สืบค้นงานวิจัย
การศึกษาปริมาณและองค์ประกอบเคมีเพื่อการผลิตเอทานอลจากสาหร่ายทะเลในประเทศไทย
อนงค์ จีรภัทร์ - มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ชื่อเรื่อง: การศึกษาปริมาณและองค์ประกอบเคมีเพื่อการผลิตเอทานอลจากสาหร่ายทะเลในประเทศไทย
ชื่อเรื่อง (EN): Study on yield and component of polysaccharide for ethanol production from seaweed in Thailand
บทคัดย่อ: คัดเลือกสาหร่ายทะเล 11 ชนิด ประกอบด้วยสาหร่ายสีเขียว 6 ชนิด (Caulerpa racemosa, Caulerpa racemosa var. corynephora, C. lentillifera, Ulva reticulata, U. intestinalis, Rhizoclonium riparium) สาหร่ายสีน้ำตาล 2 ชนิด ( Padina australis, Sargassum polycystum) สาหร่ายสีแดง 3 ชนิด (Acanthophora spicifera, Gracilaria tenuistipitata, G. salicornia) นำมาตรวจวิเคราะห์ปริมาณและองค์ประกอบทางเคมี เพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานในการใช้สาหร่ายทะเลผลิตเอทานอลเพื่อเป็นทางเลือกของพืชพลังงานภายในประเทศ ผลการตรวจวิเคราะห์พบว่า Caulerpa racemosa มีปริมาณโปรตีน (22.55 ? 0.60 %) และเส้นใย (18.20 ? 0.08 %) สูงสุด ในขณะที่ Acanthophora spicifera มีปริมาณเถ้ามากที่สุด (45.74 ? 0.00%) ปริมาณไขมันมีค่าต่ำในสาหร่ายทุกชนิดที่ศึกษา โดยมีค่าสูงสุดใน Caulerpa racemosa (1.72 ? 0.07%) และ Gracilaria salicornia (1.69 ? 0.07%) ไม่แตกต่างกันทางสถิติ (p < 0.05) และปริมาณไขมันมีค่าต่ำสุดใน Rhizoclonium riparium (0.28 ? 0.01%) และ Gracilaria tenuistipitata (0.26 ? 0.01%) ปริมาณคาร์โบไฮเดรตมีค่าสูงสุดใน Ulva reticulata (56.68%) และต่ำสุดใน Acanthophora spicifera (18.68%) ผลจากการศึกษาในครั้งนี้ ชี้ให้เห็นเบื้องต้นว่า สาหร่ายทะเลสีเขียวในสกุล Ulva โดยเฉพาะ U. reticulata และสาหร่ายทะเลสีแดงสกุล Gracilaria โดยเฉพาะ G. tenuistipitata ปริมาณคาร์โบไฮเดรตมีค่าสูง และมีองค์ประกอบน้ำตาลรวมที่ประกอบด้วยน้ำตาลกลูโคส รวมทั้งกาแลคโตสที่สูง เมื่อเทียบกับสาหร่ายชนิดอื่นที่ศึกษา และเป็นชนิดที่มีการแพร่กระจายมาก สามารถเลี้ยงและให้ชีวมวลจำนวนมากได้ จึงมีความเป็นไปได้ที่จะนำไปพัฒนาเป็นพืชพลังงานเพื่อการผลิตเอทานอลต่อไป คัดเลือกสาหร่ายทะเล 11 ชนิด ประกอบด้วยสาหร่ายสีเขียว 6 ชนิด (Caulerpa racemosa, Caulerpa racemosa var. corynephora, C. lentillifera, Ulva reticulata, U. intestinalis, Rhizoclonium riparium) สาหร่ายสีน้ำตาล 2 ชนิด ( Padina australis, Sargassum polycystum) สาหร่ายสีแดง 3 ชนิด (Acanthophora spicifera, Gracilaria tenuistipitata, G. salicornia) นำมาตรวจวิเคราะห์ปริมาณและองค์ประกอบทางเคมี เพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานในการใช้สาหร่ายทะเลผลิตเอทานอลเพื่อเป็นทางเลือกของพืชพลังงานภายในประเทศ ผลการตรวจวิเคราะห์พบว่า Caulerpa racemosa มีปริมาณโปรตีน (22.55 ? 0.60 %) และเส้นใย (18.20 ? 0.08 %) สูงสุด ในขณะที่ Acanthophora spicifera มีปริมาณเถ้ามากที่สุด (45.74 ? 0.00%) ปริมาณไขมันมีค่าต่ำในสาหร่ายทุกชนิดที่ศึกษา โดยมีค่าสูงสุดใน Caulerpa racemosa (1.72 ? 0.07%) และ Gracilaria salicornia (1.69 ? 0.07%) ไม่แตกต่างกันทางสถิติ (p < 0.05) และปริมาณไขมันมีค่าต่ำสุดใน Rhizoclonium riparium (0.28 ? 0.01%) และ Gracilaria tenuistipitata (0.26 ? 0.01%) ปริมาณคาร์โบไฮเดรตมีค่าสูงสุดใน Ulva reticulata (56.68%) และต่ำสุดใน Acanthophora spicifera (18.68%) ผลจากการศึกษาในครั้งนี้ ชี้ให้เห็นเบื้องต้นว่า สาหร่ายทะเลสีเขียวในสกุล Ulva โดยเฉพาะ U. reticulata และสาหร่ายทะเลสีแดงสกุล Gracilaria โดยเฉพาะ G. tenuistipitata ปริมาณคาร์โบไฮเดรตมีค่าสูง และมีองค์ประกอบน้ำตาลรวมที่ประกอบด้วยน้ำตาลกลูโคส รวมทั้งกาแลคโตสที่สูง เมื่อเทียบกับสาหร่ายชนิดอื่นที่ศึกษา และเป็นชนิดที่มีการแพร่กระจายมาก สามารถเลี้ยงและให้ชีวมวลจำนวนมากได้ จึงมีความเป็นไปได้ที่จะนำไปพัฒนาเป็นพืชพลังงานเพื่อการผลิตเอทานอลต่อไป
บทคัดย่อ (EN): Eleven species of seaweed included 6 species of green algae (Caulerpa racemosa, C. racemosa var. corynephora, C. lentillifera, Ulva reticulata, U, intestinalis, Rhizoclonium riparium), 2 species of brown algae (Padina australis, Sargassum polycystum) and 3 species of red algae (Acanthophora spicifera, Gracilaria tenuistipitata, G. salicornia) were examined. Yield and chemical composition of the selected algae were analyzed to utilize seaweed as alternative energy crops in the country. The results showed that Caulerpa racemosa obtained the highest content of protein (22.55 ? 0.60 %) and fiber (18.20 ? 0.08 %). Ash content obtained the highest value in Acanthophora spicifera (45.74 ? 0.00%). All species examined showed low lipid values. The highest lipid values (p < 0.05) were obtained in Caulerpa racemosa (1.72 ? 0.07%) and Gracilaria salicornia (1.69 ? 0.07%), which there were not significantly different (p < 0.05). The lowest content of lipid was obtained in Rhizoclonium riparium (0.28 ? 0.01%) and Gracilaria tenuistipitata (0.26 ? 0.01%). The highest content of carbohydrate obtained from Ulva reticulata (56.68%) while the lowest value was in Acanthophora spicifera (18.68 The results indicated that the green seaweed Ulva reticulata and the red seaweed Gracilaria tenuistipitata had high content of carbohydrate with high component of glucose and galactose. This study suggests that these two species had a potential for further development of ethanol production.Eleven species of seaweed included 6 species of green algae (Caulerpa racemosa, C. racemosa var. corynephora, C. lentillifera, Ulva reticulata, U, intestinalis, Rhizoclonium riparium), 2 species of brown algae (Padina australis, Sargassum polycystum) and 3 species of red algae (Acanthophora spicifera, Gracilaria tenuistipitata, G. salicornia) were examined. Yield and chemical composition of the selected algae were analyzed to utilize seaweed as alternative energy crops in the country. The results showed that Caulerpa racemosa obtained the highest content of protein (22.55 ? 0.60 %) and fiber (18.20 ? 0.08 %). Ash content obtained the highest value in Acanthophora spicifera (45.74 ? 0.00%). All species examined showed low lipid values. The highest lipid values (p < 0.05) were obtained in Caulerpa racemosa (1.72 ? 0.07%) and Gracilaria salicornia (1.69 ? 0.07%), which there were not significantly different (p < 0.05). The lowest content of lipid was obtained in Rhizoclonium riparium (0.28 ? 0.01%) and Gracilaria tenuistipitata (0.26 ? 0.01%). The highest content of carbohydrate obtained from Ulva reticulata (56.68%) while the lowest value was in Acanthophora spicifera (18.68 The results indicated that the green seaweed Ulva reticulata and the red seaweed Gracilaria tenuistipitata had high content of carbohydrate with high component of glucose and galactose. This study suggests that these two species had a potential for further development of ethanol production.
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เผยแพร่โดย: มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
คำสำคัญ: สาหร่ายทะเล
เจ้าของลิขสิทธิ์: สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง

อนงค์ จีรภัทร์. "การศึกษาปริมาณและองค์ประกอบเคมีเพื่อการผลิตเอทานอลจากสาหร่ายทะเลในประเทศไทยStudy on yield and component of polysaccharide for ethanol production from seaweed in Thailand". มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. 2553

อนงค์ จีรภัทร์. "การศึกษาปริมาณและองค์ประกอบเคมีเพื่อการผลิตเอทานอลจากสาหร่ายทะเลในประเทศไทยStudy on yield and component of polysaccharide for ethanol production from seaweed in Thailand". มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. 2553. Print.



TARR Wordcloud:
การศึกษาปริมาณและองค์ประกอบเคมีเพื่อการผลิตเอทานอลจากสาหร่ายทะเลในประเทศไทย
อนงค์ จีรภัทร์
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
30 กันยายน 2553
โครงการวิจัยและพัฒนาพันธุ์อ้อยเพื่อการผลิตเอทานอล การศึกษาต้นแบบการผลิตเอทานอลจากกากมันสำปะหลัง การวิจัยและพัฒนาการผลิตเอทานอลจากข้าวฟางหวาน การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตเอทานอลจากทะลายเปล่าปาล์มน้ำมันด้วยเชื้อ K. marxianus mutant 166 เส้นจันท์สาหร่ายทะเล ผลของวิธีการเตรียมวัตถุดิบและการเปรียบเทียบกิจกรรมของเซลลูเลสและรา Trichoderma reesei ที่มีต่อการผลิตเอทานอลจากเปลือกผลไม้รวม การศึกษาศักยภาพการผลิตเอทานอลจากมันเทศ การจำลองการผลิตเอทานอลจากน้ำคั้นข้าวฟ่างหวานโดยใช้เทคโนโลยี Very High Gravity การศึกษาวิธีการจัดการและยืดอายุการเก็บรักษาคุณภาพสาหร่ายทะเล การปรับปรุงสายพันธุ์ยีสต์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตเอทานอลในสภาวะที่มีแรงดันออสโมซิสและความเข้มข้นของเอทานอลสูง
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก
พัฒนาระบบโดยศูนย์ความรู้เฉพาะด้านวิศวกรรมความรู้และวิศวกรรมภาษาDeveloped by Center of Excellence for Unified Knowledge and Language Engineering
สนับสนุนโดยสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน)Supported by the Agricultural Research Development Agency (Public Organization)
แบบสำรวจความพึงพอใจQuestionair