สืบค้นงานวิจัย
โครงการวิจัยศึกษาการผลิตปัญจขันธ์ที่มีคุณภาพ
ศศิธร วรปิติรังสี - กรมวิชาการเกษตร
ชื่อเรื่อง: โครงการวิจัยศึกษาการผลิตปัญจขันธ์ที่มีคุณภาพ
ชื่อเรื่อง (EN): Production Technology for Quality Gynostemma
ผู้แต่ง / หัวหน้าโครงการ: ศศิธร วรปิติรังสี
บทคัดย่อ: ปัญจขันธ์เป็นพืชสมุนไพร ชนิดหนึ่ง มีสรรพคุณทางเภสัชวิทยามากมายมีสารสำคัญชื่อซาโปนินเช่นเดียวกับโสม ปัจุบันนิยมดื่มเป็นชาชง บำรุงร่างกายและใช้เป็นอาหาร วัดถุประสงค์ของโครงการวิจัยเพื่อให้ได้ปัญงขันธ์พันธุ์ดีมีวิธีการผลิต และการแปรรูปที่ให้สารสำคัญตรงตามมาตรฐาน ระหว่างตุลาคม พ.ศ. 2549 ถึงกันยายน พ.ศ. 2553 โดยในปี พ.ศ. 2531-2553 ได้ ทำการประเมินพันธุ์ปัญขันธ์ 3 พัน คือพันธุ์สิบสองปั๊นนา พันธุ์อ่างขาง และพันธุ์พื้นเมืองที่ศูนย์วิชัยและพัฒนาการเกษตร พิจิตรและศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรที่สูงเลย เพื่อให้ได้พันธุ์ที่ให้ผลผลิตและปริมาณซาโปนินรวมสูงสุด ตามมาตรฐาน กำหนดปริมาณซาโปนินรวมต้องไม่น้อยกว่า 8 กรัมน้ำหนักแห้ง 100 กรัม ผลการประเมินพันธุ์พบว่า พันธุ์สิบสองปันนาและ พันธุ์อ่างขางให้ผลผลิตสดสูงใกล้เคียงกันคือ 3,596 3,308 กิโลกรัม/ไร่ ในปี พ.ศ. 2551 และ 5,570 5.560 กิโลกรัม/ไร่ ในปี พ.ศ. 2552 ปริมาณซาไปนินรวมเท่ากับ 6.07 7.02 กรัม/น้ำหนักแห้ง 100 กรัม ในปี พ.ศ. 2551 และ 5.74 5.94 กรัม/น้ำหนักแห้ง100 กรัม ในปีพ.ศ. 2552 พันธุ์ฟื้นเมืองให้ผลผลิตสด 3,263 กิโลกรัม/ไร่ ซาไปมินรวมสูงสุด 8.34 กรัมน้ำหนักแห้ง 100 กรัม ศึกษาลักษณะทางพันธุกรรมในรูปแบบของ DNA profile โดยใช้เทคนิด ISSR-touchdown พบว่า พันธุ์สิบสองปันนาและพันธุ์ อ่างขางมีความใกลี้ชิดทางพันธุกรรม 8.12 เปอร์เซ็นด์ส่วนพันธุ์พื้นเมืองมีความใกล้ชิดทางพันธุกรรมกับทั้งสองพันธุ์ 49 เปอร์เซ็นต์ ส่วนการศึกยาผลของระดับความสูงของพื้นที่และการไห้ปุ๋ยอินทรีย์ที่หมาะสมต่อการเจริญเติบโตและคุณภาพของ ชาปัญจขันธ์ การพรางแสงร่วมกับการจัดการปุ๋ยอินทรีย์ การเก็บเกี่ยว วิธีการเก็บเกี่ยวในปัญจขันธ์พันธ์สิบสองปีนนา และ ศึกษวิธีการปลูกและอายุก็บเกี่ยวปัญจขันธ์พันธุ์พื้นเมืองระหว่างเดือนตุลาคม พ.ศ. 2549 ถึงเดือนกันยายน พ.ศ. 2553 ที่ศูนย์วิจัย พืชสวนเชียงราช ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรพิจิตร ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรที่สูงเพชรบูรณ์และเลย พบว่า พื้นที่ปลูกมีผล ต่อผลผลิตแต่ไม่มีผลต่อคุณภาพ คือเมื่อปลูกบนพื้นที่สูงที่ ไครงการพัฒนาดอยตุงซึ่งสูงจากระดับน้ำทะเล 700 เมตร ให้ผลผลิต สูงกว่าปลูกที่พื้นที่ศูนย์วิจัยพืชสวนเชียงรายซึ่งสูงจากระดับ น้ำทะเล 400 เมต .3 เท่า ปริมาณฟีนอลิกทั้งหมดในดันมีคำระหว่าง 10.63-10.74 เปอร์เซ็นด์ ชนิดและปริมาณปุ๋ยอินทรีย์ที่ให้ผลผลิตสูงสุดคือปุ๋ยมูลวัวอัตรา 5 ตัน/ไร่ ให้ผลผลิต 3,107 กิไลกรัม/ไร่ มากกว่าการใช้ปุ๊หมักจากเศษพืชและปุ้ปลา ส่วนการพรางแสงตาข่ายพรางแสงสีดำระดับ 50 และ 70 เปอร์เซ็นต์ ผลผลิต และคุณภาพไม่แตกต่างกันเก็บเกี่ยวที่หมาะสมของปัญขันธ์ทั้ง 2 พันธุ์ ถือ 4 เดือนหลังปลูก โดยพันธุ์สิบสองปันนาให้ ผลผลิต 456 กิโลกรัม/ไร่ สูงกว่าเมื่อเก็บเกี่ยวที่อายุเก็บเกี่ยว 3, 35, 45 และ 5 เดือนซึ่งให้ผลผลิต 226, 399, 439 และ 367 กิโลกรัม/ไร่ ตามลำดับ ปริมาณฟืนอลิกทั้งหมดไม่แตกต่งกันเมื่อเก็บเกี่ยว 34 เดือน แต่จะลดลงเมื่อเก็บเกี่ยว 45 เดือน เมื่อทำ การทดลองการเก็บเกี่ยวที่อยุเก็บเกี่ยวต่างๆและวิธีการปลูกในพันธุ์พื้นเมืองพบว่า ผลผลิตเมื่อเก็บเกี่ยว 4 เดือนและปลูกแบบไม่ ขึ้นค้าง ให้ผลผลิตสดสูงสุด 3.272 กิโลกรัมไร่ ได้ปริมาณชาไปพินรวมสูงสุด 10.68 กรัมน้ำหนักแห้ง 100 กรัม แตกต่างกันทาง สถิติกับเมื่อเก็บเกี่ยวที่อายุเก็บเกี่ยว 3 และ 2 เดือน ซึ่งให้ปริมาณชาไปนินรวม 8.76 และ 5.76 กรัม/น้ำหนักแห้ง 100 กรัม ตามลำดับ และวิธีการปลูกทั้ง 2 แบบของทุกอายุก็บเกี่ยวให้ปริมาณซาไปมินรวมไม่เตกต่างกันทางสถิติ วิธีการเก็บเกี่ยวที่ เหมาะสมคือการตัดชิดไคนดันให้ผลผลิตสดรวม 811.7 กิโลกรัมไร่ ให้ปริมาณฟืนอลิกทั้งหมด 10.76 เปอร์เซ็นด์ สูงกว่การ เก็บแบบตัดขอดซึ่งให้ผลผลิต 83 กิโลกรัม/ไร่ และปริมาณนอลิกทั้งหมด 10.42 เปอร์เซ็นต์ สำหรับปริมาณความชื้นหลังอบแห้ง เมื่อเก็บรักยานาน เดือนมีคำต่ำเมื่อเก็บเกี่ยวแบบตัดชิดไคนต้นแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติสำหรับการศึกษาอุณหภูมิกรอบแห้ง 3 ระดับ อุณหภูมิการเก็บรักษาที่เหมาะสม 2 อุณหภูมิ คุณภาพหลังการเก็บรักษา และการปนเปื้อนของจุลินทรีย์ในการผลิดขาสมุนไพรปัญจขันธ์ดำเมินการที่ศูนย์วิจัยพืชสวมเชียงราย ตั้งแต่ตุถาคม พ.ศ. 2551 ถึงกันยายน พ.ศ. 2553 ผลการทดลองพบว่า น้ำหนักสดของปัญจขันธ์ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิการอบ สัดส่วนน้ำหนักสดต่อน้ำหนักแห้ง เท่ากับ 5 กิโลกรัม ต่อ เ กิโลกรัมมี่ออบที่ 100 องศาเซลเชียส ซึ่งต่ำกว่ากรอบที่ 60-80 องศาเซลเชียส แต่การอบที่อุณหภูมิต่ำ คุณภาพการเก็บรักยาดีกว่าการอบที่อุณหภูมิสูงโดยเฉพาะปริมาณสารแอฟลาทอกซิน ซึ่งพบในปัญจขันธ์บดต่ำที่สุด 6.13 ppb ส่วนอุณหภูมิในการก็บรักษาที่เหมาะสม 8-เ0 องศาเซลเชียส สามารถก็บได้นานกว่า 8 เดือน เปอร์เซ็นต์ความชื้นและปริมาณ สารแอฟลาทอกซินต่ำกว่การเก็บรักษาที่อุณหภูมิห้อง สุ่มตัวอย่งปัญจขันธ์สดและแห้งตรวจวิเคราะห์ Escherichia coli และ Samonella sp.ไม่พบการปนเปื้อนของจุลินทรีย์ทั้ง 2 ชนิด พบ Bacilis cereus ในปัญจขันธ์อบแห้งก่อนและหลังเก็บรักษานาน 6 เดือน 10-60 CFU/g และ 220 - 650 CFU/g ส่วน Total yeast and mold พบในปัญจขันธ์อบแห้งก่อนและหลังเก็บรักษานาน 6 เดือน 100-162 CFU/g และ 100-2100 CFUg ตามสำดับ แต่ไม่เกินคำมาตรฐานที่กำหนด ปริมาณสารแอฟลาทอกซินใน ปัญจขันธ์บดบรรซองก่อนการเก็บรักยามีต่ำาเฉลี่ย 3.1 pbเมื่อก็บรักษานาน 8 เดือนที่อุณหภูมิห้องและตู้เข็นอุณหภูมิ 8-10 องศาเซลเชียส มีค่า 6.38 ppb และ 5.88 ppb ตามลำดับ ค่ากำหนดควรต่ำกว่า 10 ppb
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เผยแพร่โดย: กรมวิชาการเกษตร
คำสำคัญ: สมุนไพร
เจ้าของลิขสิทธิ์: สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
โครงการวิจัยศึกษาการผลิตปัญจขันธ์ที่มีคุณภาพ
กรมวิชาการเกษตร
30 กันยายน 2553
การผลิต คุณภาพ และความปลอดภัยของน้าปลาร้าปรุงรส การประกันคุณภาพการวิจัยในระดับบัณฑิตศึกษา การศึกษาความปลอดภัยและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ลูกชิ้นปลา โครงการวิจัยการผลิตขมิ้นชันที่มีคุณภาพ การจัดการโรงเรือนเพื่อเพิ่มผลผลิตและคุณภาพผัก ผลของกระบวนการผลิตและการเก็บรักษาต่อคุณภาพปลาอินทรีเค็ม โครงการวิจัยและพัฒนาวิธีวิเคราะห์ทดสอบคุณภาพผลิตภัณฑ์พืชแปรรูป (โครงการวิจัยเดี่ยว) โครงการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตสละให้มีคุณภาพ คุณภาพน้ำบริเวณอ่าวนครศรีธรรมราช การผลิตฟักทองญี่ปุ่นพร้อมปรุงในภาชนะบรรจุสำหรับการจำหน่ายปลีก : คุณภาพระหว่างการเก็บรักษา
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก