สืบค้นงานวิจัย
การเก็บกักคาร์บอนของสวนป่ายูคาลิปตัสภายใต้กลไกการพัฒนาที่สะอาด
มณฑาทิพย์ โสมมีชัย - มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ชื่อเรื่อง: การเก็บกักคาร์บอนของสวนป่ายูคาลิปตัสภายใต้กลไกการพัฒนาที่สะอาด
ชื่อเรื่อง (EN): Carbon Sequestration of Eucalyptus Plantation under Clean Development Mechanism
บทคัดย่อ: การศึกษาการเก็บกักคาร์บอนของสวนป่ายูคาลิปตัสภายใต้กลไกการพัฒนาที่สะอาดมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาศักยภาพการกักเก็บคาร์บอนของสวนป่ายูคาลิปตัสตามแนวทางการประเมินของกลไกการพัฒนาที่สะอาด ได้แก่ 1) การประเมินการกักเก็บคาร์บอนทั้งส่วนที่อยู่เหนือดินและใต้ดิน 2) การประเมินการกักเก็บคาร์บอนในดิน 3) การประเมินการรั่วไหลของคาร์บอนอันเนื่องจากกิจกรรมการปลูกป่า และ 4) การประเมินความเป็นไปได้ในการปลูกสร้างสวนป่ายูคาลิปตัสเพื่อขายคาร์บอนเครดิต โดยการศึกษาครั้งนี้ดำเนินการศึกษาที่สวนป่ามัญจาคิรี จังหวัดขอนแก่น ในสวนป่ายูคาลิปตัสอายุ 1-5 ปี ที่ปลูกเพื่ออุตสาหกรรมเยื่อและกระดาษ การศึกษาประกอบด้วยการวัดการเติบโตของต้นยูคาลิปตัส การสุ่มตัวอย่างต้นยูคาลิปตัสเพื่อสร้างสมการอะโลเมตรีในการประเมินผลผลิตมวลชีวภาพ การวิเคราะห์ความเข้มข้นของคาร์บอนในส่วนต่างๆ ของต้นยูคาลิปตัส การศึกษาผลผลิตเศษซากพืชจากการร่วงหล่น การวิเคราะห์ความเข้มข้นของคาร์บอนในเศษซากพืช การศึกษาอัตราการย่อยสลาย และการวิเคราะห์ปริมาณคาร์บอนในดิน ผลการศึกษาพบว่า ยูคาลิปตัสมีการเติบโตมากขึ้นเมื่อมีอายุมากขึ้น อย่างไรก็ตาม สายต้นอาจมีผลต่อการเติบโตของต้นยูคาลิปตัสด้วย เนื่องจากพบว่ายูคาลิปตัสที่มีอายุ 4 ปี มีการเติบโตที่ดีกว่ายูคาลิปตัสอายุ 5 ปี เนื่องจากมีการใช้สายต้นที่แตกต่างกัน สำหรับศักยภาพในการกักเก็บคาร์บอนมีแนวโน้มไปในทิศทางเดียวกับการเติบโต โดยการกักเก็บคาร์บอนในมวลชีวภาพรวมมีค่าอยู่ระหว่าง 4.78 -32.26 ตันต่อเฮคแตร์ การกักเก็บคาร์บอนในเศษซากพืชเฉลี่ยเท่ากับ 0.876 ตันต่อเฮคแตร์ โดยมีค่าอยู่ระหว่าง 0.631-1.049 ตันต่อเฮคแตร์ และการกักเก็บคาร์บอนในดินตั้งแต่ระยะ 0-60 เซนติเมตร มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 38.81 ตันต่อเฮคแตร์ โดยมีค่าอยู่ระหว่าง 31.95-43.62 ตันต่อเฮคแตร์ ปริมาณคาร์บอนในดินจะลดน้อยลงเมื่อความลึกของดินเพิ่มขึ้น การประเมินคาร์บอนเครดิตจากการปลูกป่าในพื้นที่สวนป่ามัญจาคิรี ประเมินในพื้นที่ขนาด 1,670 เฮคแตร์ โดยคิดเฉพาะมวลชีวภาพเหนือดินและใต้ดินของยูคาลิปตัส การรั่วไหลที่เกิดจากการเตรียมพื้นที่ปลูกและการตัดฟันต้นไม้เมื่ออายุครบรอบตัดฟัน ซึ่งมีค่าเท่ากับ 0.099 และ 0.028 ตันคาร์บอนไดออกไซด์/เฮคแตร์ ตามลำดับ โดยกำหนดระยะเวลาในการคิดคาร์บอนเครดิตเป็นแบบคงที่ มีระยะเวลาสูงสุด 30 ปี พบว่า สวนป่ามัญจาคิรีจะมีการดูดกลับก๊าซเรือนกระจกตลอดระยะเวลา 30 ปี เท่ากับ 813,486 ตันคาร์บอนได ออกไซด์เทียบเท่า และมีการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกเนื่องจากการเตรียมพื้นที่ การตัดฟันไม้ และการนำไม้ออกนอกพื้นที่ตลอดระยะเวลา 30 ปี เท่ากับ 213,068 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ทำให้เหลือปริมาณคาร์บอนเครดิตสุทธิเท่ากับ 600,423 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า หรือเท่ากับ 20,014 ตันคาร์บอนได ออกไซด์เทียบเท่า/ปี หากคิดราคาคาร์บอนตามราคาตลาดในปัจจุบัน เท่ากับ 300 บาท/ตันคาร์บอนได ออกไซด์ สวนป่ามัญจาคิรีจะสามารถสร้างรายได้จากการขายคาร์บอนเครดิต (CERs) ทั้งหมด 180 ล้านบาท หรือประมาณ 6 ล้านบาทต่อปี อย่างไรก็ตาม ลักษณะของพื้นที่และการดำเนินกิจกรรมของสวนป่ามัญจาคิรีไม่เป็นไปตามเกณฑ์การปลูกป่าของกลไกการพัฒนาที่สะอาด จึงไม่สามารถขายคาร์บอนเครดิตในรูปแบบ CERs แต่อาจขายได้ในตลาดภาคสมัครใจ (voluntary market) การศึกษาการเก็บกักคาร์บอนของสวนป่ายูคาลิปตัสภายใต้กลไกการพัฒนาที่สะอาดมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาศักยภาพการกักเก็บคาร์บอนของสวนป่ายูคาลิปตัสตามแนวทางการประเมินของกลไกการพัฒนาที่สะอาด ได้แก่ 1) การประเมินการกักเก็บคาร์บอนทั้งส่วนที่อยู่เหนือดินและใต้ดิน 2) การประเมินการกักเก็บคาร์บอนในดิน 3) การประเมินการรั่วไหลของคาร์บอนอันเนื่องจากกิจกรรมการปลูกป่า และ 4) การประเมินความเป็นไปได้ในการปลูกสร้างสวนป่ายูคาลิปตัสเพื่อขายคาร์บอนเครดิต โดยการศึกษาครั้งนี้ดำเนินการศึกษาที่สวนป่ามัญจาคิรี จังหวัดขอนแก่น ในสวนป่ายูคาลิปตัสอายุ 1-5 ปี ที่ปลูกเพื่ออุตสาหกรรมเยื่อและกระดาษ การศึกษาประกอบด้วยการวัดการเติบโตของต้นยูคาลิปตัส การสุ่มตัวอย่างต้นยูคาลิปตัสเพื่อสร้างสมการอะโลเมตรีในการประเมินผลผลิตมวลชีวภาพ การวิเคราะห์ความเข้มข้นของคาร์บอนในส่วนต่างๆ ของต้นยูคาลิปตัส การศึกษาผลผลิตเศษซากพืชจากการร่วงหล่น การวิเคราะห์ความเข้มข้นของคาร์บอนในเศษซากพืช การศึกษาอัตราการย่อยสลาย และการวิเคราะห์ปริมาณคาร์บอนในดิน ผลการศึกษาพบว่า ยูคาลิปตัสมีการเติบโตมากขึ้นเมื่อมีอายุมากขึ้น อย่างไรก็ตาม สายต้นอาจมีผลต่อการเติบโตของต้นยูคาลิปตัสด้วย เนื่องจากพบว่ายูคาลิปตัสที่มีอายุ 4 ปี มีการเติบโตที่ดีกว่ายูคาลิปตัสอายุ 5 ปี เนื่องจากมีการใช้สายต้นที่แตกต่างกัน สำหรับศักยภาพในการกักเก็บคาร์บอนมีแนวโน้มไปในทิศทางเดียวกับการเติบโต โดยการกักเก็บคาร์บอนในมวลชีวภาพรวมมีค่าอยู่ระหว่าง 4.78 -32.26 ตันต่อเฮคแตร์ การกักเก็บคาร์บอนในเศษซากพืชเฉลี่ยเท่ากับ 0.876 ตันต่อเฮคแตร์ โดยมีค่าอยู่ระหว่าง 0.631-1.049 ตันต่อเฮคแตร์ และการกักเก็บคาร์บอนในดินตั้งแต่ระยะ 0-60 เซนติเมตร มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 38.81 ตันต่อเฮคแตร์ โดยมีค่าอยู่ระหว่าง 31.95-43.62 ตันต่อเฮคแตร์ ปริมาณคาร์บอนในดินจะลดน้อยลงเมื่อความลึกของดินเพิ่มขึ้น การประเมินคาร์บอนเครดิตจากการปลูกป่าในพื้นที่สวนป่ามัญจาคิรี ประเมินในพื้นที่ขนาด 1,670 เฮคแตร์ โดยคิดเฉพาะมวลชีวภาพเหนือดินและใต้ดินของยูคาลิปตัส การรั่วไหลที่เกิดจากการเตรียมพื้นที่ปลูกและการตัดฟันต้นไม้เมื่ออายุครบรอบตัดฟัน ซึ่งมีค่าเท่ากับ 0.099 และ 0.028 ตันคาร์บอนไดออกไซด์/เฮคแตร์ ตามลำดับ โดยกำหนดระยะเวลาในการคิดคาร์บอนเครดิตเป็นแบบคงที่ มีระยะเวลาสูงสุด 30 ปี พบว่า สวนป่ามัญจาคิรีจะมีการดูดกลับก๊าซเรือนกระจกตลอดระยะเวลา 30 ปี เท่ากับ 813,486 ตันคาร์บอนได ออกไซด์เทียบเท่า และมีการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกเนื่องจากการเตรียมพื้นที่ การตัดฟันไม้ และการนำไม้ออกนอกพื้นที่ตลอดระยะเวลา 30 ปี เท่ากับ 213,068 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ทำให้เหลือปริมาณคาร์บอนเครดิตสุทธิเท่ากับ 600,423 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า หรือเท่ากับ 20,014 ตันคาร์บอนได ออกไซด์เทียบเท่า/ปี หากคิดราคาคาร์บอนตามราคาตลาดในปัจจุบัน เท่ากับ 300 บาท/ตันคาร์บอนได ออกไซด์ สวนป่ามัญจาคิรีจะสามารถสร้างรายได้จากการขายคาร์บอนเครดิต (CERs) ทั้งหมด 180 ล้านบาท หรือประมาณ 6 ล้านบาทต่อปี อย่างไรก็ตาม ลักษณะของพื้นที่และการดำเนินกิจกรรมของสวนป่ามัญจาคิรีไม่เป็นไปตามเกณฑ์การปลูกป่าของกลไกการพัฒนาที่สะอาด จึงไม่สามารถขายคาร์บอนเครดิตในรูปแบบ CERs แต่อาจขายได้ในตลาดภาคสมัครใจ (voluntary market)
บทคัดย่อ (EN): The present study aimed to study the potential of planting Eucalyptus for carbon credit under clean development mechanism. The main objectives were 1) estimation of carbon stock in both aboveground and underground biomass, 2) estimation of soil carbon stock, 3) estimation of leakage due to planting activities, 4) evaluation of the potential of planting Eucalyptus for carbon credit. The study was carried out at 1-5 year-old Eucalyptus plantation at Manchakiri Plantation, Khon Kaen Province, which mainly planted for pulp and paper industries. The study consisted of growth measurement, construction of allometric equations for biomass estimation, analysis of carbon content in all living parts of trees, litter production, analysis of carbon content in litter, litter decomposition and analysis of soil carbon. The results showed that growth of Eucalyptus increased as the age increased. However, genetic also showed high effect to tree growth since 4-year old Eucalyptus grew better than 5-year old Eucalyptus because of using different clones. Carbon storage showed the similar trend to tree growth. Total carbon storage in biomass ranging from 4.78 to 32.26 tonnes/hectare. The average carbon storage in litter was 0.876 tonnes/hectare ranging from 0.631 to 1.049 tonnes/hectare. The average of carbon storage in soil up to 60 centimeter depth was 38.81 tonnes/hectare ranging from 31.95 to 43.62 tonnes/hectare. Soil carbon storage decreased along the depth of soil. The carbon credits from reforestation clean development mechanism project at Manchakiri Plantation were estimated under the area of 1,670 hectares by using fixed crediting period with the maximum period of 30 years. Only aboveground and belowground carbon pools were taken into account. Leakage of carbon caused by site preparation and harvesting accounted for 0.099 and 0.028 tonnes CO2/hectares, respectively. The result showed that Manchakiri Plantation removed greenhouse gases of 813,486 tonnes CO2 equivalent and emitted 213,068 tonnes CO2 equivalent resulted to the net carbon credit of 600,423 tonnes CO2 equivalent or 20,014 tonnes CO2/year. Assuming the carbon market price of US$10 per ton of CO2, Manchakiri Plantation will get the benefit from CERs approximately US$ 6 million or US$ 0.5 million/year. However, due to A/R CDM criteria, the activity of Manchakiri Plantation is not eligible for A/R CDM project. Proposing for CERs is therefore not possible, but voluntary market could be an alternative for Manchakiri plantation. The present study aimed to study the potential of planting Eucalyptus for carbon credit under clean development mechanism. The main objectives were 1) estimation of carbon stock in both aboveground and underground biomass, 2) estimation of soil carbon stock, 3) estimation of leakage due to planting activities, 4) evaluation of the potential of planting Eucalyptus for carbon credit. The study was carried out at 1-5 year-old Eucalyptus plantation at Manchakiri Plantation, Khon Kaen Province, which mainly planted for pulp and paper industries. The study consisted of growth measurement, construction of allometric equations for biomass estimation, analysis of carbon content in all living parts of trees, litter production, analysis of carbon content in litter, litter decomposition and analysis of soil carbon. The results showed that growth of Eucalyptus increased as the age increased. However, genetic also showed high effect to tree growth since 4-year old Eucalyptus grew better than 5-year old Eucalyptus because of using different clones. Carbon storage showed the similar trend to tree growth. Total carbon storage in biomass ranging from 4.78 to 32.26 tonnes/hectare. The average carbon storage in litter was 0.876 tonnes/hectare ranging from 0.631 to 1.049 tonnes/hectare. The average of carbon storage in soil up to 60 centimeter depth was 38.81 tonnes/hectare ranging from 31.95 to 43.62 tonnes/hectare. Soil carbon storage decreased along the depth of soil. The carbon credits from reforestation clean development mechanism project at Manchakiri Plantation were estimated under the area of 1,670 hectares by using fixed crediting period with the maximum period of 30 years. Only aboveground and belowground carbon pools were taken into account. Leakage of carbon caused by site preparation and harvesting accounted for 0.099 and 0.028 tonnes CO2/hectares, respectively. The result showed that Manchakiri Plantation removed greenhouse gases of 813,486 tonnes CO2 equivalent and emitted 213,068 tonnes CO2 equivalent resulted to the net carbon credit of 600,423 tonnes CO2 equivalent or 20,014 tonnes CO2/year. Assuming the carbon market price of US$10 per ton of CO2, Manchakiri Plantation will get the benefit from CERs approximately US$ 6 million or US$ 0.5 million/year. However, due to A/R CDM criteria, the activity of Manchakiri Plantation is not eligible for A/R CDM project. Proposing for CERs is therefore not possible, but voluntary market could be an alternative for Manchakiri plantation.
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เผยแพร่โดย: มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
คำสำคัญ: กลไกการพัฒนาที่สะอาด
เจ้าของลิขสิทธิ์: สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
การเก็บกักคาร์บอนของสวนป่ายูคาลิปตัสภายใต้กลไกการพัฒนาที่สะอาด
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
30 กันยายน 2553
การศึกษาความคุ้มค่าในการผลิตก๊าซชีวภาพจากของเสียในฟาร์มสุกรภายใต้กลไกการพัฒนาที่สะอาด การใช้ภูมิสารสนเทศเพื่อศึกษาความเสื่อมโทรมและการเก็บกักคาร์บอนของดินจังหวัดขอนแก่น การศึกษาคาร์บอนฟุตพริ้นท์ การเก็บกักคาร์บอนในดินนา การรักษาผลผลิตข้าว และการติดตามการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในนาข้าวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อิทธิพลของชนิดและอัตราปุ๋ยฟอสฟอรัสที่มีต่อถั่วเวอราโนสไตโลปลูกในสวนป่ายูคาลิปตัส การปรับปรุงดินนาขาดความอุดมสมบูรณ์โดยใช้ปุ๋ยพืชสดและเพิ่มการเก็บกักคาร์บอนในดินเพื่อเพิ่มผลผลิตข้าว การฟื้นฟูดินเสื่อมโทรมโดยการจัดการอินทรียวัตถุและเพิ่มการเก็บกักคาร์บอนของดิน ประสิทธิภาพการใช้ถ่านชีวภาพเพื่อการเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรและการเก็บกักคาร์บอนในพื้นที่ดินเปรี้ยวจัด ศักยภาพการเก็บกักคาร์บอนในมวลชีวภาพพื้นที่อุทยานการเรียนรู้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมมหาวิทยาลัยพะเยา การพัฒนาเตาอบผลไม้จากพลังงานสะอาด การเก็บกักคาร์บอนและเพิ่มผลผลิตข้าวในนาที่เสื่อมโทรม การติดตามคาร์บอนฟุตพริ้นท์ งบดุลคาร์บอนในดินนาและลดคาร์บอนในบรรยากาศ
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก