สืบค้นงานวิจัย
โรครากปมจากไส้เดือนฝอยในพื้นที่ปลูกฝรั่งเขตภาคกลาง
อุณารุจ บุญประกอบ - มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ชื่อเรื่อง: โรครากปมจากไส้เดือนฝอยในพื้นที่ปลูกฝรั่งเขตภาคกลาง
ชื่อเรื่อง (EN): Root-knot disease caused by nematode in guava production areas of central part
บทคัดย่อ: สมมุติฐานของงานวิจัยนี้คือกิ่งพันธุ์ฝรั่งที่ผลิตในแหล่งปลูกเขตภาคกลางมีไส้เดือนฝอยติดไปเป็นปริมาณสูง การสุ่มตรวจตัวอย่างกิ่งพันธุ์ที่ผลิตจากแหล่งจำหน่ายกิ่งพันธุ์รายใหญ่ในจังหวัดนครปฐมนั้น แสดงให้เห็นว่าตรวจพบไส้เดือนฝอยจากแหล่งผลิตทั้งหมดทุกราย ซึ่ง30เปอร์เซนต์จาก1200ตัวอย่าง แสดงอาการโรครากปมให้เห็นชัดเจน 60เปอร์เซนต์ไม่แสดงอาการโรคแต่ตรวจพบไส้เดือนฝอยรากปมในดินโดยวิธีพืชกับดัก(TPM)ซึ่งเป็นวิธีตรวจสอบไส้เดือนฝอยรากปมที่มีประสิทธิภาพสูง การทดลองเพื่อการกำจัดไส้เดือนฝอยรากปมด้วยเชื้อราปฏิปักษ์สกุลเห็ดนางรมPleurotus ostreatus เพื่อศึกษาประสิทธิภาพการควบคุมโรครากปมในกิ่งพันธุ์ฝรั่ง ผลการทดลองปรากฏว่าก้อนเชื้อเห็ดนางรมที่หยุดเก็บดอกแล้วนั้นสามารถยับยั้งโรครากปมได้80เปอร์เซนต์ และสารกรองจากก้อนเชื้อเห็ดเข้มข้น 2 เท่ายับยั้งโรครากปมได้55เปอร์เซนต์ การศึกษากลไกการทำลายตัวอ่อนไส้เดือนฝอยโดยเชื้อรานี้แสดงให้เห็นว่าสารพิษostreatinที่สร้างจากเส้นใยP. ostreatus ทำให้ตัวอ่อนไส้เดือนฝอนเป็นอัมพาต หยุดเคลื่อนไหวและตายในเวลาต่อมาหรือตายโดยถูกเส้นใยP. ostreatus แทงเข้าในลำตัวและดูดกินเป็นอาหาร จากการสำรวจแปลงฝรั่งของเกษตรกร 23 แปลง ในเขตจังหวัดนครปฐม และสมุทรสาคร ทำให้สามารถแบ่งวัชพืชที่มีความต้านทานต่อไส้เดือนฝอยได้ ดังนี้ (1) พวกไม่เกิดรากปม (innodule) มีรากปม เท่ากับ 0 ปม ได้แก่ พวกวัชพืชตระกูลกก โสนขน ผักเป็ดดำ ต้อยติ่ง เทียนนา ผักเบี้ยหิน ไม้กวาด และหญ้าตีนนก (2) พวกต้านทาน (resistance) มีรากปม เท่ากับ 1-2 ปม ไม่มีวัชพืชกลุ่มนี้ในการสำรวจ (3) พวกต้านทานปานกลาง (moderate resistance) มีรากปม เท่ากับ 3-10 ปม ได้แก่ ครอบจักวาล น้ำนมราชสีห์ใหญ่ และหญ้านกสีชมพู (4) พวกอ่อนแอปานกลาง (moderate susceptible) มีรากปม เท่ากับ 11-30 ปม ได้แก่ กระเพราผี กะเม็ง ผักบุ้ง และลิ้นงู (5) พวกอ่อนแอ (susceptible) มีรากปม เท่ากับ 31-100 ปม ไม่มีวัชพืชกลุ่มนี้ในการสำรวจ และ (6) พวกพืชอาศัย (host susceptible) มีรากปม มากกว่า 100 ปม ได้แก่ โทงเทง ผักยาง และผักละออง หลังจากนั้นนำมาทดสอบในโรงเรือน โดยประเมินผลประกอบด้วย จำนวนไส้เดือนฝอยในดินบริเวณรากพืช เปอร์เซ็นต์การเกิดรากปม และลักษณะการเจริญเติบโตของไส้เดือนฝอยพบว่า วัชพืชที่มีผลต่อการอยู่รอดของไส้เดือนฝอยทำให้เปอร์เซ็นต์การเกิดรากปมในมะเขือเทศลดลง ได้แก่ ปอเทือง หญ้าตีนนก และหญ้าตีนกา ส่วนวัชพืชที่เป็นพืชอาศัยที่ดีสำหรับไส้เดือนฝอยได้แก่ ครอบจักรวาล และหญ้านกสีชมพู ในการศึกษาประสิทธิภาพของส่วนสกัดจากวัชพืชในการยับยั้งไส้เดือนฝอยรากปม โดยใช้ตัวทำละลาย 2 ชนิด คือ Ethanol และ Hexane นำมาทดสอบกับตัวอ่อนไส้เดือนฝอยรากปมในระยะที่ 2 ที่ความเข้มข้นของส่วนสกัด 1,000 ppm เพื่อประเมินประสิทธิภาพของวัชพืชหรือพืชที่ให้ผลการยับยั้งสูงสุด ที่ระยะเวลาในการทดสอบ 8 24 และ 48 ชั่วโมง ผลการทดลอง พบว่า พืช 3 ชนิด ได้แก่ แมงลักคา ใบครอบจักรวาล และน้ำนมราชสีห์ มีประสิทธิภาพในการยับยั้งไส้เดือนฝอยรากปมสูงกว่าพืชชนิดอื่น และเมื่อนำส่วนสกัดของพืชทั้ง 3 ชนิดนี้มาทดสอบที่ความเข้มข้น 100 200 500 1,000 และ 2,000 ppm ตามลำดับ โดยตรวจสอบผลการยับยั้งที่เวลา 4 24 และ 48 ชั่วโมง พบว่า เมื่อความเข้มข้นสูงขึ้นทำให้อัตราการตายของไส้เดือนฝอยรากปมเพิ่มขึ้น โดยเมื่อเปรียบเทียบที่ระยะเวลาและความเข้มข้นเดียวกัน พบว่า ส่วนสกัดใบครอบจักรวาลมีผลยับยั้งไส้เดือนฝอยรากปมดีที่สุด โดยทำให้ปริมาณการตายของไส้เดือนฝอยรากปมเท่ากับ 43.05% 62.73% และ 75.74% ตามลำดับ ที่ความเข้มข้นของส่วนสกัด 500 1,000 และ2,000 ppm ที่ระยะเวลาทดสอบ 48 ชั่วโมง จากการทดสอบประสิทธิภาพในการยับยั้งไส้เดือนฝอยของน้ำมันหอมระเหยจากต้นแมงลักคา โดยทดสอบที่ระยะเวลา 4, 6, 8, 24 และ 48 ชั่วโมง พบว่า น้ำมันหอมระเหยจากต้นแมงลักคาซึ่งประกอบด้วยสารสำคัญประเภท monoterpene และมีสารหลักคือ 1,8-Cineole และ ?-Pinene ไม่มีผลยับยั้งไส้เดือนฝอยที่ใช้ทดสอบ และจากการทดสอบประสิทธิภาพของส่วนสกัดเอทานอลของน้ำนมราชสีห์ ที่ระดับความเข้มข้น 2,000 และ 1,000 ppm สามารถลดจำนวนปมและจำนวนกลุ่มไข่ของไส้เดือนฝอยรากปม Meloidgyne spp. ที่อยู่ในส่วนรากต้นมะเขือเทศที่ปลูกภายใต้สภาพโรงเรือนได้จากการทดสอบประสิทธิภาพของส่วนสกัดเอทานอลของใบครอบจักรวาลในการยับยั้งการเกิดปมและกลุ่มไข่ในต้นกล้าฝรั่งพันธุ์ที่ทนทานต่อการเข้าทำลายของไส้เดือนฝอยพบว่าผลการทดลองยังต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเนื่องจากต้นกล้าที่ใช้ทดสอบเป็นพันธุ์ที่ทนทานต่อไส้เดือนฝอยจึงมีจำนวนปมและกลุ่มไข่น้อยมากการวิจัยนี้เป็นการศึกษาสภาวะที่เหมาะสมต่อการผลิตสารออกฤทธิ์จากเส้นใยเห็ดตับเต่าพบว่า การเลี้ยงเชื้อแบบเขย่าและไม่เขย่าไม่มีผลต่อการเติบโตและการผลิตสารออกฤทธิ์ของเชื้อเห็ดดังกล่าว ส่วนแหล่งไนโตรเจน และ pH ที่เหมาะสมต่อการผลิตสารออกฤทธิ์ คือ เปปโทน ยีสต์สกัด และ pH 8 จากการวิเคราะห์สารสกัดหยาบด้วยวิธีโครมาโทกราฟีแบบแผ่นเคลือบ (Thin Layer Chromatography, TLC) พบว่าสารสกัดหยาบจากการเลี้ยงที่สภาวะต่างๆ มีแนวโน้มผลิตสารเหมือนกัน นอกจากนี้ยังพบว่าการทดสอบหากลุ่มสารออกฤทธิ์ประกอบด้วยสารซาโปนิน สารประกอบฟีนอลิก และ สารแทนนิน โดยมีปริมาณฟีนอลิกทั้งหมด 966.3 มก/ลิตร แยกกลุ่มสารจากสารสกัดหยาบโดยวิธีโครมาโทกราฟี ได้แก่ คอลัมน์โครมาโทกราฟี การสกัดด้วยตัวดูดซับของแข็ง preparative TLC และโครมาโทกราฟีของเหลวสมรรถนะสูง การพิสูจน์เอกลักษณ์ของสารออกฤทธิ์โดยวิธีสเปกโทสโกปิก พบว่าเป็นอนุพันธ์ของสารคูมาริน การศึกษาประสิทธิภาพของสารกรองจากเส้นใยเห็ดตับเต่าในการควบคุมไส้เดือนฝอยรากปมของต้นกล้าฝรั่ง ‘แป้นสีทอง’ ในโรงเรือนเพาะชำ พบว่า สารกรองจากเส้นใยเห็ดตับเต่าทุกความเข้มข้น (20 40 และ 60%) มีแนวโน้มลดจำนวนปม และกลุ่มไข่ของไส้เดือนฝอยรากปมไอโซเลทกำแพงแสนของต้นกล้าฝรั่งดังกล่าว อายุ 45 วัน หลังใส่ตัวอ่อนระยะที่ 2 ของไส้เดือนฝอยและรดสารกรองได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยการรดสารกรองเส้นใยเห็ดดังกล่าวความเข้มข้นสูงขึ้นมีแนวโน้มทำให้จำนวนปม และจำนวนกลุ่มไข่ลดลง ยกเว้นที่ความเข้มข้น 90% นอกจากนี้จำนวนครั้งในการรดสารกรองดังกล่าว ไม่มีผลต่อการควบคุมการเกิดโรครากปมของต้นกล้าฝรั่งดังกล่าว โดยค่าเฉลี่ยของจำนวนปม และจำนวนกลุ่มไข่ของไส้เดือนฝอยรากปมไอโซเลทเพชรบุรีไม่แตกต่างกันทางสถิติ และการรดสารกรองดังกล่าวตั้งแต่ 8 ครั้งขึ้นไป มีแนวโน้มทำให้จำนวนปมเฉลี่ยลดลง สารกรองจากเส้นใยเห็ดตับเต่าและเส้นใยเห็ดนางรมฮังการีไอโซเลท PO3 สามารถลดจำนวนปมของไส้เดือนฝอยรากปมไอโซเลทเพชรบุรีของต้นกล้าฝรั่งดังกล่าว ได้ 24.36% และ 14.99% ตามลำดับ เมื่อเปรียบเทียบกับชุดควบคุม การศึกษาประสิทธิภาพของสารกรองจากเส้นใยเห็ดตับเต่าและหัวเชื้อเห็ดตับเต่าในการควบคุมไส้-เดือนฝอยรากปมของกิ่งตอนฝรั่ง ‘แป้นสีทอง’ ในสภาพแปลงปลูก พบว่าสารกรองจากเส้นใยเห็ดตับเต่าทุกความเข้มข้น (30 60 และ 90%) และการใส่หัวเชื้อเห็ดตับเต่าและหัวเชื้อเห็ดนางรมฮังการีไอโซเลท PO3 ไม่มีผลต่อการควบคุมไส้เดือนฝอยรากปมไอโซเลทเพชรบุรีของกิ่งตอนฝรั่งดังกล่าว โดยการเป็นโรคอยู่ในระดับ 5 และจำนวนปม มากกว่า 75% การผลิตฝรั่งทั่วประเทศไทยกำลังประสบปัญหาโรครากปมเนื่องจากไส้เดือนฝอยรากปมในระดับที่รุนแรงมาก การใช้พันธุ์ทนทานเป็นวิธีการที่ดีที่สุดในการปัองกันและกำจัดไส้เดือนฝอยรากปม ดังนั้นการทดลองนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อทราบบทบาทและการทำงานของยีนและความสามารถในการถ่ายทอดลักษณะทนทานต่อไส้เดือนฝอยในฝรั่ง โดยนำฝรั่ง 8 พันธุ์ ประกอบด้วยกลุ่มพันธุ์ที่ทนทานต่อไส้เดือนฝอยรากปม 4 พันธุ์ คือ "XaLi" HORT-R1 "ไต้หวัน" และ "อินเดีย" และกลุ่มอ่อนแอต่อไส้เดือยฝอยรากปม ประกอบด้วย "Alla Habad Safeda" "ไทย" "กลมสาลี่" และ "Beaumont" มาผสมพันธุ์แบบพบกันหมด (diallel cross) ได้ลูกผสมจำนวน 36 คู่ ประกอบด้วย ลูกผสมตัวเองและลูกผสมตรง เมื่อต้นลูกผสมอายุประมาณ 11 เดือน จึงนำมาทดสอบความสามารถของลักษณะทนทานต่อไส้เดือนฝอยรากปม โดยทดสอบกับไส้เดือนฝอยรากปม Meloidogyne incognita ไอโซเลท "Nakhon Pathom" และ "Phetchaburi" จำนวน 400 ตัว เป็นระยะเวลา 60 วัน โดยวางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ บันทึกลักษณะความทนทานจากปริมาณปมและกลุ่มไข่ในระบบราก นำผลลัพธ์มาวิเคราะห์ความแปรปรวนทางสถิติและผลทางพันธุกรรม พบว่า ลักษณะทนทานต่อไส้เดือนฝอยของฝรั่งมีความแปรปรวนอย่างต่อเนื่อง แสดงว่า ลักษณะนี้เป็นลักษณะพันธุกรรมทางปริมาณ จากการวิเคราะห์สมรรถนะการรวมตัวพบปฎิกิริยาการทำงานของยีนแบบบวกสะสม (GCA) และแบบบวกไม่สะสม (SCA) มีบทบาทต่อการแสดงออกของลักษณะทนทานต่อไส้เดือนฝอย โดยอิทธิพลของยีนแบบบวกสะสมมีความสำคัญมากว่า เนื่องจากมีอัตราส่วนระหว่าง GCA:SCA เป็น 3.9 : 1 และมีอัตรา 4 : 1 สำหรับปริมาณกลุ่มไข่ จากการประเมินค่าอัตราพันธุกรรมแบบแคบ พบว่า ลักษณะทนทานการเดินปมมีค่าอัตราพันธุกรรมปานกลาง (h2 = 0.63) และมีค่าสูงในลักษณะทนทานการเกิดกลุ่มไข่ (h2 = 0.84) จากการศึกษาครั้งนี้ พบว่าพันธุ์ที่ควรนำไปใช้ในการปรับปรุงพันธุ์เพื่อสร้างพันธุ์ใหม่ที่ทนทานต่อไส้เดือนฝอยรากปม คือ HORT-R1 และ "XaLi" เนื่องจากมีค่าเฉลี่ยของจำนวนปมและกลุ่มไข่น้อยที่สุด และให้ค่า GCA ของความสามารถในการทนทานต่อไส้เดือยฝอยรากปมดีที่สุดจากการศึกษาวิธีการขยายพันธุ์ฝรั่งด้วยการติดตาแบบชิป การทาบกิ่ง การเสียบกิ่งแบบลิ่ม แบบเสียบข้าง และแบบเสียบเปลือก พบว่า การทาบกิ่งประสบความสำเร็จสูงที่สุด (100%) ลองลงมาได้แก่วิธีเสียบข้างและเสียบเปลือกประสบความสำเร็จเท่ากันที่ 20% ในขณะที่การเสียบกิ่งแบบลิ่มและการติดตาแบบชิปไม่ประความสำเร็จในการขยายพันธุ์ฝรั่ง (0%) ต้นตอทนทานไส้เดือนฝอยรากปมทั้ง 5 พันธุ์ ได้แก่ ‘HORT-R1’ ‘India’ ‘Taiwan’ ‘Tonte Klom’ และ ‘Thai 1’ ไม่มีผลทำให้การเจริญเติบโตทางกิ่งใบ การออกดอกติดผล รวมทั้งคุณภาพผลของฝรั่งรับประทานสด 3 พันธุ์ คือ ‘แป้นสีทอง’ ‘กิมจู’ และ ‘แดงอ่างขาง’ ลดลง สามารถเก็บรักษาเมล็ดฝรั่งไว้ที่อุณหภูมิ 5 องศาเซลเซียส ได้นาน 24 เดือน โดยไม่ส่งผลต่อความงอกและความเข็งแรงของต้นกล้า ดังนั้นจึงสามารถนำต้นตอทนทานไส้เดือนฝอยทั้ง 5 พันธุ์มาใช้ผลิตฝรั่งพันธุ์ดีทั้ง 3 พันธุ์ในเชิงการค้าได้
บทคัดย่อ (EN): The hypothesis of this research is guava planting material produced on the area in central plain of Thailand have root-knot nematodes at high degree. For 1200 samples from all of important commercial nursery of Nakornpathom province were randomly detected for root-knot nematodes. The results revealed that the nematodes were detected in every nursery in which the samples percentage, 30 percents, showed root-knot symptom. Sixty percents had no symptom but the nematodes were detected by higher sensitivity technique, TRAP PLANT METHOD (TPM). The experiment on controlling root-knot nematodes by antagonistic fungi, Pleurotus ostreatus, was to investigate the efficacy against root-knot disease in guava planting material. The results showed that the inhibition percentage of root-knot disease was 80 percents in spent mushroom, P. ostreatus , treatment and 55 percents in P. ostreatus concentrated filtrate (2N) treatment. The mechanisn of action of P. ostreatus was studied that the nematotoxin , ostreatin, from mycelium paralyzed the nematodes mobility. The juveniles were immobilized and dead or P. ostreatus infect through the body and ingest inner liquid body as their food. We conducted field surveys for studying weed tolerance to infestation of Meloidgyne spp. in 23 guava orchards in Nakhon Pathom and Samut Sakorn provinces in Thailand. We classified nematode-tolerant weeds into viz., (1) highly resistance (Alternanthera sessilis, Ruellia tuberose, Ludwigia hyssopifola, Trianthema portulacastrum, Sida acuta and Digitaria ciliaris), (2) resistance group (no plants in this group), (3) moderately resistance (Abutilon hirtum, Euphobia hirta and Echinochloa colana), (4) moderately susceptible (Hyptis suaveolens, Eclipta prostrateI, Ipomoea aquatic and Hedyotis corymbosa), (5) susceptible group (no plants in this group), and (6) host susceptible group (Physalis minima, Euphorbia geniculata and Vernomia cinerea). Resistance evaluation based on number of nematode in root zone, percentage of root-knot, and fecundity under greenhouse condition revealed that Crotalaria juncea, Digitaria ciliaris and Eleusine indica survival of Meloidgyne spp and that Abutilon hirtum and Echinochloa colana were the best host for nematode. Additionally, the efficacy of the extracts from some plant and weeds on second stage juveniles (J2) of Meloidogyne spp. were determined. The nematicidal activity of hexane and ethanol plant extracts at the concentration of 1,000 ppm against root-knot nematode in vitro was evaluated at 8, 24 and 48 hours. The results showed that ethanol extracts of Hyptis suaveolens leaves, Abutilon hirtum leaves and whole-plant of Euphobia hirta were effective against nematode. Various concentration, 100, 200, 500, 1,000 and 2,000 ppm, of these crude effective extracts were tested for inhibitory activity. The root-knot nematode mortality rate increased with concentration of the extracts and the test period. Nematicidal tests revealed that the leaves extract of Abutilon hirtum was the most effective against meloidogyne spp. J2s with 43.05%, 62.73% and 75.74 % mortality, respectively, at 500, 1,000 and 2,000 ppm after 48 hours of exposure. The efficacy of the essential oil from Hyptis suaveolens on second stage juveniles (J2) of Meloidogyne spp. was also study. The nematicidal activity was evaluated at 4, 6, 8, 24 and 48 hours and the essential oil from Hyptis suaveolens which consist of monoterpene with 1,8-Cineole and ?-Pinene as main constituents was inactive against nematodes. In the present study, ethanol extracts of Euphobia hirta at the concentration of 1,000 and 2,000 ppm has shown a significant suppression of root-knot numbers and fecundity of nematode in tomato roots under greenhouse conditions. The inhibitory activity on root-knot numbers and fecundity of nematode in guava seedling roots need further study that used susceptible guava seedling for investigation because the nematode tolerance guava seedling used in this study contain the low number of root-knot and fecundity of nematode. In this research, the effects of optimal conditions on the production of bioactive compounds from king bolete mushroom mycelia were studied. The results showed that the shaken-flask and non shaken-flask cultures had no effect on mycelial growth and metabolite production. The optimal nitrogen sources and pH for bioactive compound production were peptone, yeast extract, and pH 8. From thin layer chromatography (TLC) analysis of crude extract, it was found that the extracts from different culture conditions tended to produce same bioactive compounds. Moreover, phytochemical screening indicated that the chemical constituents in the extracts were saponin, phenolic compound, and tannin. The total phenolic compound was 966.3 mg/liter. The crude extracts were separated by chromatographic methods such as column chromatography, solid phase extraction, preparative TLC and HPLC, and the active fraction was further indentified by spectroscopic methods. The results showed that it was cumarin derivatives. Efficacy of the filtrate from king bolete mushroom mycelia in controlling root-knot nematode of quava ‘Pansithong’ in the greenhouse was studied. The results showed that every concentration of the filtrate tended to significantly reduce root galls and egg mass of 45 days guava seedlings after inoculating with 2nd stage of root-knot nematode isolate Kamphaeng Saen, and applying the filtrate. The increased application of this filtrate tended to reduce root galls and egg mass, except at the concentration of 90%. Moreover, the numbers of this filtrate application had no effect on controlling root-knot disease of those guava seedlings. The average of root galls and egg mass of root-knot nematodes isolate Phetchaburi was not significantly different, but the application of this filtrate more than 8 times tended to reduce the average of root galls. In addition, the filtrate from the bolete mushroom and oyster mushroom isolate PO3 mycelia could decrease the root galls of root-knot nematode isolate Phetchaburi about 24.36% and 14.99%, respectively, compared to the control. The efficiency of bolete mycelia filtrate and bolete spawn for controlling root-knot nematode of guava ‘Pansithong’ air-layerings in the field was studied. The results showed that every concentration of the filtrate from bolete mycelia (30 60 and 90%), and the application of bolete mushroom spawn and oyster mushroom spawn isolate PO3 had no effect on controlling root-knot nematode isolate Phetchaburi of those air-layerings, with disease level 5, and the gall number was more than 75%. The most serious problem for the guava production in Thailand is the root-knot nematode (Meloidogyne incognita). Tolerant rootstock is the most efficient practice to prevent infection. The objectives were to detemine the mode of gene action and inheritance of root-knot nematode tolerant trait in guava. Four root-knot nematode tolerant varieties: "XaLi", HORT-R1, "Taiwan" and "India" and four susceptible varieties: "Alla Habad Safeda", "Thai", "Klom Salee" and "Beaumont" were used in a diallele cross. Thirty six crosses resulted from selfing and crossing were generated. Seedlings were raised in 6-inch sized plot for 11 months, then were inoculated with 400 J2 of "Nakhon Pathom" and "Phetchaburi" isolate. The experiment was a comletely randomized design. After 60 days, a number of gall and egg mass in root system was recorded as root-knot traits. The data was analyzed using the Method II model I by Griffing and narrow-sense heritability was estimated using the mid-parent and offspring regression analysis. The results showed that root-knot traits had continuous variation indicating their quantitative nature. The general combining ability (GCA) played much greater role than that of specifie combining ability (SCA) where the ratio of GCA to SCA is 3.9 : 1 for gall and 4 : 1 for egg. The heritability was moderate for gall (h2 = 0.63) and was high for egg (h2 = 0.84). The resulted indicated that the promising parents for further breeding was HORT-R1 and "XaLi" because they showed lowest number of gall and egg mass. In addition, they possess highest GCA. Five different propagation methods (chip budding, inarching, cleft, side veneer, and bark grafting) were compared. The results indicated that inarching method had the highest success rate (100%) followed by side veneer and bark grafting with 20% success rate. The chip budding and cleft grafting method had 0% success rate. All 5 nematode tolerant rootstocks (‘HORT-R1’ ‘India’ ‘Taiwan’ ‘Tonte Klom’ and ‘Thai 1’) had no negative effects on growth, productivity and fruit quality of 3 dessert-type cultivars (‘Paen Seethong’, ‘Kimjoo’ and ‘Daeng AngKhang’). Keeping guava seeds at 5 C until 24 months had no effects on germination and seedling vigor. The results indicated that using the 5 rootstocks for multiply the 3 cultivars for commercial production is practical.
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เผยแพร่โดย: มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
คำสำคัญ: การปรับปรุงพันธุ์
เจ้าของลิขสิทธิ์: สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
โรครากปมจากไส้เดือนฝอยในพื้นที่ปลูกฝรั่งเขตภาคกลาง
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
30 กันยายน 2553
โครงการวิจัยการปรับปรุงพันธุ์เกาลัดจีน พีช และมะเดื่อฝรั่งเพื่อการปลูกในพื้นที่สูง การศึกษาพื้นที่ปลูกที่เหมาะสมต่อการผลิตมะเขือเทศเข้าสู่โรงงานหลวงอาหารสำเร็จรูปที่ 3 (เต่างอย) ในรุ่นที่ 1 และรุ่นที่ 2 การเพิ่มผลผลิตข้าวภาคกลางจากการจัดเขตศักยภาพของพื้นที่ การใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าไม้ในการปลูกยางพาราในเขตพื้นที่จังหวัดเลย อิทธิพลของสมบัติของดินที่มีผลต่อการแพร่ระบาดของไส้เดือนฝอย การจัดการดินเปรี้ยวเพื่อปลูกข้าวในพื้นที่เขตเกษตรน้ำฝน และเขตชลประทาน จังหวัดสุราษฎร์ธานี การควบคุมไส้เดือนฝอยรากปม (Meloidogyne incognita) ของฝรั่งด้วยสารสกัดจากเชื้อรา เอคโตไมคอร์ไรซาบางชนิด การถ่ายทอดทางพันธุกรรมของลักษณะทนทานต่อไส้เดือนฝอยรากปมในฝรั่ง การศึกษาศักยภาพการผลิต และความเหมาะสมของพื้นที่ในการปลูกมะม่วงมหาชนก ในเขตพื้นที่จังหวัดมหาสารคามและกาฬสินธุ์ การใช้เทคโนโลยีการปลูกกล้วยไข่ของเกษตรกรในเขตพื้นที่จังหวัดกำแพงเพชร
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก