สืบค้นงานวิจัย
การใช้สูตรน้ำมันหอมระเหยจากจันทร์แปดกลีบ เทียนข้าวเปลือก และตะไคร้บ้าน ร่วมกับน้ำมันปิโตรเลียม ในการควบคุมเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลในสภาพแปลง
จรงค์ศักดิ์ พุมนวน - สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
ชื่อเรื่อง: การใช้สูตรน้ำมันหอมระเหยจากจันทร์แปดกลีบ เทียนข้าวเปลือก และตะไคร้บ้าน ร่วมกับน้ำมันปิโตรเลียม ในการควบคุมเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลในสภาพแปลง
ชื่อเรื่อง (EN): The Application of Star Anise, Dill and Lemon Grass Essential oil Formulas Incorporated with Petroleum Oil to Control Brown Planthopper in Field Condition
ผู้แต่ง / หัวหน้าโครงการ: จรงค์ศักดิ์ พุมนวน
บทคัดย่อ: จากทดสอบประสิทธิภาพของสูตรน้ำมันหอมระเหยจากพืชจำนวน 10 สูตร ในการฆ่าตัวเต็มวัยเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล (Nilaparvata lugens) โดยใช้ร่วมกับน้ำมันปิโตรเลียม ได้แก่ สูตร I4A0, I3A1, I2A2, I1A3 I0A4 (อัตรา I : A เท่ากับ 4:0, 3:1, 2:2, 1:3 และ 0:4 ตามลำดับ) และสูตร I4C0, I3C1, I2C2, I1C3 และ I0C4 (อัตรา I : C เท่ากับ 4:0, 3:1, 2:2, 1:3 และ 0:4 ตามลำดับ) ความเข้มข้น 1% ที่ใช้ร่วมกับน้ำมันปิโตรเลียมอัตรา (I: น้ำมันหอมระเหยจากจันทร์แปดกลีบ (Illicium verum), A: เทียนข้าวเปลือก (Anethum graveolens), C: ตะไคร้บ้าน (Cymbopogon citratus)) เปรียบเทียบกับชุดควบคุม (น้ำมันปิโตรเลียม (SunSoil?) อัตราคำแนะนำ โดยวิธีการสัมผัสตายและวิธีการฉีดพ่นโดยตรง ในห้องปฏิบัติการ พบว่าสูตรน้ำมันหอมระเหยจากพืช ที่มีส่วนผสมของน้ำมันหอมระเหยจากจันทร์แปดกลีบและตะไคร้บ้าน มีประสิทธิภาพในการฆ่าตัวเต็มวัยของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลได้มากกว่า 80% ที่ 12 ชั่วโมง ซึ่งมีประสิทธิภาพในการฆ่าตัวเต็มวัยของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลสูงกว่าสูตรน้ำมันหอมระเหยจากพืช ที่มีส่วนผสมของน้ำมันหอมระเหยจากจันทร์แปดกลีบและเทียนข้าวเปลือก เมื่อนำสูตร I4C0, I3C1, I2C2, I1C3 และ I0C4 ที่ความเข้มข้น 1% นำมาศึกษาประสิทธิภาพในการควบคุมเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลโดยวิธีการฉีดพ่นโดยตรง ในสภาพโรงเรือน เปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม สารฆ่าแมลง (imidacloprid) และน้ำมันปิโตรเลียม ตามอัตราคำแนะนำ พบว่า I2C2 และ I1C3 สามารถฆ่าตัวเต็มวัยของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลสภาพโรงเรือนได้มากกว่า 75% เมื่อเทียบกับปริมาณเพลี้ยก่อนทำการฉีดพ่น ขณะที่กลุ่มควบคุมและกลุ่มที่ฉีดพ่นน้ำมันปิโตรเลียมเพียงอย่างเดียว ให้ผลการทดสอบที่ไม่แตกต่างกัน ขณะที่สูตร I1C3 มีประสิทธิภาพการไล่สูงกว่าสูตร I2C2 และ สารฆ่าแมลง ตามลำดับ เมื่อนำสูตร I2C2 และ I1C3 ที่ความเข้มข้น 1% นำมาศึกษาประสิทธิภาพในป้องกันกำจัดเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลในสภาพแปลง แล้วสุ่มนับเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล และแมลงศัตรูข้าวชนิดอื่น รวมทั้งศัตรูธรรมชาติ ก่อนและหลังการทดสอบ ในแปลงทดสอบของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม พบว่าสูตรน้ำมันหอมระเหยจากพืช I2C2 และ I1C3 และสารฆ่าแมลงมีประสิทธิภาพในการฆ่าเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลในสภาพแปลงได้ไม่แตกต่างกัน คือสามารถลดประชากรเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลลงได้จนเหลือต่ำกว่า 5% ภายใน 2 วันหลังจากการทดสอบ ขณะที่กลุ่มควบคุมยังพบปริมาณเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลมากกว่า 30% เมื่อเทียบกับก่อนการทดสอบ จากการศึกษาแมลงศัตรูข้าวชนิดอื่น รวมทั้งแมลงศัตรูธรรมชาติ ในแปลงทดสอบ โดยวิธีการโฉบด้วยสวิง 20 ครั้ง (ไป-กลับ) พบ ด้วงเต่า (Micraspis discolor), เพลี้ยจั๊กจั่นสีเขียว (Nephotettix virescens) และ เพลี้ยจั๊กจั่นปีกลายหยัก (Recilia dorsalis) โดยปริมาณการลดลงอย่างมากของของแมลงศัตรูพืช หลังจากฉีดพ่นด้วยสูตรสมุนไพร I2C2 และสารฆ่าแมลง ขณะที่ในแปลงทดลองตรวจพบศัตรูธรรมชาติหลายชนิด ได้แก่ แมลงวันก้นขน (Argyrophylax nigrotibialis), มวนดูดไข่ (Tytthus chinensis), มวนเขียวดูดไข่ (Cyrtorhinus lividipennis), ด้วงก้นกระดก (Paederus fuscipes), ด้วงดิน (Ophionea ishii) และแมงมุม (Lycosa pseudoannulata, Oxyopes linestipes และ Argiope sp.) โดยปริมาณ ด้วงก้นกระดก ด้วงดิน และแมงมุม พบปริมาณที่สูงขึ้นที่หลังการทดสอบด้วยสารทดสอบทุกชนิดไม่แตกต่างกับกลุ่มควบคุม ขณะที่แมลงวันก้นขน และมวนดูดไข่ พบปริมาณที่ลดลง ไม่แตกต่างกันในทุกการทดลอง คำสำคัญ: เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล น้ำมันหอมระเหยจากพืช ข้าว ยาฆ่าแมลง น้ำมันปิโตรเลียม
บทคัดย่อ (EN): The examination of 10 plant essential oil (EO) formulas, the mixtures between Illicium verum (I) and Anethum graveolens (A) EOs at different ratios (4:0, 3:1, 2:2, 1:3 and 0:4 referred as I4A0, I3A1, I2A2, I1A3 and I0A4, respectively) and mixtures between Illicium verum (I) and Cymbopogon citratus (C) EOs at different ratios (4:0, 3:1, 2:2, 1:3 and 0:4 referred as I4C0, I3C1, I2C2, I1C3 and I0C4, respectively) at 1.0% incorporated with petroleum oil to control brown planthopper (Nilaparvata lugens: BP) was performed in laboratory condition by contact and direct spray methods. The result found that the mixtures between I and C EO formulas were highly toxic against BP (>80% at 12 hrs) better than that of the mixtures between I and A EO formulas The direct spray method of using I4C0, I3C1, I2C2, I1C3 and I0C4 EO formulas at 1% against BP were conducted. The results showed that the I2C2 and I1C3 EO formulas killed more than 75% BP when compared to the initial experiment. In addition, the control (water) group resulted with no significant difference when compared to the petroleum oil treated alone. In the repellent test, the results showed that the I1C3 EO formula gave high repellence more than that of I2C2 EO formula and insecticide groups, respectively. The I2C2 and I1C3 EO formulas at 1.0% were tested to control BP in field experiments. The counts of BP, other rice insect pests and natural enemies were observed before and after treatments in the field of Suwanvajokkasikit Animal R&D Institute, Kasetsart University, Kamphaeng Saen Campus, Nakhon Pathom province. In general, I2C2 and I1C3 EO formulas and insecticide showed the highest effectiveness against BP with no significant difference. The BP greatly reduced lower 5% in 2 days after treated with EO formulas, whereas, the BP populations still remained more than 30 after treated with water (control group). The study of other rice insect pests and natural enemies in field experiments based on simple random sampling method using sweeping net at 20 times/sampling spot. All insect pests and natural enemies were identified. The insect pests were Micraspis discolor, Nephotettix virescens and Recilia dorsalis. Those insect pests greatly reduced after treated with I2C2 EO formula and insecticides. The natural enemies found that Argyrophylax nigrotibialis, Tytthus chinensis, Cyrtorhinus lividipennis, Paederus fuscipes, Ophionea ishii and spiders (Lycosa pseudoannulata, Oxyopes linestipes and Argiope sp.) were found. The P. fuscipes, O. ishii and spiders tended to increase after treatment in all experiments with no significant difference when compared to the control. Besides, A. nigrotibialis, T. chinensis and C. lividipennis tended to reduce after treatment in all experiments with no significant difference when compared to the control. KEY WORDS: Nilaparvata lugens (St?l)), essential oil, rice, insecticide, petroleum oil
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เผยแพร่โดย: สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
คำสำคัญ: น้ำมันปิโตรเลียม
คำสำคัญ (EN): petroleum oil
เจ้าของลิขสิทธิ์: สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
การใช้สูตรน้ำมันหอมระเหยจากจันทร์แปดกลีบ เทียนข้าวเปลือก และตะไคร้บ้าน ร่วมกับน้ำมันปิโตรเลียม ในการควบคุมเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลในสภาพแปลง
สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
2559
รายงานการวิจัยเครื่องกลั่นน้ำมันหอมระเหยขนาดเล็กโดยใช้ท่อความร้อนในการควบแน่นน้ำมันหอมระเหย น้ำมันหอมระเหยจากดอกกันเกรา การควบคุมไรกินเชื้อรา Tyrophagus sp. โดยใช้น้ำมันหอมระเหยจากพืช เครื่องกลั่นน้ำมันหอมระเหยจากพืชสมุนไพรโดยใช้พลังงานชีวมวลสำหรับชุมชน รายงานการวิจัย เรื่องน้ำมันหอมระเหยจากได้ดอกหอม 3 ชนิดในประเทศไทย การออกแบบและสร้างเครื่องกลั่นน้ำมันหอมระเหยจากผิวมะกรูด การศึกษาเปรียบเทียบสมบัติของน้ำมันเตากับน้ำมันจากต้นยางนา รายงานการวิจัยเรื่องฤทธิ์ทางชีวภาพและน้ำมันหอมระเหยจากต้นกะลา การศึกษาสารยับยั้งแบคทีเรียบริเวณใต้วงแขนด้วยน้ำมันหอมระเหยจากพืชสมุนไพร การศึกษาหาสภาวะที่เหมาะสมในการสกัดน้ำมันหอมระเหยจากไพลโดยการกลั่นด้วยน้ำและไอน้ำ
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก