรับรู้ความจำเป็นในการป้องกันและควบคุมโรคไข้หวัดนก ทั้งหมดมีคะแนนเฉลี่ยสูงขึ้นกว่าก่อนการ ทดลองโปรแกรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ตัวแทนหลังคาเรือนมีความพึงพอใจและมีส่วนร่วมในกิจกรรมการป้องกันและควบคุม ไข้หวัดนกสูง (ร้อยละ98.3 และ 80.9 ตามลำดับ) ผลการศึกษานี้ สามารถนำไปใช้ในชุมชนอื่นที่มีอุบัติการณ์ไข้หวัดนกสูง รวมถึง ความรู้ ทัศนคติ การปฏิบัติ ข้อมูลข่าวสารและประสบการณ์ที่ได้รับจากการศึกษานี้จะช่วยในการพัฒนาโปรแกรมการป้องกันและ ควบคุมโรคไข้หวัดนกได้ นอกจากนั้นรูปแบบการศึกษานี้ ยังมีผลต่อการลดอัตราอุบัติการณ์และส่งเสริมพฤติกรรมการป้องกัน ไข้หวัดนกได้เป็นอย่างดี
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
การพัฒนารูปแบบการป้องกันโรคไข้หวัดนกโดยใช้ชุมชนเป็นฐาน ในอำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี ประเทศไทย
Tavorn Maton
มหาวิทยาลัยมหิดล
2549
การสร้างพลังชุมชนเพื่อจัดตั้งระบบการเฝ้าระวังโรคไข้หวัดนกโดยชุมชน ในประเทศไทย แบบจำลองทางคณิตศาสตร์ของผู้ป่วยโรคไข้หวัดนกในประเทศไทยโดยจำแนกตามโครงสร้างอายุและสายพันธุ์ที่มีการกลายพันธุ์ สำหรับประเทศไทย การบริหารงานเฝ้าระวังโรคไข้หวัดนกของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขระดับสถานีอนามัยในจังหวัดระยอง รูปแบบการจัดการความรู้การใช้ประโยชน์พืชสมุนไพรในศูนย์ความหลากหลายทางชีวภาพภาคตะวันตกแห่งประเทศไทย การพัฒนาเครื่องหมายทางพันธุกรรมของหอยเป๋าฮื้อเขตร้อนในประเทศไทย สารไล่แมลงที่พัฒนาตำรับจากพฤกษเคมีที่มีผลในการป้องกันยุงและแมลงสาบในประเทศไทย ปัจจัยที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการก่อสร้างในระหว่างการก่อสร้างโครงการป้องกันน้ำท่วมของภาครัฐในประเทศไทย แนวทางการพัฒนาทางกายภาพของชุมชนประมงในอ่าวไทยฝั่งตะวันออก
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก