สืบค้นงานวิจัย
การศึกษาประสิทธิผลและความปลอดภัยของยาตำรับเบญจกูลในการรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมปฐมภูมิเทียบกับยาไดโคลฟิแนค (งานวิจัยคลินิกระยะที่ 2)
ปิยะ ปิ่นศรศักดิ์ - กองทุนภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก
ชื่อเรื่อง: การศึกษาประสิทธิผลและความปลอดภัยของยาตำรับเบญจกูลในการรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมปฐมภูมิเทียบกับยาไดโคลฟิแนค (งานวิจัยคลินิกระยะที่ 2)
ชื่อเรื่อง (EN): Efficacy and safety study of Benjakul for the treatment of primary osteoarthritis compared with diclofinac. (Phase 2 Clinical Research)
ผู้แต่ง / หัวหน้าโครงการ: ปิยะ ปิ่นศรศักดิ์
หน่วยงานสังกัดผู้แต่ง:
ชุดเอกสาร: การศึกษาประสิทธิผลและความปลอดภัยของยาตำรับเบญจกูลในการรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมปฐมภูมิเทียบกับยาไดโคลฟิแนค (งานวิจัยคลินิกระยะที่ 2)
บทคัดย่อ: เบญจกูล เป็นตำรับยาสมุนไพรไทยที่มีการใช้มาอย่างยาวนาน มีสรรพคุณในการปรับสมดุลของธาตุ ในร่างกาย จากการศึกษาในสัตว์ทดลอง พบว่า สารสกัดชั้นเอทธานอลของต ารับเบญจกูลมีฤทธิ์การต้านการอักเสบและลดอาการปวดได้ดี เมื่อทดสอบความเป็นพิษกึ่งเรื้อรัง ไม่พบพิษในทุกระบบ และการทดลองในอาสาสมัครสุขภาพดี ก็ไม่พบพิษแต่อย่างใด ดังนั้นวัตถุประสงค์ของการการศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาวิจัยเชิงทดลองเพื่อศึกษาประสิทธิผลและความปลอดภัยในการใช้ยาสารสกัดเบญจกูลในการรักษาผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อมปฐมภูมิโดยเปรียบเทียบกับยาไดโคลฟิแนค ใช้วิธีการศึกษาแบบสุ่มปกปิดสองข้าง ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในคน คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์แล้ว โดยอาสาสมัคร จำนวน 84 คน จะถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มได้รับยาสารสกัดเบญจกูล 100 มิลลิกรัม วันละ 3 ครั้ง หลังอาหาร จำนวน 42 คน และกลุ่มได้รับยาไดโคลฟิแนค 25 มิลลิกรัม วันละ 3 ครั้งหลังอาหาร จำนวน 42 คน อาสาสมัครทั้งหมดจะได้รับยาเป็นเวลา 28 วัน และติดตามอาการในวันที่ 14 และ 28 ประเมินประสิทธิผลการรักษาจากระดับความเจ็บปวดข้อเข่าหลังเดิน 100 เมตร, ระยะเวลาที่ใช้ในการเดิน 100 เมตร, คะแนนจากแบบทดสอบ Modified Thai WOMAC index และการประเมินผลการรักษาโดยรวม เมื่อสิ้นสุดการรักษา ส่วนการประเมินความปลอดภัย ประเมินจากการตรวจร่างกาย และค่าการตรวจทางห้องปฏิบัติการ การท างานของตับและการทำงานของไต จากการศึกษาวิจัยพบว่า มีอาสาสมัครที่เข้าร่วมการศึกษาครบตามก าหนดเวลาทั้งสิ้น 77 คน เป็นอาสาสมัครกลุ่มยาสารสกัดเบญจกูล 39 คน และกลุ่มยาไดโคลฟิแนค 38 คน เมื่อศึกษาประสิทธิผล พบว่าทั้งยาสารสกัดเบญจกูลและยาไดโคลฟิแนคสามารถลดระดับความปวดข้อเข่าหลังเดินและเวลาที่ใช้ในการเดิน 100 เมตรได้ แต่มีเพียงยาไดโคลฟิแนคที่สามารถลดระดับความปวดและเวลาที่ใช้ในการเดินได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติเมื่อเปรียบเทียบกับก่อนรับยา (วันที่ 0) ในส่วนของคะแนนจากการท าแบบทดสอบModified Thai WOMAC index แสดงให้เห็นว่ายาทั้งสองชนิดสามารถช่วยให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยดีขึ้นในทุกด้านได้อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติ แต่ยาไดโคลฟิแนคจะแสดงประสิทธิผลอย่างชัดเจนได้รวดเร็วกว่าเมื่อรับประทานยาต่อเนื่องเป็นเวลา 14 วัน ในขณะที่ยาสารสกัดเบญจกูลจะแสดงประสิทธิผลอย่างชัดเจนได้ช้ากว่าที่เวลา 28 วัน อย่างไรก็ตามเมื่อเปรียบเทียบประสิทธิผลเมื่อสิ้นสุดการศึกษาวิจัยพบว่า ยาสารสกัดเบญจกูลและยาไดโคลฟิแนคไม่มีความแตกต่างกัน เมื่อวิเคราะห์ทางสถิติ ทั้งในด้านประสิทธิผลในการลดอาการปวด, เวลาที่ใช้ในการเดิน 100 เมตร, คะแนนจากแบบทดสอบ Modified Thai WOMAC index และการประเมินผลการรักษาโดยรวมสำหรับการศึกษาถึงความปลอดภัยในผู้ป่วยพบว่า อาการไม่พึงประสงค์ที่พบมากที่สุดของอาสาสมัครกลุ่มยาสารสกัดเบญจกูลคือ อาการร้อนคอ, คอแห้ง หรือร้อนท้อง ส่วนอาการไม่พึงประสงค์ที่พบมากที่สุดของอาสาสมัครกลุ่มยาไดโคลฟิแนคคืออาการ แสบอก อย่างไรก็ตามอาสาสมัครทั้ง 2 กลุ่ม ไม่พบอาการไม่พึงประสงค์ที่รุนแรงและไม่พบความแตกต่างเมื่อวิเคราะห์ทางสถิติ ทั้งนี้ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการพบว่าการรับประทานยาสารสกัดเบญจกูลต่อเนื่องเป็นเวลา 28 วันนั้น ไม่พบพิษต่อตับและไต ในขณะที่ยาไดโคลฟิแนคแสดงถึงแนวโน้มทางเคมีของตับและไตเพิ่มค่าขึ้นอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติ อย่างไรก็ตามเมื่อเปรียบเทียบค่าการประเมินการท าหน้าที่ของตับระหว่างอาสาสมัครทั้ง 2 กลุ่ม พบว่าไม่มีความแตกต่างทางสถิติ แต่พบว่าค่า BUN จากการประเมินการทำหน้าที่ของไตระหว่างอาสาสมัครทั้ง 2 กลุ่ม พบว่ายาไดโคลฟิแนคมีผลให้ค่า BUN เพิ่มขึ้นแตกต่างจากยาสารสกัดเบญจกูลอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติจากการศึกษาวิจัยนี้สามารถสรุปได้ว่ายาสารสกัดเบญจกูลมีประสิทธิผลในการรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมปฐมภูมิได้ไม่แตกต่างจากยาไดโคลฟิแนค เมื่อได้รับยาอย่างต่อเนื่อง 28 วัน และมีความปลอดภัยในเกณฑ์ที่ดีกว่าคือไม่พบความเป็นพิษต่อตับและไต
บทคัดย่อ (EN): Benjakul is a Thai herbal medicine recipe that has been used for a long time. It has properties in balancing the elements in the body. From animal studies, it was found that extracts from the ethanol class of Benjakul has good anti-inflammatory and pain-relieving effects. when tested for subchronic toxicity No toxicity was found in all systems. and experiments in healthy volunteers did not find any toxicity Therefore, the objective of this study was to study the efficacy and safety of Benjakul extract in the treatment of patients with primary osteoarthritis compared with diclofinac. A double blind randomized study was used. Approved by the Human Research Ethics Committee Faculty of Medicine At Thammasat University, 84 volunteers were divided into 2 groups: 42 people received 100 mg of benjakul extract 3 times a day after meals, and the group received 25 mg of diclofinac 3 times a day. After meals, 42 subjects were given the drug for 28 days and were followed on days 14 and 28. Efficacy was assessed for knee pain after 100 m, length of walk 100 m. , Modified Thai WOMAC index test scores and overall treatment evaluation at the end of treatment safety assessment section assessed by physical examination and laboratory values, liver function and renal function. From the research study, it was found that There were volunteers who participated in the study as required. A total of 77 participants were volunteers in the Benjakul extract group, 39 and diclofinac were 38 volunteers. Both benjakul extract and diclofinac were found to reduce the degree of knee pain after walking and the time required to walk 100 m, but only diclofinac was able to reduce pain and time. The statistical significance of walking was compared to before the drug administration (Day 0). The Modified Thai WOMAC index test showed that both drugs could significantly improve all aspects of the patient's quality of life, but diclofinac was clearly shown to be effective. Benjakul's efficacy was shown to be more pronounced later than at 28 days. However, efficacy was compared at the end of the study. There was no difference between benjakul extract and diclofinac. when analyzing statistically In terms of efficacy in pain reduction, time spent walking 100 m, scores from the Modified Thai WOMAC index, and overall treatment evaluation for patient safety studies, it was found that The most common adverse reaction among subjects in the Benjakul extract group was throat heat, dry throat, or stomach heat, while the most common adverse reaction among the diclofinac subjects was stinging sensation. In both groups, no serious adverse reactions were found and no difference was found when statistically analyzed. However, laboratory results showed that taking Benjakul extract pills continuously for 28 days did not have any toxic effects on the liver and kidneys. While diclofenac showed a statistically significant increase in hepatic and renal chemistry trends. There was no statistically different difference in hepatic function between the two groups, but the BUN value from the renal function assessment between the two groups showed that diclofinac had an effect on the BUN value. Significantly different from Benjakul extract pills From this study, it was concluded that Benjakul extract was effective in the treatment of primary osteoarthritis no different from diclofinac. After 28 days of continuous dosing, the safety profile was better with no hepatotoxicity or nephrotoxicity.
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เอกสารแนบ: http://ttdkl.dtam.moph.go.th/Module7/frmc_home_research_show.aspx?r_id=NDQy
เผยแพร่โดย: กองทุนภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก
คำสำคัญ: งานวิจัยคลินิก
คำสำคัญ (EN): Thai herbal
หมวดหมู่:
หมวดหมู่ AGRIS:
เจ้าของลิขสิทธิ์: กองทุนภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
การศึกษาประสิทธิผลและความปลอดภัยของยาตำรับเบญจกูลในการรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมปฐมภูมิเทียบกับยาไดโคลฟิแนค (งานวิจัยคลินิกระยะที่ 2)
กองทุนภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก
ไม่ระบุวันที่เผยแพร่
ประสิทธิผลของยาธรณีสัณฑะฆาตเทียบกับยานาพรอกเซนในการรักษาอาการปวดกล้ามเนื้อและเยื่อผังผืดเรื้อรัง ใครว่าผักไทยไม่ปลอดภัย ความปลอดภัยของอาหาร...หน้าที่ของเราทุกคน ประสิทธิผลของสารสกัดขิงในการลดอาการปวดของมารดาหลังคลอดปกติครรภ์แรก การพัฒนาโครงร่างการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนการสอน : เอกสารประกอบการประชุมเชิงปฏิบัติการ ศึกษาฤทธิ์ลดไขมันในเลือดของตำรับเบญจกลูในหนูแรทที่มีภาวะไขมันในเลือดสูง โครงการวิจัยและพัฒนาเพื่อแก้ปัญหาโรคใบขาวของอ้อย วิจัยและพัฒนาเครื่องสาวไหมเด่นชัย 2 หลักการการวางแผนงานวิจัยพืชสวน การศึกษาเปรียบเทียบประสิทธิผลการนวดไทยกับการใช้ ยาไดโคลฟีแนค (Diclofenac) ในการลดอาการปวดบ่า
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก