สืบค้นงานวิจัย
การใช้ประโยชน์ของชุดตรวจดินภาคสนามสำหรับให้คำแนะนำปุ๋ยในการปลูกผัก ในจังหวัดลำพูน
สุพัตรา จีรัตน์ - กรมพัฒนาที่ดิน
ชื่อเรื่อง: การใช้ประโยชน์ของชุดตรวจดินภาคสนามสำหรับให้คำแนะนำปุ๋ยในการปลูกผัก ในจังหวัดลำพูน
ชื่อเรื่อง (EN): The use of LDD soil testing kit for chemical fertilizer recommendation for vegetable in Lamphun
บทคัดย่อ: การทดลองปุ๋ยในพืชผักในจังหวัดลำพูน มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการใช้ค่าวิเคราะห์ดิน ที่ตรวจสอบโดยชุดตรวจสอบดินภาคสนามของกรมพัฒนาที่ดิน (LDD soil test kit) สำหรับการแนะนำอัตราการ ใส่ปุ๋ยในการปลูกพืชผักบางชนิด ดำเนินงานตั้งแต่ปี 2556 – 2558 โดยแบ่งการทดลองออกเป็น 2 ระยะ ระยะแรก (การทดลองในปี 2556 และปี 2557) เป็นการเปรียบเทียบวิธีการให้คำแนะนำปุ๋ยด้วยเกณฑ์ต่าง ๆ ระยะที่สอง (การทดลองในปี 2558) เป็นการเปรียบเทียบอัตราการใส่ปุ๋ยที่ได้ผ่านการทดสอบมาแล้วกับอัตราปุ๋ยที่ประเมินจากค่าวิเคราะห์ดินจาก ชุดตรวจสอบดินภาคสนามของกรมพัฒนาที่ดิน (LDD soil test kit) และใช้เกณฑ์ของกรมวิชาการเกษตร การทดลองในระยะแรก ประกอบด้วยการทดลอง 2 แบบ คือ การทดลองสมบูรณ์แบบ และการทดลองในพื้นที่เกษตรกร ส่วนการทดลองในระยะที่สอง มีเฉพาะการทดลองสมบูรณ์แบบ การทดลองสมบูรณ์แบบในทั้งสอง ระยะ ใช้แผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ภายในบล็อค (randomized complete block design ; RCBD) มี 4 ซ้ำ และ 6 กรรมวิธีทดลอง ส่วนการทดลองในพื้นที่เกษตรกร ซึ่งมี 4 ราย สำหรับพืชผักแต่ละชนิด มี 5 กรรมวิธีทดลองและใช้รายละ 1 ซ้ำ กรรมวิธีทดลองที่ใช้ในระยะที่ 1 (ปี 2556 – 2557) สำหรับการทดลองสมบูรณ์แบบ คือ อัตราการใส่ปุ๋ยเคมี 6 อัตรา ดังนี้ 1) อัตราควบคุม (control) ซึ่งไม่มีการใส่ปุ๋ยเคมีทุกชนิด 2) ใส่ปุ๋ยเคมีตามอัตราที่เกษตรกรใช้ปฏิบัติในการปลูกผักแต่ละชนิด 3)ใส่ปุ๋ยเคมีตามค่าวิเคราะห์ดินและใช้เกณฑ์การกำหนดอัตราการใส่ปุ๋ยของ กรมวิชาการเกษตร 4) ใส่ปุ๋ยไนโตรเจน โดยพิจารณาจากปริมาณไนโตรเจนที่ได้จากอินทรียวัตถุในดิน และปริมาณการดูดใช้ไนโตรเจนของพืช เมื่อให้ผลผลิตในระดับที่คาดหวังและถือว่าพืชที่ทดสอบมีประสิทธิภาพการดูดใช้ไนโตรเจนจากปุ๋ยที่ใส่ลงไปในดิน 50 เปอร์เซ็นต์ ส่วนการใส่ปุ๋ยฟอสฟอรัส และปุ๋ยโพแทสเซียม พิจารณาจาก ค่าวิเคราะห์ดิน และค่าวิกฤตของฟอสฟอรัสที่เป็นประโยชน์ได้ และโพแทสเซียมที่สามารถแลกเปลี่ยนได้ 5) ใส่ปุ๋ย ที่ให้ธาตุอาหารหลัก (N , P และ K) ในอัตราที่ประเมินจากปริมาณธาตุอาหารหลักที่สะสมอยู่ในต้นพืช เมื่อให้ผลผลิตในระดับที่คาดหวัง และชดเชยปริมาณาตุอาหารที่สูญเสียจากการชะล้างของดิน 30 เปอร์เซ็นต์ ของปริมาณการดูดใช้ของพืช ร่วมกับการพิจารณาค่าวิเคราะห์ฟอสฟอรัสที่เป็นประโยชน์ได้และโพแทสเซียมที่สามารถแลกเปลี่ยนได้ของดิน 6) ใส่ปุ๋ยเคมีโดยพิจารณาจากค่าวิเคราะห์ดินและหลักเกณฑ์ในการแนะนำปุ๋ยของสำนักวิทยาศาสตร์เพื่อการพัฒนาที่ดิน กรมพัฒนาที่ดิน ส่วนการทดลองในพื้นที่เกษตรกร จำนวน 4 ราย นั้น ทำการทดลองอัตราปุ๋ยเคมี 5 อัตราเหมือนกับ การทดลองสมบูรณ์แบบ คือ อัตราการใส่ปุ๋ยในกรรมวิธีที่ 1- 5 ยกเว้น กรรมวิธีที่ 6 ที่ไม่มี สำหรับกรรมวิธีทดลองที่ใช้ในระยะที่ 2 (ปี 2558) ได้ใช้อัตราการใส่ปุ๋ยในกรรมวิธีที่ 1 – 4 เหมือนกับที่ใช้ในการทดลองในระยะที่ 1 (ปี 2556 – 2557) แต่ในกรรมวิธีที่ 5 และ 6 ปรับเปลี่ยนดังนี้ กรรมวิธีที่ 5 ใส่ปุ๋ย N , P และ K ในอัตราสูงสุดที่กรมวิชาการเกษตรแนะนำสำหรับการปลูกพืชผักที่ใช้รับประทานต้นและใบ ส่วนกรรมวิธีที่ 6 อัตราการใส่ปุ๋ย N , P และ K ใช้หลักการเดียวกันกับที่ใช้ในกรรมวิธีที่ 3 แต่ใช้ค่าวิเคราะห์ดินโดย LDD soil test kit พืชผักที่ทดสอบ มี 3 ชนิด ได้แก่ ผักกาดกวางตุ้ง ผักคะน้า และ ต้นหอมแบ่ง พื้นที่ที่ใช้ทดลองมีดังนี้ พื้นที่สถานีพัฒที่ดินลำพูน บ้านจำขี้มด ม.2 ต.ศรีบัวบาน อ.เมือง จ.ลำพูน , บ้านพันตาเกิน ม. 5 ต.ต้นธง อ.เมือง จ.ลำพูน และ บ้านตีนดอย ม. 2 ต.มะกอก อ.ป่าซาง จ.ลำพูน ส่วนการทดลองในพื้นที่เกษตรกร จำนวน 4 ราย ดำเนินการในพื้นที่ บ้านหวาย ม.3 ต.มะกอก อ.เมือง จ.ลำพูน , บ้านพันตาเกิน ม. 5 ต.ต้นธง อ.เมือง จ.ลำพูน และ บ้านตีนดอย ม. 2 ต.มะกอก อ.ป่าซาง จ.ลำพูน ผลการทดลองพบว่า ทุกกรรมวิธีที่มีการใส่ปุ๋ยเคมีทำให้ผลผลิตของพืชผักทั้ง 3 ชนิด เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติเมื่อเปรียบเทียบกับการไม่ใส่ปุ๋ยเคมีในทั้ง 3 ปีของการทดลอง และอัตราการใส่ปุ๋ยตามกรรมวิธีที่ 2 , 3 , 4 , 5 และ 6 ไม่ได้ทำให้พืชผักทั้งสามชนิด มีผลผลิตผักสดแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยผักกาดกวางตุ้งในการทดลองปีแรก (ปี 2556) ให้ผลผลิต 3,373 , 2,872 , 4,330 , 3,107 และ 2,893 กิโลกรัมต่อไร่ ตามลำดับ ส่วนผักคะน้าในการทดลองปีที่สอง (ปี 2557) ให้ผลผลิตน้ำหนักสด 1,917 , 1,662 , 1,571 , 1,764 และ 1,671 กิโลกรัมต่อไร่ ตามลำดับ และต้นหอมแบ่งในการทดลองปีที่สอง (ปี 2557) ให้ผลผลิตน้ำหนัก 4,907 , 5,053 , 4,880 , 4,434 และ 4,702 กิโลกรัมต่อไร่ ตามลำดับ ในการทดลองปีที่สาม (ปี 2558) พบว่าผักคะน้าที่ได้รับปุ๋ยอัตราเกษตรกร (กรรมวิธีที่ 2) ให้ผลผลิตน้ำหนักสด 2,942 กิโลกรัมต่อไร่ ซึ่งต่ำกว่าผักคะน้าที่ได้รับปุ๋ยตามกรรมวิธีที่ 3 , 5 และ 6 ที่ให้ผลผลิตน้ำหนักสด 3,784 , 3,954 และ 3,724 กิโลกรัมต่อไร่ ตามลำดับ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ สำหรับการใส่ปุ๋ยตามกรรมวิธีที่ 4 ให้ผลผลิตน้ำหนักสดผักคะน้าไม่แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติจากการใส่ปุ๋ยในกรรมวิธีที่ 2 , 3 , 5 และ 6 สำหรับต้นหอมแบ่ง พบว่าการใส่ปุ๋ยเคมีในกรรมวิธีที่ 2 , 3 , 4 และ 5 ให้น้ำหนักสดของต้นหอมแบ่ง 3,732 , 4,117 , 4,075 และ 3,917 กิโลกรัมต่อไร่ ตามลำดับ ซึ่งทั้งสามกรรมวิธีไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ส่วนกรรมวิธีที่ 6 ทำให้น้ำหนักสดของต้นหอมแบ่งสูงที่สุด คือ 4,376 กิโลกรัมต่อไร่ แต่ไม่แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถติเมื่อเปรียบเทียบกับกรรมวิธีที่ 3 และ 4 สำหรับการทดลองในพื้นที่เกษตรกร พบว่า ผลผลิตของพืชผักที่ทดสอบผันแปรตามพื้นที่ แต่ลักษณะการตอบสนองของพืชผักต่อกรรมวิธีทดลองคล้ายคลึงกัน คือ การใส่ปุ๋ยเคมี ทำให้ผลผลิตผักสูงกว่าการไม่ใส่ปุ๋ย และอัตราการใส่ปุ๋ยตามกรรมวิธีที่ 3 , 4 , 5 และ 6 ในพื้นที่ทดสอบส่วนใหญ่ ให้ผลผลิตมากกว่าการใส่ปุ๋ยอัตราของเกษตรกร ทั้งที่ปริมาณธาตุอาหารที่ใส่น้อยกว่า ยกเว้นกรณีเดียว คือ ผักคะน้า ซึ่งพบว่ามีเพียงพื้นที่ของเกษตรกรรายเดียว ที่การใส่ปุ๋ยอัตราของเกษตรกร ให้ผลผลิตสูงกว่าการใส่ปุ๋ยอัตราอื่นเพียงเล็กน้อย ในด้านของต้นทุนการผลิตด้านปุ๋ย พบว่ากรรมวิธีที่ 2 ซึ่งเป็นวิธีของเกษตรกร มีต้นทุนการผลิตสูงที่สุด ในขณะที่ต้นทุนด้านปุ๋ยในกรรมวิธีที่ 4 ใช้ต้นทุนการผลิตด้านปุ๋ยน้อยที่สุด โดยไม่มีผลทำให้ผลผลิตลดลง ผลการทดลองนี้ชี้ให้เห็นว่าการใช้ค่าวิเคราะห์ดิน ความต้องการธาตุอาหารของพืชผักและผลผลิต ในการกำหนดอัตราการใส่ปุ๋ยสำหรับพืชผักมีความเหมาะสมมากกว่าการใช้ค่าวิเคราะห์ดินอย่างเดียว เพราะนอกจากจะสามารถลดต้นทุนการผลิตแล้วยังเหมาะสมกับดินและพืช และการกำหนดอัตราการใส่ N , P และ K โดยพิจารณาค่าวิเคราะห์ดินอย่างเดียว หรือพิจารณาค่าวิเคราะห์ดินควบคู่กับข้อมูลด้านพืช สามารถลดต้นทุนการผลิตด้านปุ๋ยเคมีลงได้ เมื่อเปรียบเทียบกับกับการใส่ปุ๋ยอัตราเกษตรกร โดยผลผลิตไม่ลดลง และการใช้ชุดตรวจสอบดินภาคสนามในการวิเคราะห์ดิน สามารถให้คำแนะนำปุ๋ยที่สอดคล้องกับคำแนะนำของกรมวิชาการเกษตร
บทคัดย่อ (EN): The fertilizer trials for vegetables cultivation in Lamphun province were conducted in 2013 – 2015 in order to find out the possibility of using soil analysis by soil test kit of Land Development Department (LDD) for fertilizer recommendation. The trials were devided into two working steps. In the first step in 2013 and 2014, there were field experiments for comparison of different fertilizer rates estimated from various criteria. In the second step in 2015 the selected fertilizer rates were compared with the rate estimated from soil analysis by LDD soil test kit and the recommendation of Department of Agriculture. There were 2 types of field experiments conducted in the first two years. Each experiment in the first type was set up by using randomized complete block design with 4 replications and 6 treatments while those in the second type were on farm trials in which 4 farmers were participated for each vegetable and each farmer tested five fertilizer rates with one replication. The treatments used in the first working step for the first type (RCBD) of field experiments for each tested vegetable crop was as follow 1) control without chemical fertilizer application , 2) chemical fertilizer application at the farmer rate , 3) chemical fertilizer application at the recommended rate of Deparment of Agriculture ; DOA , 4) application of N fertilizer by considering N released from soil organic N uptake of the tested vegetable crop at the expected yield and 50 % N fertilizer use efficiency P and K fertilizer application rate by considering soil analysis data of available P and exchangeable K and critical level of available P and exchangeable K , 5) N , P and K fertilizer application rates by considering N , P and K uptake of the tested vegetable at the expected yield soil analysis data of available P and exchangeable K and adding more N , P and K fertilizers to compensate the lost from leaching at 30 % of N , P and K uptake , 6) chemical fertilizer application rate according to soil testing data and recommendation of mobile unit, Land development department. While on farm trials in which 4 farmers the rate of chemical fertilizers for treatment 1 , 2 , 3 , 4 and 5 were the same as those used in the frist type (RCBD) but no have Tr.6. In the third year, the rate of chemical fertilizers for treatment 1 , 2 , 3 and 4 were the same as those used in the frist two years but the rates for treatment 5 and 6 were changed as follows, Tr.5) N , P and K fertilizer application at the maximum recommended rates of DOA for leafy vegetable crops, Tr.6) N , P and K fertilizer application rate by considering soil analysis by LDD soil test kit and recommendation of DOA. The tested vegetable crops were mustard , Chinese kale and spring onion. The experimental sites for type 1 experiments were as follows. On farm trials were conducted in 4 selected farmers fields at 1) Lamphun Land Development Station , Jum Ki Mod village, Sibuaban Sub-district, Muang District, Lamphun province , 2) Phan Ta Kuen village, Tonthong Sub-district, Muang District, Lamphun province , 3) Teen Doi village, Makok Sub-district, Pasang District, Lamphun province and 4) Wai village, Makok Sub-district, Pasang District, Lamphun province. The experimental results from all three years incidicated that all treatments with chemical fertilizer application increased significantly fresh weight yields of all tested vegetable crops compared to those in control treatments. There were no significant different of fresh weight yields of the tested vegetable crops among treatment 2 , 3 , 4 , 5 and 6 with the following yields 3,373 , 2,872 , 4,330 , 3,107 and 2,893 kg/rai for mustard in 2013 , while 1,917 , 1,662 , 1,571 , 1,764 and 1,671 kg/rai for Chinese kale in 2014 and 4,907 , 5,053 , 4,880 , 4,434 and 4,702 kg/rai for spring onion. In the third year trials, it was found that fresh weight yield of Chinese kale in Tr.2 was 2,942 kg/rai which was significantly lower than those from Tr.3 , 5 and 6 with the yield of 3,784 , 3,954 and 3,724 kg/rai respectively. Fresh weight yield of Chinese kale from Tr.4 was not significantly different from those from Tr.2 , 3 , 5 and 6 . For sping onion, there were no significantly differences of fresh weight yield among Tr.2 , 3 and 4 with the foolowing yields, 3,732 , 4,117 , 4,075 and 3,917 kg/rai rai respectively. Treatment 4 gave the highest fresh weight yield of spring onion (4,376 kg/rai) but this treatment was not different significantly from Tr.3. The experimental results from on farm trials indicated that there were variation of the fresh weight yields of the tested vegetable crops among the selected farmer sites but the responsive patterns of the tested vegetable crops to fertilizer treatments were rather similar. In all sites, fresh weight yields of the tested vegetable crops in the fertilizer applied plots were higher than the control and in most sites, the fresh weight yields of the tested vegetables from Tr.3 , 4 , 5 and 6 were higher than Tr.2 except one case from 1 site which the yield from Tr.2 was slightly higher than the other treatments. Regarding to the cost of input for fertilizer, it was found that treatment 2 required the highest cost while that for Tr.4 was lowerst but without the effect on yield reduction The experimental results from this study suggested that for vegetable cultivation in Lamphun fertilizer rate estimated from soil analysis data , plant nutrient requirement and yield (Tr.4) was more suitable than those which based on soil analysis only because such rate could reduce the cost of fertilizer and was fit for soil quality and the requirement of crops. The fertilizer rate recommendation by considering soil analysis data alone or considering both soil analysis and plant data could reduce the cost of input on fertilizer when comparing to the farmer rate without yield reduction. The soil analysis data from LDD soil test kit could be used for fertilizer recommendation and such recommended rate agreed with that from DOA.
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เอกสารแนบ: http://dric.nrct.go.th/Search/SearchDetail/291918
เผยแพร่โดย: กรมพัฒนาที่ดิน
คำสำคัญ: ธาตุอาหารพืช
เจ้าของลิขสิทธิ์: สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
การใช้ประโยชน์ของชุดตรวจดินภาคสนามสำหรับให้คำแนะนำปุ๋ยในการปลูกผัก ในจังหวัดลำพูน
กรมพัฒนาที่ดิน
30 กันยายน 2558
การใช้ประโยชน์ของชุดตรวจดินภาคสนามสำหรับให้คำแนะนำปุ๋ยในการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ในจังหวัดเชียงใหม่ การใช้ประโยชน์ของชุดตรวจดินภาคสนามสำหรับให้คำแนะนำปุ๋ยในการปลูกผัก ในพื้นที่โครงการหลวง การใช้ประโยชน์ของชุดตรวจดินภาคสนามสำหรับให้คำแนะนำปุ๋ยในการปลูกข้าว ในจังหวัดเชียงใหม่ การใช้ประโยชน์ของชุดตรวจดินภาคสนามสำหรับให้คำแนะนำปุ๋ยในการปลูกข้าว ในจังหวัดนครสวรรค์ การใช้ประโยชน์ชุดตรวจดินภาคสนามกรมพัฒนาที่ดินสำหรับให้คำแนะนำปุ๋ยสำหรับการปลูกผักในจังหวัดเชียงราย การใช้ประโยชน์ชุดตรวจดินภาคสนามกรมพัฒนาที่ดินสำหรับให้คำแนะนำปุ๋ยสำหรับการปลูกข้าวโพดในจังหวัดแพร่และน่าน การใช้ประโยชน์ชุดตรวจดินภาคสนามกรมพัฒนาที่ดินสำหรับให้คำแนะนำปุ๋ยสำหรับการปลูกข้าวโพดในจังหวัดแพร่ การใช้ประโยชน์ชุดตรวจดินภาคสนามกรมพัฒนาที่ดินสำหรับให้คำแนะนำปุ๋ยสำหรับการปลูกข้าวในจังหวัดน่าน การใช้ประโยชน์ของชุดตรวจดินภาคสนามสำหรับให้คำแนะนำปุ๋ยในการปลูกข้าวโพด ในจังหวัดลำพูน การใช้ประโยชน์ชุดตรวจดินภาคสนามกรมพัฒนาที่ดินสำหรับให้คำแนะนำปุ๋ยสำหรับการปลูกข้าวในจังหวัดลำพูน
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก