สืบค้นงานวิจัย
การวิเคราะห์สูตรคำนวณศักย์การคายระเหยน้ำจากข้อมูลอากาศของประเทศไทย
วิเชียร ฝอยพิกุล - มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์
ชื่อเรื่อง: การวิเคราะห์สูตรคำนวณศักย์การคายระเหยน้ำจากข้อมูลอากาศของประเทศไทย
ชื่อเรื่อง (EN): Empirical formula for Evapotranspiration Calculation from Climatic data in Thailand
ผู้แต่ง / หัวหน้าโครงการ: วิเชียร ฝอยพิกุล
บทคัดย่อ: การวิจัยเรื่อง การวิเคราะห์สูตรคำนวณศักย์การคายระเหยน้ำจากข้อมูลอากาศของประเทศไทย ในครั้งนี้ จัดทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อหารูปแบบของสูตรที่เหมาะสมกับข้อมูลของประเทศไทย ที่มีการรวบรวมขึ้นใหม่ ใช้ข้อมูลจากสถานีต่าง ๆ ทั่วประเทศไทย ที่การตรวจวัดใน 30 ปีหลังสุด โดยรูปแบบของสูตรที่นำมาใช้เริ่มต้นในการพิจารณา คือ สูตรที่นำเสนอ โดยผู้เชี่ยวชาญขององค์กรอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ วิธีการวิจัย จึงเป็นการวิจัยเอกสารโดยใช้ข้อมูลทุติยภูมิของอุตุนิยมวิทยา ซึ่งเป็นข้อมูลอากาศรายเดือนของทุกสถานี แทนค่าลงในแบบข้อมูลป้อนเข้า โดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่วิเคราะห์ตามสูตรคำนวณศักย์การคายระเหยน้ำ 4 แบบคือ สูตรของเพนแมน สูตรของเพนแมนที่ปรับปรุง สูตรการแผ่รังสี และสูตรของบานนี่และคริดเดล ผลการคำนวณของทุกสถานีที่ได้ พบว่า ค่าศักย์การคายระเหยน้ำของแต่ละสถานี ทีคำนวณจากสูตรต่าง ๆ ได้ค่าแตกต่างกัน เนื่องจากและสูตรมีปัจจัยเน้นต่างกัน เช่นสูตรของบานนี่และคริดเดล ใช้ปัจจัยเดี่ยวคือ อุณหภูมิ ดังนั้นจึงแปรค่าตามอุณหภูมิเท่านั้น สูตรของการแผ่รังสี เน้นปัจจัยเดี่ยวคือ รังสีดวงอาทิตย์ ซึ่งบางสถานีได้ค่าจากการวัดโดยตรง (มีจำนวนน้อย) แต่บางสถานีเป็นค่าที่ได้จากการประมาณ ไม่ได้จากการวัด เนื่องจากไม่มีเครื่องมือวัดครบทุกสถานี ทำให้ค่าคำนวณที่ได้เป็นค่าประมาณอีกระดับหนึ่ง สูตรการเพนแมนและสูตรของเพนแมนที่ปรับปรุง ใช้ปัจจัยอากาศที่เกี่ยวข้องในการคำนวณมากกว่า จึงมีแนวโน้มที่จะให้ค่าได้ใกล้เคียงกับค่าจริงจากพื้นที่มากกว่า การตัดสินใจเลือกใช้สูตรใดสูตรหนึ่งจึงต้องพิจารณาในรอบคอบอีกครั้งหนึ่ง เพราะอาจจะใช้ได้ดีเฉพาะบางจุดหรือบริเวณกว้างกับข้อมูลที่มีสถิติรวบรวมไว้มากน้อยแตกต่างกันด้วย จากการเลือกสูตร ใช้วิธีการเทียบเคียงกับค่าวัดโดยตรงในสภาวะอากาศเดียวกัน ตำแหน่ง เวลาช่วงเดียวกัน เช่น ค่าคำนวณศักย์การคายระเหยน้ำกับค่าการระเหยน้ำจากถาดวัดแบบ Class A จะทำให้ช่วยการตัดสินใจในการเลือกใช้สูตรได้ จึงใช้คาคำนวณจากโปรแกรมทั้ง 4 สูตร เปรียบเทียบกับค่า 0.85 Epan แล้วหาค่าสหสัมพันธ์ ระหว่างตัวแปร 2 ชุด เป็นคู่ ๆ ผลการเปรียบเทียบปรากฏว่า สูตรของเพนแมนที่ปรับปรุงให้ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ดีที่สุด 0.09036 รองลงมาคือ สูตรเพนแมน สูตรการแผ่รังสีและสูตรของบานนี่และคริดเดล ซึ่งให้ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เฉลี่ย เท่ากับ 0.8648 , 0.7693 และ 0.6482 ตามลำดับ ดังนั้นจึงเลือกเสนอให้ใช้สูตรของเพนแมนที่ปรับปรุงสำหรับการคำนวณศักยการคายระเหยน้ำจากข้อมูลอากาศของประเทศไทย จากนั้นนำค่าศักย์การคายระเหยน้ำที่คำนวณได้จากสูตรที่เลือก มาเขียนเปรียบเทียบกับตำแหน่งทีตั้งของสถานีตรวจวัด ทั้ง 73 สถานี เป็นข้อมูลรายเดือน เลือกตัวแทนเฉพาะ 3 ช่วงเดือน คือ เดือนเมษายน เดือนสิงหาคม และเดือนธันวาคม ทั้ง 3 ช่วง พบว่า เดือนเมษายนมีค่าสูงกว่าเดือนสิงหาคมและเดือนธันวาคม ทั้ง 3 ช่วงเดือน บริเวณที่มีค่าศักย์การคายระเหยน้ำค่อนข้างสูง คือ ภาคเหนือตอนกลาง บริเวณและดิจูดที่ 18 องศาเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ บริเวณที่มีค่าสูงสุด บริเวณที่มีค่าสูงสุด มีค่าอยู่ในช่วง 250 มิลลิเมตร ในเดือนมีนาคมและเมษายน ที่ต่ำสุดอยู่ในช่วงเดือนธันวาคมและมกราคม มีค่าในช่วง 80-100 มิลลิเมตร ผลจากการวิจัย ข้อมูลที่คำนวณได้นี้ สามารถนำไปใช้ได้ต่อไป เช่น นำไปเปรียบเทียบ กับปริมาณน้ำฝน เพื่อหาช่วงขาดแคลนน้ำ ช่วงน้ำมากเกินพอ หรือนำไปหาประมาณค่าการใช้น้ำแท้จริงของพืชแต่ละชนิด จากค่าสัมประสิทธิ์การใช้น้ำของพืช นำไปวางแผนการผลิตพืช การใช้พืชที่เพาะปลูก การจัดการน้ำชลประทาน จะทำให้ข้อมูลนี้ได้รับประโยชน์มากยิ่งขึ้น จึงเป้นเรื่องที่สมควรนำไปประยุกต์ได้ต่อไป
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เอกสารแนบ: http://library.srru.ac.th
เผยแพร่โดย: มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์
คำสำคัญ: การคายระเหยน้ำ
คำสำคัญ (EN): 551.572
เจ้าของลิขสิทธิ์: มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์
รายละเอียด: การวิจัยเรื่อง การวิเคราะห์สูตรคำนวณศักย์การคายระเหยน้ำจากข้อมูลอากาศของประเทศไทย ในครั้งนี้ จัดทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อหารูปแบบของสูตรที่เหมาะสมกับข้อมูลของประเทศไทย ที่มีการรวบรวมขึ้นใหม่ ใช้ข้อมูลจากสถานีต่าง ๆ ทั่วประเทศไทย ที่การตรวจวัดใน 30 ปีหลังสุด โดยรูปแบบของสูตรที่นำมาใช้เริ่มต้นในการพิจารณา คือ สูตรที่นำเสนอ โดยผู้เชี่ยวชาญขององค์กรอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ วิธีการวิจัย จึงเป็นการวิจัยเอกสารโดยใช้ข้อมูลทุติยภูมิของอุตุนิยมวิทยา ซึ่งเป็นข้อมูลอากาศรายเดือนของทุกสถานี แทนค่าลงในแบบข้อมูลป้อนเข้า โดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่วิเคราะห์ตามสูตรคำนวณศักย์การคายระเหยน้ำ 4 แบบคือ สูตรของเพนแมน สูตรของเพนแมนที่ปรับปรุง สูตรการแผ่รังสี และสูตรของบานนี่และคริดเดล ผลการคำนวณของทุกสถานีที่ได้ พบว่า ค่าศักย์การคายระเหยน้ำของแต่ละสถานี ทีคำนวณจากสูตรต่าง ๆ ได้ค่าแตกต่างกัน เนื่องจากและสูตรมีปัจจัยเน้นต่างกัน เช่นสูตรของบานนี่และคริดเดล ใช้ปัจจัยเดี่ยวคือ อุณหภูมิ ดังนั้นจึงแปรค่าตามอุณหภูมิเท่านั้น สูตรของการแผ่รังสี เน้นปัจจัยเดี่ยวคือ รังสีดวงอาทิตย์ ซึ่งบางสถานีได้ค่าจากการวัดโดยตรง (มีจำนวนน้อย) แต่บางสถานีเป็นค่าที่ได้จากการประมาณ ไม่ได้จากการวัด เนื่องจากไม่มีเครื่องมือวัดครบทุกสถานี ทำให้ค่าคำนวณที่ได้เป็นค่าประมาณอีกระดับหนึ่ง สูตรการเพนแมนและสูตรของเพนแมนที่ปรับปรุง ใช้ปัจจัยอากาศที่เกี่ยวข้องในการคำนวณมากกว่า จึงมีแนวโน้มที่จะให้ค่าได้ใกล้เคียงกับค่าจริงจากพื้นที่มากกว่า การตัดสินใจเลือกใช้สูตรใดสูตรหนึ่งจึงต้องพิจารณาในรอบคอบอีกครั้งหนึ่ง เพราะอาจจะใช้ได้ดีเฉพาะบางจุดหรือบริเวณกว้างกับข้อมูลที่มีสถิติรวบรวมไว้มากน้อยแตกต่างกันด้วย จากการเลือกสูตร ใช้วิธีการเทียบเคียงกับค่าวัดโดยตรงในสภาวะอากาศเดียวกัน ตำแหน่ง เวลาช่วงเดียวกัน เช่น ค่าคำนวณศักย์การคายระเหยน้ำกับค่าการระเหยน้ำจากถาดวัดแบบ Class A จะทำให้ช่วยการตัดสินใจในการเลือกใช้สูตรได้ จึงใช้คาคำนวณจากโปรแกรมทั้ง 4 สูตร เปรียบเทียบกับค่า 0.85 Epan แล้วหาค่าสหสัมพันธ์ ระหว่างตัวแปร 2 ชุด เป็นคู่ ๆ ผลการเปรียบเทียบปรากฏว่า สูตรของเพนแมนที่ปรับปรุงให้ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ดีที่สุด 0.09036 รองลงมาคือ สูตรเพนแมน สูตรการแผ่รังสีและสูตรของบานนี่และคริดเดล ซึ่งให้ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เฉลี่ย เท่ากับ 0.8648 , 0.7693 และ 0.6482 ตามลำดับ ดังนั้นจึงเลือกเสนอให้ใช้สูตรของเพนแมนที่ปรับปรุงสำหรับการคำนวณศักยการคายระเหยน้ำจากข้อมูลอากาศของประเทศไทย จากนั้นนำค่าศักย์การคายระเหยน้ำที่คำนวณได้จากสูตรที่เลือก มาเขียนเปรียบเทียบกับตำแหน่งทีตั้งของสถานีตรวจวัด ทั้ง 73 สถานี เป็นข้อมูลรายเดือน เลือกตัวแทนเฉพาะ 3 ช่วงเดือน คือ เดือนเมษายน เดือนสิงหาคม และเดือนธันวาคม ทั้ง 3 ช่วง พบว่า เดือนเมษายนมีค่าสูงกว่าเดือนสิงหาคมและเดือนธันวาคม ทั้ง 3 ช่วงเดือน บริเวณที่มีค่าศักย์การคายระเหยน้ำค่อนข้างสูง คือ ภาคเหนือตอนกลาง บริเวณและดิจูดที่ 18 องศาเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ บริเวณที่มีค่าสูงสุด บริเวณที่มีค่าสูงสุด มีค่าอยู่ในช่วง 250 มิลลิเมตร ในเดือนมีนาคมและเมษายน ที่ต่ำสุดอยู่ในช่วงเดือนธันวาคมและมกราคม มีค่าในช่วง 80-100 มิลลิเมตร ผลจากการวิจัย ข้อมูลที่คำนวณได้นี้ สามารถนำไปใช้ได้ต่อไป เช่น นำไปเปรียบเทียบ กับปริมาณน้ำฝน เพื่อหาช่วงขาดแคลนน้ำ ช่วงน้ำมากเกินพอ หรือนำไปหาประมาณค่าการใช้น้ำแท้จริงของพืชแต่ละชนิด จากค่าสัมประสิทธิ์การใช้น้ำของพืช นำไปวางแผนการผลิตพืช การใช้พืชที่เพาะปลูก การจัดการน้ำชลประทาน จะทำให้ข้อมูลนี้ได้รับประโยชน์มากยิ่งขึ้น จึงเป้นเรื่องที่สมควรนำไปประยุกต์ได้ต่อไป
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
การวิเคราะห์สูตรคำนวณศักย์การคายระเหยน้ำจากข้อมูลอากาศของประเทศไทย
มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์
2540
สมดุลน้ำจากข้อมูลอากาศของประเทศไทยกับการวางแผนฤดูปลูกเพื่อการผลิตพืช การวิเคราะห์ส่วนประสมทางด้านการตลาดของกล้วยไข่ จังหวัดกำแพงเพชร โครงการพัฒนาขีดความสามารถด้านฐานข้อมูลเทคโนโลยี เพื่อการถ่ายทอดเผยแพร่ผ่านอินเทอร์เน็ต : ฐานข้อมูลอาหารไทยสี่ภาค การวิเคราะห์ฝนแล้งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย การพัฒนาระบบฐานข้อมูลเพื่อใช้เป็นข้อมูลตรวจสอบย้อนกลับสำหรับ การผลิตเนื้อโคขุนของสหกรณ์การเกษตรหนองสูงสาขาปศุสัตว์ จังหวัดมุกดาหาร การวิเคราะห์หาปริมาณวิตามินซีในน้ำผลไม้สำเร็จรูป การวิเคราะห์ความหลากหลายทางพันธุกรรมของม้าน้ำในประเทศไทยโดยใช้ RFLP การใช้ประโยชน์จากพืชในการบำบัดเบนซีนในอากาศ การปนเปื้อนของจุลินทรีย์ในอากาศในห้องสมุดคณะวิทยาศาสตร์ การวิเคราะห์ปริมาณและฤทธิ์สารต้านอนุมูลอิสระจากสารสกัดใบหม่อนไทย
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก