สืบค้นงานวิจัย
การประเมินประสิทธิภาพเชิงนิเวศเศรษฐกิจของกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเลียมและปิโตรเคมี ภายในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง ประเทศไทย
Korkiat Kertpakpraek - มหาวิทยาลัยมหิดล
ชื่อเรื่อง: การประเมินประสิทธิภาพเชิงนิเวศเศรษฐกิจของกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเลียมและปิโตรเคมี ภายในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง ประเทศไทย
ชื่อเรื่อง (EN): Eco-efficiency evaluation of petroleum and petrochemical group in the Map Ta Phut industrial estate Rayong province Thailand
ผู้แต่ง / หัวหน้าโครงการ (EN): Korkiat Kertpakpraek
บทคัดย่อ: อุตสาหกรรมปิโตรเลียมและปิโตรเคมีในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด มีความสำคัญในแง่ของการผลิตเพื่อส่งต่อไปยังอุตสาหกรรมต่อเนื่องและมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ อย่างไรก็ตามก็เป็นอุตสาหกรรมที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมด้วย หลักการของประสิทธิภาพเชิงนิเวศเศรษฐกิจยังไม่ได้ถูกนำมาประยุกต์ใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการ ซึ่งทำให้สูญเสียโอกาสที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มโดยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ดังนั้นจึงได้ศึกษาและทำการประเมินประสิทธิภาพเชิงนิเวศเศรษฐกิจในกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเลียมและปิโตรเคมี จังหวัดระยอง ประเทศไทย การศึกษาการไหลเข้าออกของแต่ละตัวชี้วัดได้นำมาประยุกต์ใช้ในการศึกษาโครงสร้างอุตสาหกรรมของนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด กลุ่มปิโตรเลียมและปิโตรเคมีในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดมี 31 บริษัท ซึ่งสามารถจำแนกออกได้เป็น 3 กลุ่มคือ กลุ่มปิโตรเลียมและปิโตรเคมีขั้นต้น กลุ่มปิโตรเคมีขั้นกลาง และกลุ่มปิโตรเคมีขั้นปลาย แนวโน้มของประสิทธิภาพเชิงนิเวศเศรษฐกิจสามารถอธิบายด้วยกราฟ snapshot เปรียบเทียบกัน 3 กลุ่มของกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเลียมและปิโตรเคมี กลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเลียมและปิโตรเคมีขั้นต้นมีค่าประสิทธิภาพเชิงนิเวศเศรษฐกิจดีในตัวชี้วัดด้านพลังงาน กลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมีขั้นกลางมีค่าประสิทธิภาพเชิงนิเวศเศรษฐกิจสูงกว่ากลุ่มปิโตรเลียมและปิโตรเคมีขั้นต้นแต่ต่ำกว่ากลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมีขั้นปลาย ในตัวชี้วัดด้านวัตถุดิบ, น้ำ, และของเสียอันตราย กลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมีขั้นปลาย มีค่าประสิทธิภาพเชิงนิเวศเศรษฐกิจดีในตัวชี้วัดด้านวัตถุดิบ, น้ำ และของเสียอันตราย แต่ตัวชี้วัดด้านพลังงานมีค่าที่ไม่ค่อยดี สำหรับกราฟ snapshot ซึ่งเกี่ยวข้องกับกำไรขั้นต้นและปริมาณการใช้น้ำพบว่าในภาพรวมของกลุ่มอุตสาหกรรมและกลุ่มย่อยมีแนวโน้มในทิศทางเดียวกันคือขยับจาก half eco-efficient ในปี 2547 เข้าสู่ fully eco-efficient ในปี 2548 การวิจัยนี้สามารถเป็นกรอบพื้นฐานของการประเมินประสิทธิภาพเชิงนิเวศเศรษฐกิจของภาคอุตสาหกรรม ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการวางยุทธศาสตร์การพัฒนาและสามารถนำไปมีส่วนร่วมการตัดสินใจเพื่อการพัฒนาการมีส่วนร่วมในระดับสาธารณะและในสาขาอื่นๆ และยังสามารถนำไปใช้สร้างแนวโน้มในระดับประเทศได้
บทคัดย่อ (EN): The petroleum and petrochemical industry in Map Ta Phut Industrial Estate (MTPIE) provides raw material products to other industries and has an abundance of economic value as well as imposing a burden on the environment. The concept of evaluating eco-efficiency and its application has not been implemented, thereby loosing the opportunity of creating greater value with fewer resources and lessening possible environmental impact. Eco-efficiency in the petroleum and petrochemical industry group located in Rayong province, Thailand was therefore evaluated. Flow analysis for each indicator was applied to study the industrial structure in MTPIE. There are 31 factories in the petroleum and petrochemical group, which can be divided into 3 categories, upstream, intermediate stream, and downstream. The eco-efficiency trends of the petroleum and petrochemical group were simply evaluated by snapshot graph analysis and comparison between 3 industrial categories in the petroleum and petrochemical group. The factories in the upstream groups observe particularly eco-efficient in energy intensity. The intermediate stream groups observe better eco-efficiency than the upstream group but this group has lesser eco-efficiency than the downstream group in material, water, and hazardous waste indicators. The downstream factories obtain particularly good eco-efficiency results concerning material consumption, water use, and hazardous waste generation, but are not quite eco-efficient concerning energy intensity. The eco-efficiency snapshot concerning the gross margin and water use during the period 2003 to 2005 showed that the eco-efficiency trends of the petroleum and petrochemical group shifted from half eco-efficient in the year 2004 to fully eco-efficient in the year 2005. The research can provide a basic framework on eco-efficiency evaluation for the industrial sector, which will feed into strategic development and would enable public participation in the discussion on branch developments and contributions to national trends.
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เอกสารแนบ: http://dcms.thailis.or.th/dcms/dccheck.php?Int_code=126&RecId=4394&obj_id=3638
เผยแพร่โดย: มหาวิทยาลัยมหิดล
คำสำคัญ (EN): Sustainable development
เจ้าของลิขสิทธิ์: มหาวิทยาลัยมหิดล
รายละเอียด: อุตสาหกรรมปิโตรเลียมและปิโตรเคมีในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด มีความสำคัญในแง่ของการผลิตเพื่อส่งต่อไปยังอุตสาหกรรมต่อเนื่องและมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ อย่างไรก็ตามก็เป็นอุตสาหกรรมที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมด้วย หลักการของประสิทธิภาพเชิงนิเวศเศรษฐกิจยังไม่ได้ถูกนำมาประยุกต์ใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการ ซึ่งทำให้สูญเสียโอกาสที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มโดยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ดังนั้นจึงได้ศึกษาและทำการประเมินประสิทธิภาพเชิงนิเวศเศรษฐกิจในกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเลียมและปิโตรเคมี จังหวัดระยอง ประเทศไทย การศึกษาการไหลเข้าออกของแต่ละตัวชี้วัดได้นำมาประยุกต์ใช้ในการศึกษาโครงสร้างอุตสาหกรรมของนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด กลุ่มปิโตรเลียมและปิโตรเคมีในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดมี 31 บริษัท ซึ่งสามารถจำแนกออกได้เป็น 3 กลุ่มคือ กลุ่มปิโตรเลียมและปิโตรเคมีขั้นต้น กลุ่มปิโตรเคมีขั้นกลาง และกลุ่มปิโตรเคมีขั้นปลาย แนวโน้มของประสิทธิภาพเชิงนิเวศเศรษฐกิจสามารถอธิบายด้วยกราฟ snapshot เปรียบเทียบกัน 3 กลุ่มของกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเลียมและปิโตรเคมี กลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเลียมและปิโตรเคมีขั้นต้นมีค่าประสิทธิภาพเชิงนิเวศเศรษฐกิจดีในตัวชี้วัดด้านพลังงาน กลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมีขั้นกลางมีค่าประสิทธิภาพเชิงนิเวศเศรษฐกิจสูงกว่ากลุ่มปิโตรเลียมและปิโตรเคมีขั้นต้นแต่ต่ำกว่ากลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมีขั้นปลาย ในตัวชี้วัดด้านวัตถุดิบ, น้ำ, และของเสียอันตราย กลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมีขั้นปลาย มีค่าประสิทธิภาพเชิงนิเวศเศรษฐกิจดีในตัวชี้วัดด้านวัตถุดิบ, น้ำ และของเสียอันตราย แต่ตัวชี้วัดด้านพลังงานมีค่าที่ไม่ค่อยดี สำหรับกราฟ snapshot ซึ่งเกี่ยวข้องกับกำไรขั้นต้นและปริมาณการใช้น้ำพบว่าในภาพรวมของกลุ่มอุตสาหกรรมและกลุ่มย่อยมีแนวโน้มในทิศทางเดียวกันคือขยับจาก half eco-efficient ในปี 2547 เข้าสู่ fully eco-efficient ในปี 2548 การวิจัยนี้สามารถเป็นกรอบพื้นฐานของการประเมินประสิทธิภาพเชิงนิเวศเศรษฐกิจของภาคอุตสาหกรรม ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการวางยุทธศาสตร์การพัฒนาและสามารถนำไปมีส่วนร่วมการตัดสินใจเพื่อการพัฒนาการมีส่วนร่วมในระดับสาธารณะและในสาขาอื่นๆ และยังสามารถนำไปใช้สร้างแนวโน้มในระดับประเทศได้
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
การประเมินประสิทธิภาพเชิงนิเวศเศรษฐกิจของกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเลียมและปิโตรเคมี ภายในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง ประเทศไทย
Korkiat Kertpakpraek
มหาวิทยาลัยมหิดล
2550
การถ่ายทอดเทคโนโลยีของบริษัทข้ามชาติ ให้แก่วิศวะกรไทยในโรงงานอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและเคมีในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง ความต้องการใช้น้ำเพื่อการอุตสาหกรรมในนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง บทบาทของการสื่อสารในการแก้ปัญหาฉุกเฉินด้านสิ่งแวดล้อม : กรณีศึกษาการรั่วไหลของน้ำมันในทะเลบริเวณอุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง ปัญหามลพิษอุตสาหกรรมทางอากาศและน้ำเสียจากโรงงานในเขตอุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง การวิเคราะห์ประสิทธิภาพเชิงนิเวศเศรษฐกิจของภาคเกษตรกรรมด้วยตารางปัจจัยการผลิตและผลผลิต การใช้ตัวประเมินประสิทธิภาพเชิงนิเวศเศรษฐกิจเป็นเครื่องมือสนับสนุนกระบวนการทำเทคโนโลยีสะอาดใน : กรณีศึกษาโรงงานสับปะรดกระป๋องใน พลวัตและผลกระทบจากการพัฒนาการเกษตรและอุตสาหกรรมจังหวัดลำพูน กรณีศึกษานิคมอุตสาหกรรมจังหวัดลำพูนและพื้นที่โดยรอบ พ.ศ. 2526-2553 การหาลักษณะเฉพาะของพื้นที่ปนเปื้อนสารอินทรีย์ไอระเหยในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง คุณภาพชีวิตของกลุ่มผู้ประกอบอาชีพแกะสลักไม้และกลุ่มลูกจ้างในโรงงานอุตสาหกรรม การพัฒนาระบบฐานข้อมูลเพื่อการวัดประเมินความสามารถในอุตสาหกรรมสิ่งทอ
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก