สืบค้นงานวิจัย
การผลิตไอศกรีมลูกยอ
บุญช่วย มะลิหอม - มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์
ชื่อเรื่อง: การผลิตไอศกรีมลูกยอ
ชื่อเรื่อง (EN): Production of noni icecream
ผู้แต่ง / หัวหน้าโครงการ: บุญช่วย มะลิหอม
บทคัดย่อ: ไอศกรีมเป็นผลิตภัณฑ์ชนิดหนึ่งที่มีปริมาณไขมันสูงจึงเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความสนใจน้อยจากผู้บริโภคที่สนใจสุขภาพ แต่การผลิตไอศกรีมสมุนไพรจะทำให้ไอศกรีมได้รับความสนใจมากขึ้น และประเทศไทยก็มีพืชสมุนไพรจำนวนมากที่สามารถนำมาผลิตไอศกรีมได้ซึ่งลูกยอก็นับเป็นพืชที่มีคุณค่าทางสมุนไพรที่น่าสนใจชนิดหนึ่ง ดังนั้นไอศกรีมลูกยอจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค จากการศึกษาสูตรพื้นฐานของไอศกรีม โดยแปรปริมาณสเตบิไลเซอร์ ซึ่งใช้โลคัสบีนกัมเป็น 3 ระดับ คือ 0.2% 0.3% และ 0.4% ของน้ำหนักไอศกรีมมิกซ์ พบว่าผลการทดสอบทางประสาทสัมผัสด้านความเรียบเนียน ความสากลิ้น และการยอมรับรวมของไอศกรีมที่ได้จากการแปรปริมาณสเตบิไลเซอร์เป็น 3 ระดับไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P>0.05) แต่ด้านความเหนียวไอศกรีมที่เติมสเตบิไลเซอร์ 0.4% มีคะแนนเฉลี่ย 6.43 ซึ่งสูงกว่าไอศกรีมที่เติมสเตบิไลเซอร์ 0.3% และ 0.2% อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (Pฃ0.05) แต่แนวโน้มของคะแนนเฉลี่ยด้านความชอบรวมไอศกรีมที่เติมสเตบิไลเซอร์ 0.3% มีคะแนนสูงสุดและเมื่อพิจารณาด้านโอเวอร์รันและอัตราการละลาย พบว่าไอศกรีมที่เติม สเตบิไลเซอร์ 0.4% มีโอเวอร์รันสูงกว่าไอศกรีมที่เติมสเตบิไลเซอร์ 0.2% อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (Pฃ0.05) โดยมีโอเวอร์รัน 39.96% และ 33.36% ตามลำดับ แต่ไอศกรีมที่เติมสเตบิไลเซอร์ 0.4% และ 0.2% ไม่มีความแตกต่างกันกับไอศกรีมที่เติมสเตบิไลเซอร์ 0.3% อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P>0.05) ซึ่งไอศกรีมที่เติมสเตบิไลเซอร์ 0.3% มีโอเวอร์รัน 36.47% ส่วนอัตราการละลาย พบว่าไอศกรีมที่เติมสเตบิไลเซอร์ 0.4% มีอัตราการละลายเป็น 0.045 กรัมต่อนาที ซึ่งต่ำกว่าไอศกรีมที่เติมสเตบิไลเซอร์ 0.3% และ 0.2% อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (Pฃ0.05) ตามลำดับ โดยไอศกรีมที่มีคุณภาพทางกายภาพและทางประสาทสัมผัสเป็นที่ยอมรับมากที่สุด คือ ไอศกรีมที่ใช้สเตบิไลเซอร์ 0.3% ดังนั้นจึงเลือกใช้ปริมาณสเตบิไลเซอร์ 0.3% เพื่อใช้ในการผลิตไอศกรีมลูกยอจากการศึกษาวิธีการเตรียมพิวรีลูกยอเพื่อใช้ในการผลิตไอศกรีมโดยแปรปริมาณอัตราส่วนน้ำตาลต่อลูกยอเป็น 3 อัตราส่วน คือ 1: 6 1: 5 และ 1: 4 แล้วนำพิวรีลูกยอเติมในไอศกรีมที่ได้เลือกสูตรที่ใช้สเตบิไลเซอร์ 0.3% พบว่าผลการทดสอบทางประสาทสัมผัสด้านการกระจายตัว ของพิวรี กลิ่นลูกยอ และความขมของไอศกรีมลูกยอทั้ง 3 อัตราส่วน ไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P>0.05) และเมื่อพิจารณาคะแนนเฉลี่ยด้านสี ความสากลิ้น ความเหนียว ความหวาน และการยอมรับรวม พบว่าไอศกรีมที่ใช้ปริมาณอัตราส่วนน้ำตาลต่อลูกยอเป็น 1: 4 มีคะแนนเฉลี่ยเป็น 4.74 6.13 5.34 6.46 และ 7.15 ตามลำดับ ซึ่งสูงกว่าไอศกรีมที่ใช้ปริมาณ อัตราส่วนน้ำตาลต่อลูกยอเป็น 1: 5 และ 1: 6 และไอศกรีมที่ใช้ปริมาณอัตราส่วนน้ำตาลต่อ ลูกยอเป็น 1: 4 มีความหวานมากกว่าไอศกรีมที่ใช้ปริมาณ อัตราส่วนน้ำตาลต่อลูกยอเป็น 1: 6 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (Pฃ0.05) ส่วนความหวานไอศกรีมลูกยอทั้ง 3 อัตราส่วน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (Pฃ0.05) และเมื่อพิจารณาด้านโอเวอร์รัน อัตราการละลายและค่าสี L a b พบว่าไอศกรีมลูกยอทั้ง 3 อัตราส่วน มีโอเวอร์รัน อัตราการละลาย และค่าสี L b ไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P>0.05) แต่ค่าสี a ไอศกรีมที่ใช้อัตราส่วนน้ำตาลต่อลูกยอ 1: 4 มีค่าสีเป็น +0.18 ซึ่งสูงกว่าไอศกรีมที่ใช้อัตราส่วนน้ำตาลต่อลูกยอเป็น 1: 6 และ 1: 5 อย่างมี นัยสำคัญทางสถิติ (Pฃ0.05) โดยไอศกรีมที่มีคุณภาพทางกายภาพและทางประสาทสัมผัสเป็นที่ยอมรับมากที่สุด คือ ไอศกรีมที่ใช้สเตบิไลเซอร์ 0.3% และเติมพิวรีลูกยอที่ใช้อัตราส่วนน้ำตาลต่อลูกยอ 1: 4 จากผลการวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมีและทางจุลินทรีย์ พบว่าไอศกรีมที่เติม สเตบิไลเซอร์ 0.3% และเติมพิวรีลูกยอที่ใช้อัตราส่วนน้ำตาลต่อเนื้อลูกยอ 1: 4 มีปริมาณของแข็ง ทั้งหมด 29.61% เถ้า 0.79% ไขมัน 9.72% โปรตีน 2.52% มีจำนวนจุลินทรีย์ทั้งหมด 2.4 x 102 โคโลนีต่อมิลลิลิตร และไม่พบแบคทีเรียกลุ่มโคลิฟอร์มในไอศกรีมลูกยอ 100 มิลลิลิตร ซึ่งปลอดภัยและผ่านเกณฑ์มาตราฐานตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับ 222) พ.ศ. 2544 เรื่อง ไอศกรีม
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เอกสารแนบ: http://dcms.thailis.or.th/dcms/dccheck.php?Int_code=36&RecId=52&obj_id=343
เผยแพร่โดย: มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์
คำสำคัญ: ไอศกรีม
คำสำคัญ (EN): 641.862
เจ้าของลิขสิทธิ์: มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ฯ
รายละเอียด: ไอศกรีมเป็นผลิตภัณฑ์ชนิดหนึ่งที่มีปริมาณไขมันสูงจึงเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความสนใจน้อยจากผู้บริโภคที่สนใจสุขภาพ แต่การผลิตไอศกรีมสมุนไพรจะทำให้ไอศกรีมได้รับความสนใจมากขึ้น และประเทศไทยก็มีพืชสมุนไพรจำนวนมากที่สามารถนำมาผลิตไอศกรีมได้ซึ่งลูกยอก็นับเป็นพืชที่มีคุณค่าทางสมุนไพรที่น่าสนใจชนิดหนึ่ง ดังนั้นไอศกรีมลูกยอจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค จากการศึกษาสูตรพื้นฐานของไอศกรีม โดยแปรปริมาณสเตบิไลเซอร์ ซึ่งใช้โลคัสบีนกัมเป็น 3 ระดับ คือ 0.2% 0.3% และ 0.4% ของน้ำหนักไอศกรีมมิกซ์ พบว่าผลการทดสอบทางประสาทสัมผัสด้านความเรียบเนียน ความสากลิ้น และการยอมรับรวมของไอศกรีมที่ได้จากการแปรปริมาณสเตบิไลเซอร์เป็น 3 ระดับไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P>0.05) แต่ด้านความเหนียวไอศกรีมที่เติมสเตบิไลเซอร์ 0.4% มีคะแนนเฉลี่ย 6.43 ซึ่งสูงกว่าไอศกรีมที่เติมสเตบิไลเซอร์ 0.3% และ 0.2% อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (Pฃ0.05) แต่แนวโน้มของคะแนนเฉลี่ยด้านความชอบรวมไอศกรีมที่เติมสเตบิไลเซอร์ 0.3% มีคะแนนสูงสุดและเมื่อพิจารณาด้านโอเวอร์รันและอัตราการละลาย พบว่าไอศกรีมที่เติม สเตบิไลเซอร์ 0.4% มีโอเวอร์รันสูงกว่าไอศกรีมที่เติมสเตบิไลเซอร์ 0.2% อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (Pฃ0.05) โดยมีโอเวอร์รัน 39.96% และ 33.36% ตามลำดับ แต่ไอศกรีมที่เติมสเตบิไลเซอร์ 0.4% และ 0.2% ไม่มีความแตกต่างกันกับไอศกรีมที่เติมสเตบิไลเซอร์ 0.3% อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P>0.05) ซึ่งไอศกรีมที่เติมสเตบิไลเซอร์ 0.3% มีโอเวอร์รัน 36.47% ส่วนอัตราการละลาย พบว่าไอศกรีมที่เติมสเตบิไลเซอร์ 0.4% มีอัตราการละลายเป็น 0.045 กรัมต่อนาที ซึ่งต่ำกว่าไอศกรีมที่เติมสเตบิไลเซอร์ 0.3% และ 0.2% อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (Pฃ0.05) ตามลำดับ โดยไอศกรีมที่มีคุณภาพทางกายภาพและทางประสาทสัมผัสเป็นที่ยอมรับมากที่สุด คือ ไอศกรีมที่ใช้สเตบิไลเซอร์ 0.3% ดังนั้นจึงเลือกใช้ปริมาณสเตบิไลเซอร์ 0.3% เพื่อใช้ในการผลิตไอศกรีมลูกยอจากการศึกษาวิธีการเตรียมพิวรีลูกยอเพื่อใช้ในการผลิตไอศกรีมโดยแปรปริมาณอัตราส่วนน้ำตาลต่อลูกยอเป็น 3 อัตราส่วน คือ 1: 6 1: 5 และ 1: 4 แล้วนำพิวรีลูกยอเติมในไอศกรีมที่ได้เลือกสูตรที่ใช้สเตบิไลเซอร์ 0.3% พบว่าผลการทดสอบทางประสาทสัมผัสด้านการกระจายตัว ของพิวรี กลิ่นลูกยอ และความขมของไอศกรีมลูกยอทั้ง 3 อัตราส่วน ไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P>0.05) และเมื่อพิจารณาคะแนนเฉลี่ยด้านสี ความสากลิ้น ความเหนียว ความหวาน และการยอมรับรวม พบว่าไอศกรีมที่ใช้ปริมาณอัตราส่วนน้ำตาลต่อลูกยอเป็น 1: 4 มีคะแนนเฉลี่ยเป็น 4.74 6.13 5.34 6.46 และ 7.15 ตามลำดับ ซึ่งสูงกว่าไอศกรีมที่ใช้ปริมาณ อัตราส่วนน้ำตาลต่อลูกยอเป็น 1: 5 และ 1: 6 และไอศกรีมที่ใช้ปริมาณอัตราส่วนน้ำตาลต่อ ลูกยอเป็น 1: 4 มีความหวานมากกว่าไอศกรีมที่ใช้ปริมาณ อัตราส่วนน้ำตาลต่อลูกยอเป็น 1: 6 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (Pฃ0.05) ส่วนความหวานไอศกรีมลูกยอทั้ง 3 อัตราส่วน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (Pฃ0.05) และเมื่อพิจารณาด้านโอเวอร์รัน อัตราการละลายและค่าสี L a b พบว่าไอศกรีมลูกยอทั้ง 3 อัตราส่วน มีโอเวอร์รัน อัตราการละลาย และค่าสี L b ไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P>0.05) แต่ค่าสี a ไอศกรีมที่ใช้อัตราส่วนน้ำตาลต่อลูกยอ 1: 4 มีค่าสีเป็น +0.18 ซึ่งสูงกว่าไอศกรีมที่ใช้อัตราส่วนน้ำตาลต่อลูกยอเป็น 1: 6 และ 1: 5 อย่างมี นัยสำคัญทางสถิติ (Pฃ0.05) โดยไอศกรีมที่มีคุณภาพทางกายภาพและทางประสาทสัมผัสเป็นที่ยอมรับมากที่สุด คือ ไอศกรีมที่ใช้สเตบิไลเซอร์ 0.3% และเติมพิวรีลูกยอที่ใช้อัตราส่วนน้ำตาลต่อลูกยอ 1: 4 จากผลการวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมีและทางจุลินทรีย์ พบว่าไอศกรีมที่เติม สเตบิไลเซอร์ 0.3% และเติมพิวรีลูกยอที่ใช้อัตราส่วนน้ำตาลต่อเนื้อลูกยอ 1: 4 มีปริมาณของแข็ง ทั้งหมด 29.61% เถ้า 0.79% ไขมัน 9.72% โปรตีน 2.52% มีจำนวนจุลินทรีย์ทั้งหมด 2.4 x 102 โคโลนีต่อมิลลิลิตร และไม่พบแบคทีเรียกลุ่มโคลิฟอร์มในไอศกรีมลูกยอ 100 มิลลิลิตร ซึ่งปลอดภัยและผ่านเกณฑ์มาตราฐานตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับ 222) พ.ศ. 2544 เรื่อง ไอศกรีม
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
การผลิตไอศกรีมลูกยอ
มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์
18 สิงหาคม 2548
รายงานการวิจัยเรื่อง การผลิตไอศกรีมโยเกิร์ตน้ำนมข้าวโพด การพัฒนาระบบผลิตก๊าซชีวภาพเพื่อผลิตก๊า รายงานการวิจัย การผลิตลูกพันธุ์หอยแครงจากโรงเพาะฟัก การประเมินผลผลิตและองค์ประกอบของผลผลิตของบวบเหลี่ยม 16 พันธุ์ การผลิตลูกหอมสมุนไพรไล่แมลงและขจัดกลิ่นอับ : รายงานการวิจัย ผลของวิธีการปลูกต่อผลผลิตและต้นทุนการผลิตข้าวอย่างมีส่วนร่วมของชุนชน การผลิตกระดาษจากเยื่อทะลายเปล่าปาล์มเพื่อนำไปสู่อุตสาหกรรมการผลิตในครัวเรือน การผลิตปุ๋ยอินทรีย์อัดเม็ดจากของเหลือทิ้งในกระบวนการผลิตเอทานอลและแก๊ส ชีวภาพจากลำไยตกเกรด การผลิตทอฟฟี่จากนมข้าวโพด การผลิตปุ๋ยหมักจากเศษอาหาร
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก