สืบค้นงานวิจัย
โครงการศึกษาเทคโนโลยีการผลิตกระเจี๊ยบเขียว
อำนวย อรรถลังรอง - กรมวิชาการเกษตร
ชื่อเรื่อง: โครงการศึกษาเทคโนโลยีการผลิตกระเจี๊ยบเขียว
ชื่อเรื่อง (EN): Study on Production Technologies of Okra Production
ผู้แต่ง / หัวหน้าโครงการ: อำนวย อรรถลังรอง
บทคัดย่อ: การศึกษาเทคโนโลยีการผลิตกระเจี๊ยบเขียว เพื่อแก้ไขปัญหาโรคเส้นใบเหลืองและศัตรูกระเจี๊ยบเขียวที่สำคัญในการส่งออก ตลอดจนการผลิตเมล็ดพันธุ์กระเจี๊ยบเขียวที่เหมาะสม ดำเนินการระหว่างปี 2549-2553 ในศูนย์วิจัยฯของกรมวิชาการเกษตรและแปลงเกษตรกร พบว่า สายพันธุ์กระเจี๊ยบเขียวที่คัดเลือกและต้านทานต่อโรคเส้นใบเหลืองระหว่างปี 2543-2547 ซึ่งปลูกทดสอบพันธุ์ในแปลงเกษตรกร 1-3 ราย จำนวน 3 สายพันธุ์ และเปรียบเทียบพันธุ์ที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรพิจิตรและกาญจนบุรีจำนวน 7 สายพันธุ์ ทั้งหมดไม่ต้านทาน/สูญเสียความต้านทานต่อโรคเส้นใบเหลือง เนื่องจากเชื้อไวรัสแต่ละแหล่ง (isolate) มีความรุนแรงในการทำให้เกิดโรคแตกต่างกันและมีการพัฒนาตัวเองทำให้เกิดโรครุนแรงมากขึ้น และไม่มีการพัฒนาสายพันธุ์กระเจี๊ยบเขียวดัวกล่าวให้ต้านทานโรคเส้นใบเหลืองอย่างต่อเนื่อง แต่เกษตรกรพึงพอใจต่อสายพันธุ์ A9-27-11-13-6-12 ที่ให้ผลผลิตมาตรฐานสูงถึง 1,887.78 กก./ไร่ เมื่อไม่เกิดโรคเส้นใบเหลืองระบาดและผลผลิตเป็นที่ยอมรับของบริษัทส่งออก ส่วนการคัดเลือกพันธุ์กระเจี๊ยบเขียว เพื่อทดแทนสายพันธุ์ที่สูญเสียความต้านทานโรคที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรพิจิตร, กาญจนบุรีและแปลงเกษตรกร พบว่า กระเจี๊ยบเขียวที่คัดเลือกมีระดับความต้านทานต่อโรคเส้นใบเหลืองและความคงตัวทางพันธุกรรมมากขึ้นเมื่อมีรอบการคัดเลือกเพิ่มขึ้น คัดเลือกสายพันธุ์กระเจี๊ยบเขียวไว้ 8 สายพันธุ์ ได้แก่ 25-1-1-44-2-B-3-5, 25-1-4-4-5-B-2-1, 25-1-4-4-5-B-2-2, 25-1-11-4-1-B-5-1, KN01-4-1, KN02-1-4, KN04-1-3 และ A9-27-11-13-6-12(R)-12-2 ขณะนี้อยู่ระหว่างการทดสอบเปรียบเทียบพันธุ์ในปี 2554-2555 ส่วนการประเมินและอนุรักษ์พันธุ์กระเจี๊ยบเขียว พบว่า พันธุ์/สายพันธุ์กระเจี๊ยบเขียวมีลักษณะประเมินซึ่งดัดแปลงจาก Charrier (1984) ใกล้เคียงกัน และควรปลูกใหม่เพื่ออนุรักษ์พันธุกรรมทุก 2-3 ปี การป้องกันกำจัดศัตรูกระเจี๊ยบเขียวที่สำคัญ พบว่า การปลูกปอเทืองถึงระยะออกดอกและไถกลบก่อนปลูกกระเจี๊ยบเขียวลดการเกิดปมซึ่งเกิดจากไส้เดือนฝอย Meloidogyne spp. ได้มากกว่า 75 % ของระบบราก ส่วนการใช้สารสกัดสะเดาอัตรา 100 มล./น้ำ 20 ล. และ/หรือ BT อัตรา 60 ก./น้ำ 20 ล. สามารถใช้ทดแทนสารเคมีในการป้องกันกำจัดหนอนผีเสื้อได้ ขณะที่ petroleum spray oil อัตรา 60 มล./น้ำ 20 ล. หรือสารสกัดสะเดาอัตรา 100 มล./น้ำ 20 ล. สามารถควบคุมแมลงหวี่ขาวได้ดี นอกจากนี้ยังสามารถใช้สารกำจัดวัชพืช fluazifop-butyl อัตรา 50 ก.ai/ไร่ หรือ fenoxaprop-p-ethyl อัตรา 30 ก.ai/ไร่ หรือ fluazifop-butyl+fenoxaprop-p-ethyl อัตรา 50+ 30 ก.ai/ไร่ ทดแทนการกำจัดวัชพืชด้วยมือ การศึกษาเทคโนโลยีการผลิตเมล็ดพันธุ์กระเจี๊ยบเขียว พบว่า กระเจี๊ยบเขียวเป็นพืชผสมตัวเอง มีลักษณะดอกแบบดอกสมบูรณ์และเป็นดอกสมบูรณ์เพศ ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการถ่ายละอองเกสรได้แก่ 7.00-9.00 น. การเก็บเกี่ยวเมล็ดพันธุ์ครั้งแรกควรทำเมื่อฝักมีอายุ 35-37 วันหลังดอกบาน และมีระยะห่างของการเก็บเกี่ยวเมล็ดพันธุ์แต่ละครั้งไม่เกิน 10 วันโดยพิจารณาร่วมกับการแตกของฝัก สำหรับระยะปลูกที่เหมาะสมในการผลิตเมล็ดพันธุ์ ได้แก่ 50 x 75 ซม. จำนวน 1-2 ต้น/หลุมให้น้ำหนักเมล็ด 283.94 กก./ไร่
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เผยแพร่โดย: กรมวิชาการเกษตร
คำสำคัญ: เทคนิคการพ่นสาร
เจ้าของลิขสิทธิ์: สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
โครงการศึกษาเทคโนโลยีการผลิตกระเจี๊ยบเขียว
กรมวิชาการเกษตร
30 กันยายน 2553
โครงการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตอ้อย โครงการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตกระเจี๊ยบเขียว เทคโนโลยีการผลิตพืชแห่งศตวรรษที่ 21 โครงการศึกษาเทคโนโลยีการผลิตหน่อไม้ฝรั่ง การจัดการธาตุอาหารและน้ำในการผลิตกระเจี๊ยบเขียว การบริหารจัดการเทคโนโลยีเพื่อผลิตลำไยนอกฤดูในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทย ระยะที่ 1 โครงการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตกล้วยไข่คุณภาพเพื่อการส่งออก โครงการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสับปะรด ชุดโครงการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตหน่อไม้ฝรั่งและกระเจี๊ยบเขียว การศึกษาเทคโนโลยีการผลิตป่านศรนารายณ์ของเกษตรกรในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก