สืบค้นงานวิจัย
คุณภาพแหล่งประมงบริเวณชายฝั่งจังหวัดสงขลา
สมชาย วิบุญพันธ์ - กรมประมง
ชื่อเรื่อง: คุณภาพแหล่งประมงบริเวณชายฝั่งจังหวัดสงขลา
ชื่อเรื่อง (EN): The Fishing Ground Quality along the Coastal of Songkhla province
ผู้แต่ง / หัวหน้าโครงการ: สมชาย วิบุญพันธ์
ผู้แต่ง / หัวหน้าโครงการ (EN): Somchai Vibunpant
บทคัดย่อ: ปัจจุบันปัญหาการปนเปื้อนโลหะหนักสู่ชายฝั่งทะเลเพิ่มขึ้นกว่าในอดีตมาก ทั้งนี้เนื่องมาจากทะเลเป็นแหล่งสุดท้ายที่ของเสียจากแหล่งต่างๆ ซึ่งถูกพัดพาไหลลงมารวมกัน เกิดเป็นมลพิษทางทะเล น้ำทะเลเสื่อมคุณภาพ สร้างความเสียหายต่อพืช สัตว์น้ำที่อาศัยอยู่ในทะเล และบริเวณชายฝั่ง อันตรายหรือความเสียหายที่เกิดขึ้นสุดท้ายก็ส่งผลย้อนกลับมายังมนุษย์ในด้านต่างๆ โลหะหนักที่พบในสัตว์น้ำมาจากแหล่งใหญ่ 2 แหล่ง คือ จากแหล่งธรรมชาติ และมาจากการกระทำของมนุษย์ แหล่งที่มาจากธรรมชาตินั้น เกิดจากการกัดเซาะ การชะล้างพังทลายของเปลือกโลกที่มีแร่ธาตุโลหะหนักปนอยู่ ซึ่งโดยทั่วไปธรรมชาติจะปรับตัวของธาตุต่างๆ ให้อยู่ในสภาวะที่สมดุล ส่วนที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์มาจากการนำโลหะหนักมาใช้ประโยชน์ทางอุตสาหกรรม และปล่อยทิ้งในส่วนที่ไม่ต้องการให้ปนเปื้อนลงสู่สิ่งแวดล้อมเกินความสมดุลทางธรรมชาติ (Elder, 1988) เช่น การทำเหมืองแร่ การทิ้งของเสียจากชุมชน โรงงานอุตสาหกรรมปิโตรเคมี แหล่งเกษตรกรรมที่มีการใช้สารเคมีภัณฑ์ต่างๆ กิจกรรมทางด้านโลหะ และกิจกรรมอื่นๆ (ภาพที่ 1) ถึงแม้ว่าโลหะหนักจะมีประโยชน์มากก็ตามแต่ก็มีโทษมหาศาล ซึ่งถือว่าเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะมนุษย์ และสัตว์ต่างๆ ทั้งนี้เนื่องจากโลหะหนักเป็นสารที่คงตัวไม่สามารถสลายตัวได้โดยกระบวนการธรรมชาติ เป็นสารพิษที่ตกค้างยาวนานในสิ่งแวดล้อม บางส่วนละลายอยู่ในน้ำ ตกตะกอนสะสมอยู่ในดินพื้นท้องน้ำ และสามารถสะสมในเนื้อเยื่อของสัตว์น้ำที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้นๆ ซึ่งการสะสมดังกล่าวจะเพิ่มสูงขึ้นตามห่วงโซ่อาหาร และมาถึงมนุษย์ซึ่งเป็นผู้บริโภคในลำดับขั้นสุดท้าย ภาพที่ 1 แหล่งที่มาของโลหะหนักที่ปนเปื้อนในแหล่งน้ำหรือแหล่งประมงจากกิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์ ที่มา : http://www.Foodnetworksolution.com/wiki/word/2080/heavy-metal-% แคดเมียม ตะกั่ว ทองแดง และสังกะสี เป็นโลหะที่มีการนำมาใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรม และใช้ในชีวิตประจำวันต่างๆ มากมาย เช่น ตะกั่วในถ่านไฟฉาย แบตเตอรี่ สีทาบ้าน พลาสติก ปุ๋ยเคมี สารเคมีกำจัดศัตรูพืช ฯลฯ การนำโลหะหนักมาใช้ประโยชน์ทำให้มีโอกาสปนเปื้อนสู่แหล่งน้ำธรรมชาติหรือแหล่งประมง และสะสมในเนื้อเยื่อส่วนต่างๆ ของสัตว์น้ำ เมื่อมนุษย์นำสัตว์น้ำเหล่านั้นมาบริโภคก็จะมีโอกาสได้รับโลหะหนักเข้าไปสะสมอยู่ในร่างกาย ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้บริโภค ถ้ามีการปนเปื้อนในปริมาณสูงกว่ามาตรฐานที่กำหนด และมีการบริโภคเป็นประจำโดยเฉพาะประชาชนที่เป็นกลุ่มเสี่ยงที่อ่อนไหวต่อพิษของโลหะหนักเหล่านี้ เช่น ทารกในครรภ์ เด็ก และหญิงตั้งครรภ์ เป็นต้น (สุภาพ และคณะ, 2526) ดังที่เคยเกิดมาแล้วในประเทศญี่ปุ่น จากการบริโภคอาหารทะเลที่มีการปนเปื้อนสารปรอทในระดับสูงทำให้เกิดโรคมินามาตะ และโรคที่เกิดจากแคดเมียม พบครั้งแรกในประเทศญี่ปุ่น หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อปี พ.ศ 2489 โดยที่ผู้ป่วยมีอาการปวดกระดูก กระดูกแตกหักง่าย ขณะเดินจะรู้สึกเจ็บ จึงเรียกโรคนี้ว่า อิไตอิไต สำหรับในประเทศไทยจากเหตุการณ์ แคดเมียมปนเปื้อนในนาข้าวที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของชาวบ้านในพื้นที่มาอย่างยาวนาน กระทั่งเมื่อต้นปี 2547 สถาบันจัดการทรัพยากรน้ำนานาชาติ หรืออีมี่ (International Water Management Institute: IWMI) ร่วมกับกรมวิชาการเกษตรได้เผยแพร่ผลการวิจัยการปนเปื้อนแคดเมียมปริมาณสูงมากในพื้นที่นาข้าวของชาวบ้านลุ่มน้ำแม่ตาว และลุ่มน้ำแม่กุ กว่า 12 หมู่บ้าน ในตำบลแม่ตาว ตำบลแม่กุ และตำบลพระธาตุผาแดง อำเภอแม่สอด เรื่องดังกล่าวจึงกลายเป็นข่าวที่สร้างความตื่นตระหนกให้กับสังคมไทย เพราะไม่เพียงแต่ปรากฏสภาพอาการเจ็บป่วยที่สัมพันธ์กับพิษแคดเมียมของชาวบ้านที่นั่น แต่ข้าวที่ปลูกยังถูกส่งออกไปจำหน่ายนอกพื้นที่ปีละเป็นจำนวนมาก (ประชาไท, 2556) ในปัจจุบัน พื้นที่ในแหล่งประมงบริเวณชายฝั่งจังหวัดสงขลา มีกิจกรรมการผลิตปิโตรเลียม 2 แหล่ง คือ แหล่งสงขลา และบัวบาน ในอนาคตมีการสำรวจเพิ่มขึ้นหลายแหล่ง ชนิดของปิโตรเลียมที่นำมาใช้ประโยชน์ ได้แก่ น้ำมันดิบ และก๊าซธรรมชาติ ทำให้มีโอกาสที่จะเกิดปัญหามลภาวะจากการปนเปื้อนของโลหะหนักจากขบวนการผลิต หรือผลพลอยได้ จากการขุดเจาะหาแหล่งปิโตรเลียม ดังนั้นการศึกษาปริมาณโลหะหนักในสัตว์น้ำ และในน้ำทะเล เพื่อติดตามตรวจสอบปริมาณโลหะหนัก โดยเฉพาะในสัตว์น้ำเศรษฐกิจบางชนิดที่นิยมนำมาบริโภค หรือแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ ทำให้ทราบข้อมูลที่ชัดเจนยิ่งขึ้นว่ามีการปนเปื้อนของโลหะหนักแต่ละชนิดมากหรือน้อยเพียงใด การเลือกศึกษาข้อมูลสัตว์น้ำจากแหล่งประมงตามธรรมชาติในบริเวณพื้นที่ชายฝั่งจังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นแหล่งการทำประมงที่สำคัญแห่งหนึ่งในพื้นที่อ่าวไทยตอนล่าง จึงเป็นการสร้างความมั่นคงด้านอาหารในระดับชุมชนอันเป็นรากฐานสำคัญของการเข้าถึงอาหารที่มีคุณภาพ และปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ อีกทั้งข้อมูลที่ได้จะเป็นพื้นฐานในการศึกษาการเปลี่ยนแปลงปริมาณการปนเปื้อนโลหะหนัก โดยเฉพาะ แคดเมียม ตะกั่ว ทองแดง และสังกะสีในสัตว์น้ำ และสิ่งแวดล้อมบริเวณแหล่งประมง และยังเป็นข้อมูลที่จะใช้เป็นดัชนีบ่งชี้ถึงความสามารถในการแพร่กระจายเข้าสู่ผู้บริโภคสัตว์น้ำ ซึ่งเป็นความเสี่ยงต่อสุขภาพ และนำไปสู่การตรวจสอบถึงแหล่งกำเนิดของโลหะหนักเหล่านั้นได้ สำนักวิจัยและพัฒนาประมงทะเล โดยศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงทะเลอ่าวไทยตอนล่าง (สงขลา) ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในประเด็นดังกล่าวข้างต้น จึงได้ทำการศึกษาปริมาณโลหะหนักในสัตว์น้ำ และแหล่งประมงบริเวณพื้นที่ชายฝั่งจังหวัดสงขลา เพื่อเป็นฐานข้อมูลที่จะนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป ปริมาณโลหะหนักในสัตว์น้ำ และแหล่งประมงบริเวณนอกชายฝั่งจังหวัดสงขลา ปี 2554 ศึกษาปริมาณ แคดเมียม ตะกั่ว ทองแดง และสังกะสี ในสัตว์น้ำที่สำคัญทางเศรษฐกิจ ได้แก่กลุ่ม ปลา ปลาหมึก กุ้ง และปู จำนวน 17 ชนิด และน้ำทะเล จากแหล่งประมงบริเวณชายฝั่งจังหวัดสงขลา ปี 2554 ดังนี้ แคดเมียมที่สะสมในสัตว์น้ำมีค่าพิสัยอยู่ในช่วง 0.001-3.017 ไมโครกรัม/กรัม ค่าเฉลี่ย 0.070+0.265 ไมโครกรัม/กรัม พบว่าหมึกสายมีค่าเฉลี่ยสูงสุด 1.088+1.096 ไมโครกรัม/กรัม รองลงมาพบในปูม้า หมึกกล้วย และหมึกกระดอง มีค่าเฉลี่ย 0.311+0.466 0.097+0.087 และ 0.046+0.029 ไมโครกรัม/กรัม ตามลำดับ ในน้ำทะเลมีค่าพิสัยอยู่ในช่วง 0.012-0.117 ไมโครกรัม/ลิตร ค่าเฉลี่ย 0.032+0.026 ไมโครกรัม/ลิตร ตะกั่วที่สะสมในสัตว์น้ำมีค่าพิสัยอยู่ในช่วง 0.011-2.814 ไมโครกรัม/กรัม ค่าเฉลี่ย 0.162+0.219 ไมโครกรัม/กรัม พบว่ากุ้งตะกาด มีค่าเฉลี่ยสูงสุด 0.244+0.231 ไมโครกรัม/กรัม รองลงมาพบในปลาปากคม และปลาหลังเขียว มีค่า 0.228+0.309 และ 0.225+0.263 ไมโครกรัม/กรัม ตามลำดับ ในน้ำทะเลมีค่าพิสัยอยู่ในช่วง 0.115-3.634 ไมโครกรัม/ลิตร ค่าเฉลี่ย 0.660+0.828 ไมโครกรัม/ลิตร ทองแดงที่สะสมในสัตว์น้ำมีค่าพิสัยอยู่ในช่วง 0.194-50.309 ไมโครกรัม/กรัม ค่าเฉลี่ย 4.437+6.014 ไมโครกรัม/กรัม พบว่าหมึกสายมีค่าเฉลี่ยสูงสุด 18.994+17.627 ไมโครกรัม/กรัม รองลงมาพบในปูม้า และปลากระบอก มีค่า 10.357+4.543 และ 5.759+5.682 ไมโครกรัม/กรัม ตามลำดับ ในน้ำทะเลมีค่าพิสัยอยู่ในช่วง 0.310-20.718 ไมโครกรัม/ลิตร ค่าเฉลี่ย 1.852+3.334 ไมโครกรัม/ลิตร สังกะสี ที่สะสมในสัตว์น้ำมีค่าพิสัยอยู่ในช่วง 0.765-32.806 ไมโครกรัม/กรัม ค่าเฉลี่ย 8.760+6.180 ไมโครกรัม/กรัม พบว่าปูม้ามีค่าเฉลี่ยสูงสุด 25.785+4.181 ไมโครกรัม/กรัม รองลงมาพบในหมึกสาย และหมึกกระดอง มีค่า 16.226+6.683 และ 15.444+1.327 ไมโครกรัม/กรัม ตามลำดับ ในน้ำทะเลมีค่าพิสัยอยู่ในช่วง 0.796-7.919 ไมโครกรัม/ลิตร ค่าเฉลี่ย 2.380+1.386 ไมโครกรัม/ลิตร การศึกษาครั้งนี้ประเมินค่าความปลอดภัย พบว่าปริมาณโลหะหนักทั้ง 4 ชนิด ที่สะสมในสัตว์น้ำบริเวณชายฝั่งจังหวัดสงขลายังอยู่ในระดับที่ปลอดภัยต่อผู้บริโภค ปิโตรเลียมเป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่ซับซ้อน เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติในชั้นหินใต้พื้นผิวโลก ประกอบไปด้วยธาตุหลัก 2 ชนิด คือ ธาตุไฮโดรเจน และธาตุคาร์บอน ซึ่งได้จากการสลายตัวของอินทรีย์สาร และอาจมีธาตุอื่น ๆ เช่น กำมะถัน ออกซิเจน ไนโตรเจน ปนอยู่ด้วย สารปิโตรเลียมไฮโดรคาร์บอน เป็นสารประกอบหลักในน้ำมันเชื้อเพลิงและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม (จุมพล และคณะ, 2548) สารปิโตรเลียมไฮโดรคาร์บอนที่ปนเปื้อนในแหล่งน้ำก่อให้เกิดปัญหาต่อสภาวะแวดล้อมทางทะเล และสิ่งมีชีวิตในทะเลเป็นพิษทั้งทางตรงและทางอ้อมในลักษณะเฉียบพลันและเรื้อรัง เช่น ตายเนื่องจากไม่สามารถหายใจและเคลื่อนไหวได้ การเกิดความผิดปกติในด้านการเจริญเติบโตและระบบสืบพันธุ์ การเกิดเนื้องอกและการกลายพันธุ์ (Meador et al., 1995) นอกจากนี้ยังเกิดพิษเรื้อรังสำหรับกรณีของการมีน้ำมันละลายปนอยู่ในปริมาณน้อยแต่จะสะสมอยู่ในร่างกายของสิ่งมีชีวิตจนก่อให้เกิดความผิดปกติในระบบภายในเกี่ยวกับขบวนการทางชีวภาพ ปิโตรเลียมไฮโดรคาร์บอนที่ปนเปื้อนในน้ำทะเลทำให้ระบบนิเวศเสียหายเสื่อมโทรมลง กว่าจะฟื้นคืนสภาพเดิมจำเป็นต้องใช้เวลานานหลายปี ยังสามารถสะสมในดินตะกอนและสิ่งมีชีวิต ซึ่งจะทำให้เกิดการถ่ายทอดผ่านทางห่วงโซ่อาหาร (Food chain) และสายใยอาหาร (Food web) ตามลำดับขั้นการกินอาหาร (Trophic level) ไปสู่สิ่งมีชีวิตขั้นสูงที่สุดของห่วงโซ่อาหารและสายใยอาหารได้ เช่น ปลา นก และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม (Connell, 1988) การปนเปื้อนน้ำมันในทะเลที่สำคัญและเห็นเด่นชัด ได้แก่ อุบัติเหตุแท่นขุดเจาะน้ำมัน ดีพวอเทอร์ ฮอไรซอน กลางอ่าวเม็กซิโก นอกชายฝั่งสหรัฐอเมริกา ได้เกิดระเบิด เมื่อวันที่ 20 เม.ย. 2553 ขณะคนงานกำลังขุดเจาะน้ำมันที่ระดับความลึก 1,500 เมตร ทำให้น้ำมันดิบรั่วไหลลงสู่อ่าวเม็กซิโกมาก ถึง 4.9 ล้านบาร์เรล ปนเปื้อนด้วยคราบน้ำมันดิบเป็นแนวยาว 1,728 กิโลเมตร สร้างความเสียหายให้กับระบบนิเวศและอุตสาหกรรมประมงอย่างประเมินค่าไม่ได้ ทั้งปะการังและสัตว์ทะเล เต่าและนกหายากตายไปอย่างน้อย 8,000 ตัว (ไทยพับลิก้า, 2556) จากสถิติกรมเจ้าท่า ระหว่างปี พ.ศ. 2540–2553 พบว่าในประเทศไทยเคยเกิดเหตุการณ์รั่วไหลของน้ำมันในปริมาณมาก (20,000 ลิตรขึ้นไป) ทั้งสิ้น 9 ครั้ง พบเกิดในทะเลและชายฝั่งท่าเทียบเรือ จากอุบัติเหตุระหว่างการขนถ่ายน้ำมัน และจากอุบัติเหตุต่างๆ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อแหล่งน้ำ สิ่งมีชีวิตในแหล่งน้ำ การประมงการ เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง และการท่องเที่ยว เช่น เดือนมกราคม พ.ศ. 2545 เรือบรรทุกสินค้าชื่อ Eastern Fortitude ชนสันฉลามที่นอกฝั่งอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี มีน้ำมันเตารั่วไหล 234 ตัน ต่อมาเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2549 น้ำมันเตาจำนวน 20 ตัน รั่วไหลจากรอยรั่วของเรือบรรทุกน้ำมัน CP 34 บริเวณหน้าท่าเทียบเรือ บริษัท อัลลายแอนซ์ รีไฟน์นิ่ง จำกัด ตำบลมาบตาพุด จังหวัดระยอง และในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2551 น้ำมันเตาไม่น้อยกว่า 40,000 ลิตร รั่วไหลจากเรือสินค้า Chol Han Vong Chong Nyon Ho สัญชาติเกาหลีเหนือ บริเวณอู่เรือ บริษัท เอเชียน มารีน เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) อำเภอพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ (กรมเจ้าท่า, 2556) เหตุการณ์น้ำมันรั่วไหลดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศทางน้ำ ทรัพยากรธรรมชาติ ตลอดจนธุรกิจการท่องเที่ยว และการเพาะเลี้ยงในพื้นที่ชายฝั่งที่มีการปนเปื้อนของคราบน้ำมัน ก่อความเสียหายทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เป็นมูลค่ามหาศาล สำหรับบริเวณชายฝั่งทะเล จังหวัดสงขลา มีกิจกรรมหลายประเภทที่อาจก่อให้เกิดการปนเปื้อนและรั่วไหลของสารปิโตรเลียมไฮโดรคาร์บอน ได้แก่ การประกอบกิจการปิโตรเลียมของบริษัทเอกชนที่ตั้งอยู่ห่างจากแนวชายฝั่งทะเล อำเภอสทิงพระ ท่าเทียบเรือ เรือประมง เรือท่องเที่ยว การเดินเรือ ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้มีการขนถ่ายน้ำมัน การรั่วไหลของน้ำมันชนิดต่างๆ ทั้งน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้กับเครื่องยนต์ต่างๆ และน้ำมันดิบ การชะล้างคราบน้ำมันและสิ่งสกปรกที่ปนเปื้อนน้ำมัน โดยทิ้งลงสู่ทะเลทั้งที่จงใจและจากอุบัติเหตุ โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนหรือฤดูลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่มีน้ำฝนและน้ำท่าที่มีคราบน้ำมันจากแผ่นดินลงสู่ทะเล ในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา พบว่ามีคราบน้ำมันรั่วไหลมาปนเปื้อนบริเวณชายหาดเป็นประจำทุกปี เช่น เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2550 เรือบรรทุกแก๊ส ของบริษัท เวิร์ลไวน์ทราน สปอร์ต จำกัด อับปางในทะเลห่างชายฝั่ง ประมาณ 6 ไมล์ทะเล อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา เนื่องจากคลื่นลมแรง ทำให้น้ำมันเตาและน้ำมันดีเซล รั่วไหลออกมาประมาณ 20,000 ลิตร (กรมเจ้าท่า, 2556) ทำให้โอกาสที่จะเกิดปัญหามลภาวะอันเนื่องมาจากการปนเปื้อนของน้ำมันในทะเลบริเวณอ่าวไทยตอนล่างเป็นไปได้สูงขึ้น นอกจากนั้นการเพิ่มขึ้นของกิจกรรมการขุดเจาะสำรวจและผลิตปิโตรเลียมขนส่งน้ำมันในทะเล อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและแหล่งท่องเที่ยว ในจังหวัดสงขลา เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นแล้วในต่างประเทศ ดังนั้นการศึกษามลภาวะในทะเลจากแหล่งประมง บริเวณชายฝั่งจังหวัดสงขลา โดยเฉพาะสารปิโตรเลียมไฮโดรคาร์บอน ซึ่งคาดว่าน่าจะมีการปนเปื้อนในน้ำทะเล จึงน่าจะใช้เป็นตัวแทนที่สามารถบ่งชี้ถึงสภาวะการปนเปื้อนของปิโตรเลียมไฮโดรคาร์บอนของพื้นที่ดังกล่าว การปนเปื้อนของสารปิโตรเลียมไฮโดรคาร์บอนรวมในน้ำทะเลจากแหล่งประมง บริเวณชายฝั่งจังหวัดสงขลา พ.ศ. 2554 ศึกษาการปนเปื้อนของสารปิโตรเลียมไฮโดรคาร์บอนรวมในน้ำทะเล จากแหล่งประมง บริเวณชายฝั่งจังหวัดสงขลา ทำการเก็บตัวอย่างจำนวน 10 สถานี ในเดือนเมษายน พฤษภาคม และกรกฎาคม พ.ศ. 2554 นำตัวอย่างมาสกัดแยกปิโตรเลียมไฮโดรคาร์บอนโดยใช้เฮกเซน แล้วนำไปวิเคราะห์ด้วยวิธีฟลูออเรสเซนส์สเปคโตรสโคปี เปรียบเทียบกับสารมาตรฐานไครซีน ซึ่งพบว่าการปนเปื้อนของสารปิโตรเลียมไฮโดรคาร์บอนรวมในน้ำทะเล มีปริมาณความเข้มข้นอยู่ในช่วง 0.27-13.30 ไมโครกรัมต่อลิตร และมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.83±3.87 ไมโครกรัมต่อลิตร โดยรูปแบบการแพร่กระจายพบปริมาณความเข้มข้นสูงบริเวณห่างฝั่ง ปริมาณความเข้มข้นเฉลี่ยของสารปิโตรเลียมไฮโดรคาร์บอนรวมในน้ำทะเลในแต่ละสถานีไม่แตกต่างกัน (p>0.05) สำหรับปริมาณความเข้มข้นเฉลี่ยในเดือนเมษษยน มีค่าสูงกว่าเดือนพฤษภาคม และกรกฎาคม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) ในขณะที่ปริมาณความเข้มข้นเฉลี่ยระหว่างเดือนพฤษภาคมและกรกฎาคม ไม่แตกต่างกัน (p>0.05) โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 7.06±4.20, 0.62±0.47 และ 0.81±0.72 ไมโครกรัมต่อลิตร ตามลำดับ
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เผยแพร่โดย: กรมประมง
คำสำคัญ: จังหวัดสงขลา
เจ้าของลิขสิทธิ์: สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
คุณภาพแหล่งประมงบริเวณชายฝั่งจังหวัดสงขลา
กรมประมง
31 กรกฎาคม 2555
กรมประมง
ผลกระทบจากปรากฏการณ์ขี้ปลาวาฬบริเวณชายฝั่ง จังหวัดชลบุรี คุณภาพน้ำบริเวณชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกที่มาบตาพุด จังหวัดระยองและแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรีปี ระหว่างปี 2531 คุณภาพน้ำบริเวณชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกที่มาบตาพุด จังหวัดระยองและแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรีปี รหว่างปี 2529-2534 สัตว์ทะเลหน้าดินบริเวณชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก อุบัติการและการแพร่กระจายของแบคทีเรียสกุล vibrionaccac ในบริเวณชายฝั่งทะเลด้านตะวันออกของประเทศไทย การปนเปื้อนของโลหะหนักในน้ำและดินตะกอนบริเวณชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก ดรรชนีทางแบคทีเรียของน้ำทะเลบริเวณชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก ปี 2547 การศึกษาปริมาณโลหะหนักบางชนิดในสัตว์ทะเลที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจบริเวณชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก การศึกษา Cysts อันอาจเป็นสาเหตุของการเกิดปรากฎการณ์น้ำเปลี่ยนสีบริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออกของอ่าวไทย การปนเปื้อนของสารฆ่าแมลงกลุ่มออร์กาโนคลอรีนในดินตะกอนบริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก