มีวัตถุประสงค์เพื่อสกัดสารสำคัญและทดสอบฤทธิ์ทางชีวภาพในสารสกัดที่สกัดได้จากลำกล้วยไม้ ตรวจสอบชนิดและปริมาณของสารที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ฤทธิ์ต้านแบคทีเรียและฤทธิ์ต้านเซลล์มะเร็งบางชนิด อีกทั้งเพื่อจัดทำ <-span>TLC fingerprint<-o-p><-span><-p>

          จากโครงการวิจัยที่นำลำกล้วยไม้สกุลหวายมาสกัดสารสำคัญ พบว่า ตัวทำละลายชนิดแอลกอฮอลล์ คือ <-span>Ethanol และ <-span>Methanol สามารถสกัดสารสำคัญในกล้วยไม้ได้สูงกว่า <-span>Ethyl Acetate โดยที่สาร <-span>Methanol จะสกัดได้ดีกว่า <-span>Ethanol  นอกจากนี้เมื่อสารแอลกอฮอล์ทั้งสองชนิดผสมกับน้ำกลั่นบริสุทธิ์ในอัตราส่วนต่างๆ ทำให้สกัดสารได้ในปริมาณมากขึ้น ในเบื้องต้นพบว่าสารสกัดจากลำกล้วยไม้แก่สกุลหวายรวมหลายสีจากหลายแหล่งปลูกจะมีปริมาณสารสำคัญที่สกัดได้ในปริมาณน้อย ในขณะที่พบสารสกัดจากลำกล้วยไม้จากแต่ละสวนจะมีปริมาณสารสำคัญที่สกัดได้ในปริมาณที่สูงกว่า ในการวิเคราะห์ปริมาณฟิโนลิกรวมพบว่าสารสกัดจากลำกล้วยไม้ที่สกัดด้วย <-span>Ethyl Acetate มีปริมาณฟิโนลิกรวมที่สูงกว่าการสกัดด้วยแอลกอฮอล์ทั้งสองชนิด ซึ่งการที่สกัดพบปริมาณฟิโนลิกรวมที่สูง จะส่งผลให้มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงด้วยเช่นกัน ดังนั้น สารสกัดที่สกัดด้วย <-span>Ethyl Acetate จะมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระที่สูงกว่าสารสกัดที่ใช้แอลกอฮอล์เป็นตัวทำละลาย<-o-p><-span><-span><-p>

          ประโยชน์ที่ได้รับจากโครงการนี้คือ วิธีในการนำลำกล้วยไม้แก่สกุลหวายมาสกัดเอาสารสำคัญให้ได้ปริมาณและคุณภาพมากที่สุด เพื่อนำสารสกัดที่ได้ไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาและต่อยอดขยายผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง และสร้างมูลค่าเพิ่มจากต้นกล้วยไม้ที่หมดอายุการผลิตช่อดอกแล้ว โดยกลุ่มเป้าหมายที่จะนำไปใช้ประโยชน์โดยตรงคือกลุ่มอุตสาหกรรมผู้ผลิตอาหารเสริมและยา อีกทั้งลดการนำเข้าสารสกัดจากลำกล้วยไม้จากต่างประเทศ<-o-p><-span><-p>