สืบค้นงานวิจัย
การพัฒนาคุณภาพผักเชียงดา (Gymnema inodorum (Lour.) Decne.) เพื่ออุตสาหกรรมการแปรรูป
ธีรวัลย์ ชาญฤทธิเสน - มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา
ชื่อเรื่อง: การพัฒนาคุณภาพผักเชียงดา (Gymnema inodorum (Lour.) Decne.) เพื่ออุตสาหกรรมการแปรรูป
ชื่อเรื่อง (EN): Quality Development of Phak Chiangda (Gymnema inodorum (Lour.) Decne.) for Processing Industry
ผู้แต่ง / หัวหน้าโครงการ: ธีรวัลย์ ชาญฤทธิเสน
บทคัดย่อ: จากการรวบรวมผักเชียงดาปลูกในแปลงรวบรวมพันธุ์ของสถาบันวิจัยเทคโนโลยีเกษตร จำนวน 101 สายต้น เพื่อประเมินลักษณะเบื้องต้น พบว่า มีจำนวน 48 สายต้น ที่มีความยาวใบ เฉลี่ยสูงกว่าค่าเฉลี่ย และจำนวน 52 สายตัน เท่ากับค่าเฉลี่ยหรือต่ำกว่าค่าเฉลี่ย โดยสายต้นรหัส 091 มีความยาวใบเฉลี่ยสูงสุด (16.68 ชม.) จำนวน 48 สายต้น มีความกว้างใบเฉลี่ยสูงกว่าค่าเฉลี่ย และ จำนวน 52 สายต้น เท่ากับค่าเฉลี่ยหรือต่ำกว่าค่าเฉลี่ย โดยสายต้น 013 มีความกว้างใบเฉลี่ยสูงสุด (8.58 ชม.) จำนวน 47 สายต้น มีความยาวก้านใบเฉลี่ยสูงกว่าค่าเฉลี่ย และ จำนวน 53 สายต้น เท่ากับค่าเฉลี่ยหรือต่ำกว่าค่าเฉลี่ย โดยสายต้นรหัส 013 มีความยาวก้านใบเฉลี่ยสูงสุด (4.18 ชม.) จำนวน 42 สายตันมีความยาวปล้องสูงกว่าค่าเฉลี่ย และ จำนวน 58 สายต้น เท่ากับค่าเฉลี่ยหรือต่ำ กว่าค่าเฉลี่ย โดยสายต้นรหัส 087 มีความยาวปล้องเฉลี่ยสูงสุด (14.16 ชม.) จำนวน 47 สายต้นมี ความยาวยอดสูงกว่าค่าเฉลี่ย และ จำนวน 53 สายต้นเท่ากับค่าเฉลี่ยหรือต่ำกว่าค่าเฉลี่ย โดยสายต้น รหัส 074 มีความยาวย ยอดเฉลี่ยสูงสุด (41.50 ชม.) จำนวน 57 สายตันมีจำนวนคูใบเฉลี่ยต่อยอดสูง กว่าค่าเฉลี่ย และจำนวน 43 สายต้นเท่ากับค่าเฉลี่ยหรือต่ำกว่าค่าเฉลี่ย โดยสายตันรหัส 085 มี จำนวนคู่ใบเฉลี่ยต่อยอดสูงสุด (4.00 ใบ)ทรงพุ่มเฉลี่ยมีความ การประเมินลักษณะต่าง ๆ ของสายต้นผักเชียงดาจำนวน 6 สายต้น พบว่า ความสูงของ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญยิ่งทางสถิติ สายต้นที่มีความสูงของทรงพุ่มเฉลี่ยสูงสุด ได้แก่สายต้น Gi 103 (93.80 ชม.) ความกว้างของทรงพุ่มเฉลี่ยไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติ เฉลี่ยระหว่าง 44.80-61.20 ชม. ความยาวใบเฉลี่ย มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญยิ่ง ทางสถิติ โดยสายต้น Gi 105 มีความยาวใบเฉลี่ยสูงสุด (15.96 ชม.) ความกว้างใบเฉลี่ยมีความ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญยิ่งทางสถิติ โดยสายต้น G 105 มีความกว้างใบเฉลี่ยสูงสุด (8.26 ชม.) ความยาวก้านใบเฉลี่ยมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญยิ่งทางสถิติ โดยสายตัน Gi 102 มีความยาว ก้านใบเฉลี่ยสูงสุด (3.51 ชม.) ความยาวปล้องเฉลี่ยมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญยิ่งทางสถิติโดย G 105 มีความยาวปล้องเฉลี่ยสูงสุด (7.08 ชม.) ความยาวยอดเฉลี่ยมีความแตกต่างกันอย่างมี นัยสำคัญทางสถิติ โดยสายต้น G 104 มีความยาวยอดเฉลี่ยสูงสุด (10.57 ชม.) จำนวนคู่ใบเฉลี่ยต่อ ยอดมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญยิ่งทางสถิติ โดยสายต้น Gi 101 มีจำนวนคูใบเฉลี่ยต่อยอด สูงสุด (3.73 ใบ) น้ำหนักสดเฉลี่ยต่อจำนวน 3 ยอด ไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (13-15.00 กรัม)การทดสอบความเสถียรซอง 6 สายต้น พบว่า ความสูงของทรงทุ่มเฉลี่ยไม่มีความแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทาง งสถิติ โดยมีความสูงของทรงพุ่มเฉลี่ยระหว่าง 71.09-93.24 ชม. ความกว้างของ ทรงพุ่มเฉลี่ยมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยสายตัน G 104 มีความกว้างของทรงพุ่ม เฉลี่ยสูงสุด (79.27 ชม.) น้ำหนักสดเฉลี่ยต่อยอดมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญยิ่งทางสถิติ โดย สายต้น G 102 มีน้ำหนักสดเฉลี่ยต่อยอดสูงสุด (1.74 กรัม) น้ำหนักแห้งเฉลี่ยต่อยอดมีคว่ามแตกต่าง กันอย่างมีนัยสำคัญยิ่งทางสถิติโดยสายต้น G 102 มีน้ำหนักแห้งเฉลี่ยต่อยอดสูงสุด (0.45 กรัม) ความยาวยอดเฉลี่ยมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญยิ่งทางสถิติโดยสายตัน G 102 มีความยาว ยอดเฉลี่ยสูงสุด (12.72 ชม.) จำนวนข้อเฉลี่ยต่อยอดมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญยิ่งทางสถิติโดยสายตัน Gi 105 มีจำนวนข้อเฉลี่ยต่อยอดสูงสุด (2.23 ข้อ) จำนวนคู่ใบเฉลี่ยต่อยอดมีความ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญยิ่งทางสถิติโดยสายต้น Gi 105 มีจำนวนดูใบสูงสุด (2.09 คู่) จำนวนยอด ต่อต้นมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญยิ่งทางสถิติ โดยสายต้น Gi 104 มีจำนวนยอดเฉลี่ยต่อต้น สูงสุด (36.91 ยอด) น้ำหนักสดเฉลี่ยต่อต้นมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญยิ่งทางสถิติโดยสายต้น Gi 104 มีน้ำหนักสดเฉลี่ยต่อต้นสูงสุด (71.32 กรัม) และปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระเทียบกับวิตามิน อีมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญยิ่งทางสถิติ โดยสายต้น G 104 มีปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระ เทียบกับวิตามินอี สูงสุด (763.76 TE มก/100 ก. น้ำหนักสด)ผลการศึกษาวิธีการปลูกด้วยการทำค้างและการพรางแสง พบว่า อิทธิพลร่วมของลักษณะ การพรางแสงและชนิดของค้างแบบต่าง ๆ ไม่มีผลกระทบต่อน้ำหนักต่อยอด ความยาวยอด จำนวนใบ ต่อยอด ความกว้างของใบ ความยาวของใบ ผักเชียงตาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ แต่ปัจจัยหลักแต่ ละปัจจัยมีอิทธิพลโดยตรงต่อความยาวของยอดผักเชียงดา โดยการปลูกโดยการพรางแสง มีความยาว ยอดเฉลี่ย (27.65 ชม.) มากกว่าการไม่พรางแสง (24.05 ชม.) ความยาวยอดเฉลี่ยยาวที่สุด (28.7 5 ชม.) การปลูกโดยพรางแสงมีผลทำให้มีจำนวนใบต่อยอดเฉลี่ย และที่ปลูกโดยใช้ค้างแบบตั้งฉากมี (5.96 ใบ) น้อยกว่า การปลูกโดยไม่พ แสง (6.57 ใบ) ส่วนการปลูกโดยใช้ค้างแบบต่าง ๆ ไม่มีผล ต่อความแตกต่างของจำนวนใบต่อยอดเฉลี่ยอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ การพรางแสงมีอิทธิพลต่อ ความยาวของใบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ การปลูกโดยพรางแสงมีผลทำให้มีความยาวของใบเฉลี่ย (9.63 ชม.) มากกว่า การปลูกโดยไม่พรางแสง (8.44 ชม.) การปลูกแบบไม่ใช้ค้างและพรางแสงมี จำนวนยอดต่ำที่สุด การทำค้างแบบต่าง มีอิทธิพลต่อน้ำหนักยอดรวมอย่างมีนัยสำคัญทาง คือ การทำค้างแบบนั่งร้านให้น้ำหนักยอดรวมมากที่สุด ( 1168.50- 2028 กรัม) ซึ่งไม่แตกต่างจาก การปลูกแบบสองเส้า (1283.17-1866 กรัม) จากผลการศึกษา จึงใช้น้ำหนักยอดรวมเป็นตัวชี้วัด สามารถสรุปได้ว่า การปลูกโดยการใช้ค้างแบบนั่งร้าน ไม่พรางแสง เป็นวิธีการปลูกผักเชียงดาที่ เหมาะสมในการปฏิบัติในแปลง ผลการศึกษาโดยการปลูกแบบใช้ค้างแบบนั่งร้านไม่พรางแสง พบว่า ลักษณะ ะผลผลิตผักเชียงดาในทุกลักษณะ ไม่มีความ แตกต่างกันในทางสถิติ (P>0.05) ในทุกๆสายพันธุ์ ที่ศึกษา มีน้ำหนัก/ยอดเฉลี่ย 8.40 กรัม ความยาวยอดเฉลี่ย 31.94 ชม. จำนวนใบต่อยอดเฉลี่ย 7.99 ใบ ความกว้างของใบเฉลี่ย 5.53 ซม.ความยาวของใบเฉลี่ย 10.52 ชม. จำนวนยอดต่อต้น เฉลี่ย 77.25 ยอด น้ำหนักยอดรวมต่อต้นเฉลี่ย 644.34 กรัม น้ำหนักต่อไร่เฉลี่ย 1,474.45 กิโลกรัม คิดเป็นมูลค่าผลผลิตสดในการจำหน่ายในท้องตลาดเฉลี่ยกิโลกรัมละ 20 บาท เป็นรายได้ เฉลี่ย 29,489.00 บาทต่อไร่จากการเปรียบเทียบฤดูกาลที่มีต่อผลผลิตผักเชียงดา พบว่า ค่าเฉลี่ยของลักษณะผลผลิตสด ในทุกฤดูกาลไม่มีความแตกต่างกันในทางสถิติ (P0.05) (1201 , 12.43 และ 1247 มก/ก.โดยน้ำหนักแห้ง ตามลำดับ) ผักเชียงดาชนิด กระโดงใบอ่อน และพุ่มใบแก่มีปริมาณคลอโรฟิลล์ทั้งหมด (8.13 และ 8.62 มก/ก.โดยน้ำหนักแห้ง ตามลำดับ) สูงสุด ผักทั้ง 4 ชนิดมีปริมาณคลอโรฟิลล์บีในปริมาณที่ไม่แตกต่างกัน ความสัมพันธ์ของ ชนิดใบผักเชียงดาและความแก่อ่อนไม่มีผ ผลต่อฤทธิ์การต้านอนุมูลอิสระเปรียบเทียบในรูปของวิตามินอี (Trolox) โดยตรง โดยมีฤทธิ์การต้านอนุมูลอิสระเฉลี่ยระหว่าง 21.39 ถึง 33.60 TEมก./ก.โดย น้ำหนักแห้ง การศึกษาการถดถอยพหุคูณ พบว่า คลอโรฟิลล์บีมีอิทธิพลในเชิงบวกต่อฤทธิ์การต้าน อนุมูลอิสระของใบผักเชียงดาสด ผลิตภัณฑ์แกงผักเชียงดาชนิดกระโดงใบอ่อน มีปริมาณความชื้น สูงสุด (91.18 %) แกงผักเชียงดาชนิดกระโดงใบอ่อน กระโดงใบแก่ และพุ่มใบอ่อนมีปริมาณโปรตีน สูงสุด ( 2.32 % 2.54 และ 2.52 % ตามลำตับ) แกงผักเชียงตาชนิดพุ่มใบอ่อนมีปริมาณเถ้า ทั้งหมดสูงสุด (1.73 %) แกงผักเชียงดาชนิดพุ่มทั้งใบอ่อนและใบแก่มีปริมาณไขมันสูงสุด (.55% และ 0.51 % ตามลำดับ) แกงผักเชียงดาชนิดกระโดงทั้งอ่อนและแก่ มีปริมาณสารประกอบฟินอลิก สูงสุด (7.64 และ 7.27 มก/ก.โดยน้ำหนักเปียก) แกงผักเชียงดาชนิดพุ่มใบอ่อนและใบแก่ มีปริมาณ เบต้าแคโรทีน (0.04 และ 0.03 มก/ก.โดยน้ำหนักเปียก) ไม่แตกต่างจากแกงผักเชียงดาชนิดกระโดง ใบแก่ (0.04 มก/ก.โดยน้ำหนักเปียก) แกงผักเชียงดาชนิดกระโดงแก่ มีปริมาณวิตามินชี (1.04 มก. ก.โดยน้ำหนักเปียก) สูงสุดลดลงจากใบผักเชียงดาสดร้อยละ 64.41 การศึกษายังพบว่า แกงผักเชียงดาใบอ่อนมีฤทธิ์การต้านอนุมูลอิสระ (9.82 TEมก./ก.โดยน้ำหนักเปียก) สูงกว่าใบแก่ ซึ่งจาก การศึกษาการถดถอยพหุคูณ พบว่า เกิดจากอิทธิพลของคลอโรฟิลล์ทั้งหมด ผักเชียงดาบรรจุกระป้องชนาด 307 x 409 ที่มีฤทธิ์การต้านอนุมูลอิสระสูง คือ ใช้ผักเชียงดาชนิด กระบวนการทำแกง กระโดงใบอ่อน ทำการฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ที่ 121 องศาเซลเซียส นาน 39 นาที ในระหว่างการเก็บ 12 สัปดาห์แรก ฤทธิ์การต้านอนุมูลอิสระมีปริมาณลดลงปริมาณร้อยละ 21.16 ในช่วง หลังจากนั้น ใน สัปดาห์ที่ 24 และ 36 ลดลงในปริมาณร้อยละ 42.58 และ 65.97 ตามลำดับ โดยมีปริมาณเฉลี่ย 0.80 TE มก./ก. โดยน้ำหนักเปียก ในสัปดาห์ที่ 36 การศึกษากระบวนการทำใบชาผักเชียงดา พบว่า กระบวนการที่เหมาะสม คือ ใช้ใบผักเชียงดาชนิดกระโดงใบอ่อน ลวกในน้ำเดือดที่เติมเกลือร้อยละ 0.5 นาน 30 วินาที และนำไปแช่น้ำเย็นทันที จากนั้นนำไปหั่นฝอยอบแห้งที่อุณหภูมิ 6012 องศาเซลเซียส ใบชาชนิดนี้มีฤทธิ์การต้านอนุมูลอิสระเทียบกับวิตามินอี 38.94 TE มก./ก. โดย น้ำหนักแห้ง การศึกษาการถดถอยพหุคุณ พบว่า สารประกอบฟืนอลิกทั้งหมดในใบชามีอิทธิพลเชิง บวกต่อ ฤทธิ์การต้านอนุมูลอิสระในใบชาผักเชียงดา การศึกษาส่วนผสมของน้ำผักเชียงด่าพร้อมดื่ม บรรจุขวดแก้วขนาด 330 มล. ที่เหมาะสม พบว่า การใช้น้ำสกัดใบผักเชียงดาทั้งชนิดกระโดงใบอ่อน และชนิดพุ่มใบอ่อน ที่สกัดโดยเอทิลแอลกอฮอล์ 409 ปริมาณ 2 เท่าของน้ำหนักผัก ในปริมาณร้อย ละ 25 ปรับปริมาณน้ำตาลต่อกรดในสัดส่วน 26 ต่อ 1 น้ำเชียงดาพร้อมดื่มมีปริมาณสารประกอบฟินอลิกสูงกว่าวิธีการอื่น การศึกษาสูตรน้ำดองผลผักเชียงดา พบว่า การใช้เกลือร้อยละ 4 น้ำตาล ร้อยละ 54 และน้ำส้มสายชูร้อยละ 14 สามารถรักษาปริมาณเบต้าแคโรทีนไว้ได้สูงกว่าน้ำดองสูตร อื่น ผลจากการศึกษาครั้งนี้ ทำให้ทราบว่า ปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระในใบผักเชียงดาและผลิตภัณฑ์ ที่มีอิทธิพลในเชิงบวกต่อฤทธิ์การต้านอนุมูลอิสระ คือ สารประกอบฟีนอลิกทั้งหมด และคลอโรฟิลสปี ะกอบฟินอลิกทั้งหมดพบมากในผักเขียงดาชนิดกระโดงใบอ่อน และคลอโรฟิลล์ ใบชนิดพุ่มและกระโดงใบแก่
บทคัดย่อ (EN): A total of 101 clones of Chiangda (Gymnema inodorum (Lour.) Decne.) were collected from the plot of Agricultural Technology Research Institute and in the surrounding villages around and then planted at the center starting in January 2008. The data showed that there were 48 clones with the average leaf length longer than the normal mean and 52 clones had equal or less than the normal mean. The 091 code clone has the highest average leaf length of 16.7 cm. There were 49 clones with the average leaf width wider than the normal mean and 51 clones had equal or less than the normal mean. The 030 code clone had the widest leaf of 8.6 cm. There were 45 clones with the average petiole length longer than the normal mean and 55 clones had equal or less than the normal mean. The 013 code clone had the longest petiole of 4.2 cm. There were 39 clones with the average internode length longer than the normal average and 61 clones had equal or less than the normal mean. The 087 code clone has the longest internode of 14.2 cm. There were 45 clones with the average length of shoot tip longer than the normal mean and 55 clones had equal or less than the normal mean. The 074 code clone had the longest shoot tip of 41.5 cm. There were 54 clones with the average amount of leaves more than the normal mean and 46 clones had equal or less than the normal mean. The 085 code clone had the highest amount of leaves, 4 leaves per shoot. From these six clones of chiangda were selected to plant in the plot for the agricultural practice study. Comparisons were studied for reducing the intensity of sunlight and the kind of stake. The study indicated highly significant differences (P0.05). There was no difference in fresh weight per shoot or leaf width between chiangda grown in the sun or without shade. At 95 % level of significance the differences were in shoot length, number of shoots, and total shoot weight for the May-August 2008 sampling. At 99 % level of significance the differences were in the number of leaves per shoot, leaf length, number of shoots and total shoot weight for the September-October 2008 sampling. At the 99 %level ofsignificance, the use of staking systems had some effects on shoot length, number of shoots and total shoot weight for the September - October 2008 sampling. The interaction between the 2 factors was also found. The six selected lines of Chiangda were compare by randomized complete block design. The average of canopy height was significant. Line number Gi 101 gave the highest canopy height (52.5 cm.). The average canopy width was significant. Line number Gi104 had the highest canopy width (56.6 cm.). The average of leaf length was significant. Line number Gi104 gave the highest leaf length (11.1 cm). The average of leaf width was significant. Line number Gi104 gave the highest leaf width (5.7 cm.).The average of nod number was not significant. Line number Gi101 gave the highest of nod numbers (3 nod). The average number of leave was not significant. Line number Gi105 gave highest leaf numbers (3 leaves). The average of shoot length was not significant. Line number Gi101 gave the highest shoot length (15.0 cm). The average of weight per shoot was not significant. Line number Gi102 gave the highest weight per shoot (3.82 gm.) The studys purpose was to develop a prototype of commercial chiangda (Gymnema inodorum Decne.) products. Some chemical composition including antioxidants of both fresh and chiangda products were analyzed for three replications in a 2 x 2 factorial,completely randomized, complete block experimental design. The main factors were chiangda type, bushy branch and twig branch, and maturity. Chiangda leaves were harvested from the plots at Agricultural Technology Research Institute. The antioxidants activity was analyzed against vitamin E (Trolox) by DPPH method. The results showed that young leaves from both bush and twig branches had the highest moisture content (81.98t0.24 % and 82.6010.46 9, respectively). Mature leaves of both bush and twig branches had the highest total ash (2.26t0.03 % and 2.24t0.01 %, respectively). Young twig branch leaves had the highest protein content (5.64t0.13 %6) while mature twig branch leaves had the highest carbohydrate content (14.380.79 %). There was no difference (p>0.05) in the averages for fat and fiber for all treatments, respectively 0.61+0.06 to 1.22+0.11 % and 1.710.08 to 3.570.16%, The highest B-carotene content (0.45+0.01 mg/g dried wt) occurred in mature bush branch leaves. The highest total phenolic compounds, as gallic acid (109.31t2.13 mg/g dried wt.), was found in young twig branch leaves. There was no difference in ascorbic acid contents in young twig branch, young bush branch, and mature bush branch leaves, 12.01t0.26, 12.93t0.51, and 12.47t0.08 mg/s dried wt., respectively. Young twig branch and mature bush branch leaves had the highest total chlorophyll content, 8.13t0.29 and 8.62t0.59mg/s dried wt., respectively. Type and maturity of the leaves did not affect theantioxidant activity. The averages of the antioxidant activity ranged from 21.39+0.92 to 33.60+1.13 (Trolox Equivalent, TE) mg/g dried wt. Regression analysis showed chlorophyll b amounts positively changing the antioxidant activity. The curry product from young twig branch leaves had the highest moisture content (91.18?0.06 %6). The highest protein content occurred in the curries of both young, mature twig branch, and young bush branch leaves (2.32t0.22, 2.54t0.17, and 2.52t0.07 %, respectively). The curry from leaves of young bush branches had the highest total ash (1.73t0.02 %6). Curries from both young and mature bush branch leaves showed the highest fat content (0.550.03% and 0.51t0.03%, respectively). The highest total phenolic compounds content was found in curries from leaves of both young and mature twig branches (7.64t0.41 and 7.27t0.13 mg/g wet wt, respectively). Curries from leaves of both young and mature bush branches had the highest P- carotene content (0.0350.006 and 0.030t0.002 mg/g wet wt., respectively), and these values were not different (p>0.05) for the curry made from mature twig branch leaves (0.039t0.002 mg/g wet wt.). The highest ascorbic acid content was found in the curry from mature twig branch leaves (1.04t0.05 mg/g wet wt.), a decrease of 64.38 % when compared to the fresh leaves of mature twig branches (2.92 mg/g wet wt). The scudy also revealed that the antioxidant activity in all young leaf curries (9.82t1.53 TE mg/g wet wt.) was higher than curries made from mature leaves. From regression analysis, total chlorophyll correlated positively to antioxidant activity. Thestudy of chiangda curry, canned in cans of a 307 x 409 size, found that the best process used leaves from mature twigs and processed at 121 C for 39 min. After 12 weeks of storage the antioxidant activity decreased by 21.16%, from 2.34 TE mg/100g to1.84 TE mg/100g . During storage for an additional 24 and 36 weeks the activity continued to decrease to 42.58% and 65.97 %. The antioxidant activity at 36 weeks of the storage was 0.80 t 0.05 TE mg/g wet wt. Leaves from young twig branches were used for a tea product. The leaves were blanched by boiling in a 0.5% salt solution for 30 sec. The blanched mass was then cooled in tap water, sliced, and dried in a tray-dryer at a temperature 60+2 C. The antioxidant activity of the tea was 38.94 t 3.63 TE me/s dried wt. Total phenolic compounds content correlated positively with antioxidant activity from the regression study. The study of ready-to drink chiangda extract used 330 ml glass bottles. The recipe calls for preparing a 40% ethyl alcohol-water solvent extract from the leaves of both twig and bush branches at a ratio of twice the leaves weight. The extract was dissolved in a ratio of 25% with a solution of 26:1 of sugar and acid in water. It was found that the total phenolic compounds in this recipe was higher than that for other recipes. The bestchiangda sweet and sour pickle ingredients had a composition of 4 86 salt 54 96 sugar and 14 % vinegar. For this recipe the-carotene content was the highest.
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เผยแพร่โดย: มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา
คำสำคัญ: อุตสาหกรรมการแปรรูป
คำสำคัญ (EN): Technology
เจ้าของลิขสิทธิ์: สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
การพัฒนาคุณภาพผักเชียงดา (Gymnema inodorum (Lour.) Decne.) เพื่ออุตสาหกรรมการแปรรูป
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา
28 กุมภาพันธ์ 2554
2554A17001008 การพัฒนาคุณภาพเชียงดา (Gymnema inodorum(Lour.) Decne.) เพื่อใช้ประโยชน์ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารต้านอนุมูลอิสระเชิงพาณิชย์ การพัฒนาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากเชียงดา (Gymnema inodorum (Lour.) Decne.)เพื่อลดไขมันในเลือด การเขตกรรมผักเชียงดาเพื่อการผลิตในระดับอุตสาหกรรม การพัฒนากระบวนการแปรรูปผักเชียงดา (Gymnema inodorum Decne.) เพื่อการผลิตในระดับอุตสาหกรรม ศึกษาอัตราปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพสูงที่เหมาะสม เพื่อเพิ่มผลผลิตผักและความอุดมสมบูรณ์ของดิน จังหวัดปทุมธานี ศึกษาอัตราปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพสูงที่เหมาะสม เพื่อเพิ่มผลผลิตผัก และความอุดมสมบูรณ์ของดิน จังหวัดนครนายก คุณภาพข้าวสุกจากการผสมข้าว กข 23 และ ชัยนาท 1 ในขาวดอกมะลิ 105 การพัฒนากระบวนการผลิตหญ้าแพงโกล่าเพื่อยกระดับคุณภาพสินค้า การแปรรูปมะละกอ การพัฒนาวัสดุปักชำแบบเจลที่มีสารควบคุมการเจริญเติบโตที่ผลิตจากแบคทีเรียเพื่อการขยายกิ่งพันธุ์ผักเชียงดา Gymnema inodorum (Lour.) Decne.
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก