สืบค้นงานวิจัย
การออกแบบหน่วยฆ่าเชื้อโรคด้วยแสงอัลตราไวโอเล็ต และผลต่อการเปลี่ยนแปลงปริมาณเชื้อโรคในการเลี้ยงปลาตะกรับ (Scatophagus argus Linnaeus, 1766) ระบบน้ำหมุนเวียน
ภรัณยู ถมพลกรัง - กรมประมง
ชื่อเรื่อง: การออกแบบหน่วยฆ่าเชื้อโรคด้วยแสงอัลตราไวโอเล็ต และผลต่อการเปลี่ยนแปลงปริมาณเชื้อโรคในการเลี้ยงปลาตะกรับ (Scatophagus argus Linnaeus, 1766) ระบบน้ำหมุนเวียน
ชื่อเรื่อง (EN): Study of Spotted Scat (Scatophagus argus Linnaeus, 1766) Rearing with Ulva intestinalis Linnaeus in earthen pond
ผู้แต่ง / หัวหน้าโครงการ: ภรัณยู ถมพลกรัง
ผู้แต่ง / หัวหน้าโครงการ (EN): PHARANYU THOMPOLKRANG
หน่วยงานสังกัดผู้แต่ง:
บทคัดย่อ: ปลาตะกรับ Scatophagus argus (Linnaeus, 1766) หรือปลาเสือดาว หรือปลาขี้ตัง (ภาษาท้องถิ่นภาคใต้) มีชื่อเรียกในภาษาอังกฤษหลากหลายชื่อ เช่น Scats, Spotted scat, Spadefish, Spotted spadefish, Butterfish และ Spotted butterfish ลักษณะลำตัวแบนข้าง (Lateral compress) เป็นปลาที่กินทั้งพืชและสัตว์ (Omivorous fish) เช่น ลูกกุ้ง ลูกปลา สัตว์หน้าดิน แพลงก์ตอน และสาหร่าย มีลายจุดสีดำ กลมกระจายทั่วลำตัวคล้ายเสือดาว มีสีสันสวยงาม จึงนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม ในชื่อปลาเสือดาว โดยชนิดที่นิยมเลี้ยงมาก จะเป็นปลาตะกรับหน้าแดง นอกจากนี้ยังนิยมนำ มาบริโภคด้วยโดยเฉพาะทางภาคใต้ของไทย เนื่องจากเนื้อมีรสชาติดี ตลาดมีความต้องการสูง และมีราคาดี เช่น ปลาตะกรับที่มีไข่ขนาด 5 ตัว/กก. ราคา กก.ละ 300 - 350 บาท ขนาด 10 ตัว/กก. กก.ละ 250 - 300 บาท และ 15 ตัว/กก. กก.ละ 150 - 200 บาท (สำนักวิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่ง, 2551) ดังนั้นการจับปลาตะกรับจากธรรมชาติแต่เพียงอย่างเดียว จึงไม่เพียงพอต่อความต้องการ และยังเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์อีกด้วย เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2550 สถาบันวิจัยการเพาะ เลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง สำนักวิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่ง กรมประมง ประสบความสำเร็จในการเพาะพันธุ์ปลาตะกรับเป็นครั้งแรกของประเทศไทย โดยใช้วิธีการผสมเทียม และได้อนุบาลลูกปลา 3 รุ่น มีอัตรารอด 9.1, 7.3 และ 22.7 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ (สำนักวิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่ง, 2551) หลังจากนั้นได้เพาะพันธุ์อย่างต่อเนื่องอีกหลายรุ่นจนได้ลูกปลาหลายหมื่นตัว แล้วแจกจ่ายให้เกษตรกรนำร่องนำไปทดลองเลี้ยงในบ่อดิน ใช้เวลาเลี้ยง 7.5 เดือน ได้ปลา 10 - 15 ตัว/กก. เลี้ยงในกระชังนาน 4.5 เดือน ได้ปลา 50 ตัว/กก. และเลี้ยงในถังพลาสติกนาน 6 เดือน ได้ปลา 50 ตัว/กก. ดังนั้นจึงสามารถส่งเสริมให้เลี้ยงเป็นอาชีพได้แน่นอน แต่มีปัญหาและอุปสรรคทางวิชาการ คือ การอนุบาลในช่วงอายุ 1 - 15 วัน ยังมีอัตรารอดต่ำและต้องพึ่งพ่อแม่พันธุ์จากธรรมชาติ จึงไม่สามารถเพาะและอนุบาลในเชิงพาณิชย์ได้ (จิระยุทธ และคณะ, 2551) อย่าง ไรก็ตาม เมื่อลูกปลาตะกรับเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น อายุประมาณ 45 วัน (2.0 - 2.5 ซม.) อัตราการรอดตายจะดีขึ้นตามลำดับ การนำลูกปลามาอนุบาลต่อให้ได้ขนาด 7 ซม. แล้วให้เกษตรกรนำไปเลี้ยง- 2 -ในกระชังหรือในบ่อดินจะทำให้อัตรารอดตายและผลผลิตสูงขึ้น เพื่อส่งเสริมอาชีพและต่อยอดงานวิจัยสู่เกษตรกร สถาบันวิจัยการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง จึงได้รวบรวมข้อมูลจากงานวิจัยและข้อมูลการเลี้ยงจากเกษตรกรนำร่อง จัดฝึกอบรมหลักสูตร การเพาะเลี้ยงปลาตะกรับเพื่อเป็นอาชีพ ให้แก่เกษตรกรผู้สนใจในเขตจังหวัดสงขลา พัทลุง และปัตตานี รวม 40 ราย เมื่อวันที่ 18 - 20 กุมภาพันธ์ 2552 โดยการสนับสนุนของสำนักวิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่ง กรมประมง (สำนักวิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่ง, 2552)ในปัจจุบันพบว่า นากุ้งถูกทิ้งร้างเป็นจำนวนมาก เช่นที่ อำเภอปากพะยูน จังหวัดพัทลุง มีนากุ้งทิ้งร้างประมาณ 4,750 ไร่ (ภรัณยู, 2551) สืบเนื่องจากราคากุ้งตกต่ำ และต้นทุนสูง ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นนากุ้งทิ้งร้างชั่วคราว หลังจากสถาบันวิจัยการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง ได้ส่งเสริมการเลี้ยงปลาตะกรับในนากุ้งทิ้งร้างดังกล่าวแล้ว พบว่า เกษตรกรให้การตอบรับอย่างดียิ่ง จนผลิตลูกปลาตะกรับได้ไม่เพียงพอต่อความต้องการของเกษตรกร นอกจากนากุ้งบ่อดินที่ถูกทิ้งร้างแล้ว พบว่า ฟาร์มเพาะและอนุบาลกุ้งทะเลยังถูกทิ้งร้างอีกเป็นจำนวนมาก เช่น ที่อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา ซึ่งฟาร์มเหล่านี้สามารถปรับปรุงเป็นฟาร์มเพาะและอนุบาล และหรือเป็นฟาร์มเลี้ยงปลาตะกรับได้เป็นอย่างดี เนื่องจากมีสาธารณูปโภค ระบบน้ำ ระบบลม และอุปกรณ์ต่าง ๆ อยู่แล้ว สามารถส่งเสริมให้ฟาร์มเอกชนผลิตลูกพันธุ์ปลาตะกรับได้อีกทาง เพื่อรองรับความต้อง การของเกษตรกรที่เลี้ยงปลาตะกรับในนากุ้งทิ้งร้าง ปลาตะกรับเป็นปลาที่เลี้ยงง่าย สามารถอาศัยอยู่ในช่วงความเค็มกว้าง ตั้งแต่น้ำจืดจนถึงน้ำทะเล แต่จะโตดีในช่วงความเค็ม 5 - 15 ppt (มาวิทย์ และเรณู, 2547) ปัจจุบันการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ระบบน้ำหมุนเวียน (Recirculating Aquaculture System) ได้รับความนิยมมากขึ้น เนื่องจากสามารถเลี้ยงปลาได้ตลอดทั้งปี ควบคุมคุณภาพน้ำได้ดี และเลี้ยงในอัตราที่หนาแน่นมากกว่าปกติ สถาบันฯ ได้ทดลองเลี้ยงปลาตะกรับทั้งในระบบน้ำหมุน เวียนและระบบปกติ แต่มักพบว่า ปลาตะกรับที่เลี้ยงด้วยความหนาแน่นสูงมักเกิดโรคระบาดขึ้น ทั้งที่เกิดจากโปรโตซัว เช่น โรคจุดขาว (Marine ich) ซึ่งเกิดจากโปรโตซัวชนิดที่มีขน Cryptocaryon sp. และโรคสนิมเหล็ก (Marine velvet) ซึ่งเกิดจากโปรโตซัว Amyloodinium sp. และที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย เช่น โรคแผลด่าง Flexibacter sp. มีลักษณะคล้ายโรคแผลด่าง ในปลากะพงขาวที่เลี้ยงในน้ำทะเล ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Flexibacter maritimus (เยาวนิตย์ และ จีรนันท์ , 2544) นอกจากนี้ยังมีรายงานโรคที่เกิดจากไวรัสด้วย เช่น โรคแสนปม หรือโรคลิมโฟซิสติส ซึ่งเกิดจากเชื้อ Iridovirus (ชลอ และคณะ, 2527 ; สุปราณี, 2536)แม้ว่าการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำระบบน้ำหมุนเวียนจะมีข้อดีมากแต่หากเกิดโรคระบาดขึ้นในระบบแล้ว จะระบาดไปทุกบ่อ สร้างความเสียหายต่อสัตว์น้ำที่เลี้ยงได้ทั้งระบบเช่นกัน หากรักษาโรคไม่ทันการณ์ หรือไม่มีระบบควบคุมป้องกันการเกิดโรคไว้ก่อน ในการรักษาโรคนิยมใช้สาร เคมี เช่น ฟอร์มาลีน ด่างทับทิม และคอปเปอร์ซัลเฟต เป็นต้น สำหรับการป้องกันและควบคุมการเกิดโรคในระบบน้ำหมุนเวียนนั้น ที่นิยมได้แก่ การใช้แสงอัตราไวโอเล็ต และการใช้ก๊าซโอโซน ซึ่งการใช้แสงอัตราไวโอเล็ต เป็นที่นิยมอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในระบบน้ำหมุนเวียนและ ระบบอควาเรียม การใช้แสงอัตราไวโอเล็ตในการฆ่าเชื้อโรคและควบคุมการเกิดโรค จะไม่เป็นอันตรายต่อสัตว์น้ำที่เลี้ยง และไม่มีความเป็นพิษตกค้างอยู่ในระบบสถาบันฯ ได้ริเริ่มนำหลอดที่ผลิตแสงอัลตราไวโอเล็ต มาใช้ในการควบคุมการเกิดโรคในระบบน้ำหมุนเวียน ปรากฎว่า การเกิดโรคลดลงและน้ำใสขึ้น โดยจุ่มหลอดไฟที่ผลิตแสงอัลตราไวโอเล็ตในหน่วย- 3 -บำบัดน้ำโดยตรง ในระบบที่มีปริมาตรน้ำไหลเวียนมาก จะต้องใช้หลอดไฟที่ผลิตแสงอัลตราไวโอเล็ตจำนวนที่มากพอ ถึงจะมีความ สามารถในการฆ่าเชื้อโรค และควบคุมการเกิดโรคได้ ดังนั้นการใช้แสงอัลตราไวโอเล็ต ในระบบน้ำหมุนเวียนขนาดเล็ก ขนาดกลาง หรือขนาดใด ๆ จะต้องพิจารณาปัจจัย ดังนี้ อัตราไหลของน้ำในระบบ (Flow rate) ความเข้มของแสงอัลตราไวโอเล็ต ที่ต้องการในการฆ่าเชื้อโรคเป้าหมาย (Required Microorganism UV Dose) และค่าการส่งผ่านของแสงอัลตราไวโอเล็ต (UV transmittance) จากหลอดไฟถึงสิ่งมีชีวิตเป้าหมายที่ล่องลอยอยู่ในน้ำ เพื่อแก้ปัญหาการเกิดโรคในปลาตะกรับที่เลี้ยงในระบบน้ำหมุนเวียนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยการป้องกันและควบคุมวงจรการเกิดโรคด้วยแสงแสงอัลตราไวโอเล็ต ดังนั้น จึงได้ทำศึกษาครั้งนี้โดยการออกแบบหน่วยฆ่าเชื้อโรคด้วยแสง อัลตราไวโอเล็ต ศึกษาผลต่อการเปลี่ยนแปลงปริมาณเชื้อโรคในการเลี้ยงปลาตะกรับ (Scatophagus argus Linnaeus ,1766) ในระบบน้ำหมุนเวียนและเฝ้าระวังการเกิดโรคที่เกิดจากพาราไซด์ กลุ่มโปรโตซัว เช่น โรคจุดขาว และโรคสนิมเหล็ก ตลอดการศึกษา
บทคัดย่อ (EN): No information found from agency.
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เผยแพร่โดย: กรมประมง
คำสำคัญ: สาหร่ายไส้ไก่
คำสำคัญ (EN): Ulva intestinalis
เจ้าของลิขสิทธิ์: สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
การออกแบบหน่วยฆ่าเชื้อโรคด้วยแสงอัลตราไวโอเล็ต และผลต่อการเปลี่ยนแปลงปริมาณเชื้อโรคในการเลี้ยงปลาตะกรับ (Scatophagus argus Linnaeus, 1766) ระบบน้ำหมุนเวียน
กรมประมง
31 มีนาคม 2555
กรมประมง
การพัฒนาเทคนิคการเพิ่มผลผลิตปลาตะกรับ (Scatophagus argus Linnaeus, 1766) จากการเพาะเลี้ยง ประสิทธิภาพและการจัดการระบบกรองชีวภาพขนาดใหญ่สำหรับเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ปลาทะเล การพัฒนาการของอวัยวะสืบพันธุ์ปลาตะกรับ (Scatophagus argus Linnaeus, 1766) จากการเพาะพันธุ์ การอนุบาลลูกปลาตะกรับ (Scatophagus argus Linnaeus, 1766)โดยการใช้อาหารสำเร็จรูปทดแทนอาร์ทีเมีย การพัฒนาระบบน้ำหมุนเวียนสำหรับการเลี้ยงปลาดุกลูกผสม (Clarias macrocephalus X C. gariepinus) ผลของระดับโปรตีนและไขมันในอาหารผสมสำเร็จรูปต่อการเจริญเติบโตและอัตราการเปลี่ยนอาหารเป็นเนื้อของปลาตะกรับ (Scatophagus argus Linnaeus, 1766) การเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ปลากะรังดอกแดง Ephinephilus coiodes (Hamilton,1822)ในระบบน้ำหมุนเวียนชีวภาพ ผลความหนาแน่นของการเลี้ยงปลาตะกรับ (Scatophagus argus Linnaeus, 1766) ในกระชังที่แขวนบ่อดิน ผลของระดับความหนาแน่นต่อการเจริญเติบโต และอัตรารอดในการอนุบาลลูกปลาตะกรับ (Scatophagus argus Linnaeus, 1766) ความสำเร็จในการผสมเทียมปลาตะกรับ, Scatophagus argus Linnaeus, 1766 โดยใช้ฮอร์โมน LHRHa
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก