สืบค้นงานวิจัย
โครงการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตส้มจุกในภาคใต้ตอนล่าง
ชนินทร์ ศิริขันตยกุล - กรมวิชาการเกษตร
ชื่อเรื่อง: โครงการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตส้มจุกในภาคใต้ตอนล่าง
ชื่อเรื่อง (EN): Research and Development of the Neck Orange Productivity Technologies in the Lower South
ผู้แต่ง / หัวหน้าโครงการ: ชนินทร์ ศิริขันตยกุล
บทคัดย่อ: การประเมินศักยภาพพื้นที่ที่เหมาะสมต่อการผลิตส้มจุกในภาคใต้ตอนล่าง โดยทำการศึกษาสภาพแวดล้อม ที่เหมาะสมต่อการปลูกสัมจุกให้มีคุณภาพ และการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของดินบางประการต่อผลผสิต และคุณภาพของสัมจุก เพื่อให้ได้ข้อมูสสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม และสมบัติของดินบางประการที่เป็นแหล่งปลูก สัมจุก และความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของดินบางประการกับปริมาณผลผลิตและคุณภาพผลผลิตของสัมจุกใน จังหวัดสงขลา จำนวน 20 แปลง ในอำเภอจะนะ 10 แปลง หาดใหญ่ 5 แปลง สะเดา 2 แปลง นาทวี 2 แปลงและ ทพา 1 แปลง ระหว่างตุลาคม 2553-กันยายน 2556 ดำเนินการโดยสัมภาษณ์ข้อมูลพื้นฐานและการปฏิบัติการ ปลูกสัมจุกของเกษตรกรที่ร่วมโครงการ การศึกษาสภาพแวดล้อมบันทึกการเจริญเติบโต การแตกใบอ่อน การ พัฒนาการผล คุณภาพผลผลิต และสภาพแวดล้อมได้แก่ อุณหภูมิ ความชื้นสัมพัทธ์ แสง ความชื้นดินเป็นตันทุก เดือน และวิเคราะห์ความแปรปรวนทางพันธุกรรมด้วยเทคนิค RAPD marker โดยใช้ไพเมอร์ 3 ชนิด OPA-04 OPB-10และ OPP-03 และการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของดินบางประการ โดยทำการเก็บข้อมูลสมบัติทาง เคมี ปริมาณธาตุอาหารในดิน สมบัติทางกายภาพของดิน ปริมาณผลผลิตและคุณภาพผลผลิตสัมจุก ซึ่งสรุปผลการ ทดลอง พบว่า สภาพแวดล้อมที่มีผลต่อการเจริญเติบโต ผลผลิตและการพัฒนาการผลของสัมจุก ได้แก่ แสง และ อุณหภูมิ มีผลทำให้ผลผลิตสัมจุกที่ปลูกสภาพสวนเดี่ยวมีผลผลิตเฉลี่ย 92 ผล/ตันและสวนผสมผลผลิต 84 ผล/ตัน สูงกว่าผลผลิตเฉลี่ยสัมจุกซึ่งปลูกแซมสวนยางพารา คือ 11 ผล/ตัน ซึ่งปริมาณแสงที่ใบสัมจุกได้รับน้อยกว่าสวน เดี่ยว ทำให้ผลผลิตของสัมจุกที่ปลูกในสภาพสวนที่ต่งกันมีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ปริมาณน้ำฝนมีผลต่อ ตันสัมจุกโดยตรง ส่วนอุณหภูมิ จากกรวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างสภาพแวดล้อมกับการแตกใบอ่อนโดย วิเคราะห์การถถอยแบบพหุคูณในปี 2555 พบว่า ตันสัมจุกที่ปลูกในสภาพแชมสวนยางพารา อุณหภูมิมีผลต่อ การแตกใบอ่อนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ดังสมการพยากรณ์การแตกใบอ่อน(96) =-245.989 + 8.114T(อุณหภูมิ) ส่วนคุณภาพของผล พบว่า สัมจุกที่มาจากแหล่งปลูกอำเภอนาทวี และจะนะมีอัตราส่วนปริมาณของแข็งที่ละลาย น้ำได้ต่อปริมาณกรดที่ไทรเทรตได้ 24.92 และ 23.29 ตามสำดับ ซึ่งสูงกว่าแหล่งอื่น ส่วนขนาดผล อำเภอจะนะ จะมีขนาดผลใหญ่ที่สุด นอกจากสภาพแวดล้อมที่ทำให้สัมจุกแต่ละแหล่งปลูกแตกต่างกันแล้ว พันธุกรรมของสัมจุก มีผลทำให้สัมจุกมีความแตกต่างกันแบ่งได้เป็น 4 กลุ่ม ซึ่งสรุปได้ว่าการมีจุกและตันมีหนามของสัมจุกไมได้มีผลมา จากพันธุกรรม สำหรับการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของดินบางประการต่อผลผลิตและคุณภาพของสัมจุก พบว่า ดินใน แหล่งปลูกสัมจุกในพื้นที่จังหวัดสงขลามีสมบัติของดินแตกต่างกัน โดยส่วนใหญ่มีค่ำปฏิกิริยาดินเป็นกรดจัด (PH 4.5-5.5) มีปริมาณอินทรียวัตถุในดินระดับต่ำ (0.5-1.5 เปอร์เซ็นต์มีปริมาณฟอสฟอรัสที่เป็นประโยชน์ในดิน ระดับต่ำ (5-15 Mg/kg) ทุกแปลงมีปริมาณโพแทสเซียมที่เป็นประโยชน์ในดินในระดับต่ำ (100 mg/kg) และทุก แปลงมีปริมาณแคลเซียมที่แลกเปลี่ยนได้ในดินในระดับต่ำ (5.0 cmoV/ke) ส่วนใหญ่มีปริมาณแมกนีเซียมที่ แลกเปลี่ยนได้ในดินระดับต่ำ (1.0 cmol/ke) มีปริมาณเหล็กที่เป็นประโยชน์ในดินในระดับสูงมาก (50 mg/ke) มี ปริมาณมงกานีสที่เป็นประโยชน์ในดินในระดับปานกลาง (10-20 mg/ke มีปริมาณสังกะสีที่เป็นประโยชน์โนดิน ระดับต่ำมาก (<1 กg/ke) และมีปริมาณทองแดงที่เป็นประโยชน์ในดินระดับป่านกลาง (1-2 mg/kg) นอกจากนี้ สมบัติทางกายภาพของดินมีความแตกต่างกัน โดยส่วนใหญ่เป็นดินเนื้อละเอียดปานกลาง ดินเป็นดินตื้น ความ หนาแน่นรวมของดินอยู่ในระดับที่ไม่จำกัดการเจริญเติบโตของที่ช และจากกรศึกษาความสัมทันธ์ของสมบัติของ ดินที่มีต่อปริมาณและคุณภาพผสผลิตสัมจุก พบว่า ปริมาณอินทรียวัตถุในดิน ฟอสฟอรัสในดิน โพแทสเซียมในดิน ค่าความลึกของดิน และค่าความหนาแน่นรวมของดิน ไม่สามารถพยากรณ์ปริมาณผลผสิต น้ำหนักผลผสิต เปอร์เซ็นต์เนื้อผล ความหนาเปลือก ปริมาณของแข็งที่ละลายน้ำได้ ปริมาณกรดที่ไทเทรตได้ และอัตราส่วนของ ปริมาณของแข็งที่ละลายน้ำได้กับปริมาณกรดที่ไทเทรตได้ สิ่งสำคัญในการประเมินศักยภาพพื้นที่ที่เหมาะสมต่อ การผลิตสัมจุกในภาคใต้ตอนล่าง พบว่า ปัจจัยที่มีผลต่อผลผลิตและคุณภาพส้มจุก คือ พันธุกรรม และ สภาพแวดล้อม ได้แก่ แสง อุณหภูมิ ความชื้นสัมพัทธ์ ความชื้นในดิน และคุณสมบัติของดินที่เหมาะสม ซึ่งต้อง ดำเนินการจัดการสวนที่ถูกต้องควบคู่กันไปจึงจะประสบผลสำเร็จ ศึกษาผลของปุยชีวภาพไมโคไรซ่าต่อการเจริญเติบโตและการให้ผลผลิตของสัมจุก ดำเนินการทดลองใน แปลงเกษตรกรอำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา และที่ศูนย์วิจัยพืชสวนตรัง อำเภอสิเกา จังหวัดตรัง ช่วงเดือนตุลาคม 2554 ถึง เดือนกันยายน 2556 เพื่อศึกษาการเจริญเติบโต วางแผนการทดลองแบบ RCB จำนวน 5 ซ้ำ ประกอบตัวย 4 กรรมวิธี คือ กรรมวิธีที่ 1 ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 ตามอัตราแนะนำ (T1) กรรมวิธีที่ 2 ใส่เชื้อ ไมโคไรซ่าตามอัตราแนะนำ (T2) กรรมวิธีที่ 3 ใส่เชื้อไมโคไรซ่าตามคำแนะนำและปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 ปริมาณ 3/4 ของอัตราแนะนำ (T3) และกรรมวิธีที่ 4 ใส่เชื้อไมโคไรซ่าตามคำแนะนำ และปุยเคมีสูตร 15-15-15 ปริมาณ 1/2 ของอัตราแนะนำ (T4) พบว่า ในพื้นที่จังหวัดสงขลา แปลงส้มจุกของนายสามารถ ระมัญบากา มีการปฏิบัติ ดูแลรักษา ให้ปุ๋ยตามกรรมวิธีต่างๆ ได้แก่ กรรมวิธีที่ 1 ใส่ปุ้ยเคมีสูตร 15-15-15 ตามอัตราแนะนำ คือ ใส่ 1/2 ของอายุตัน หรือในปีแรกใส่ 0.5 กิโลกรัมต่อตัน ปีละ 2 ครั้ง ในปีต่อๆไปใส่ 1-2 กิโลกรัม ปีละ 2-3 ครั้ง กรรมวิธี ที่ 2 ใส่เชื้อไมโคไรช่าตามคำแนะนำ คือ 10 กรัม (ประมาณ 1 ซ้อนโต๊ะ) ต่อตันผสมกับดินปลูก กรรมวิธีที่ 3 ใส่ เชื้อไมโคไรซ่าตามคำแนะนำ + ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 3/4 ของอัตราแนะนำ กรรมวิธีที่ 4 ใส่เชื้อไมโคไรซ่าตาม คำแนะนำ + ปุ๋ยเคมีสูตร 15-1 5-15 1/2 ของอัตราแนะนำบันทึกการเจริญเติบโตทางด้านลำตัน พบว่ มีการ เจริญเติบโตแตกต่างกันในแต่ละกรรมวิธี และมีแนวโน้มว่ากรรมวิธีที่ 3 มีการเจริญเติบโตมากกว่าอีก 3 กรรมวิธี สำรวจโรคและแมลง พบว่ามีรคแคงกอร์และราดำ มีการป้องกันกำโดยใช้สารเคมีฉีดพ่น และการตัดแต่งกิ่ง ในพื้นที่จังหวัดตรัง การใส่ปุยชีวภาพไมโคไรข่าทำให้การเจริญเติบโตทางลำตันเพิ่มขึ้นมากกว่ไม่ใส่ปุ๋ยชีวภาพไมโค ไรซ่า โดยการปฏิบัติตามกรรมวิธีที่ 3 ใส่เชื้อไมโคไรช่าตามคำแนะนำและปุ้ยเคมีสูตร 15-15-15 ปริมาณ 3/4 ของอัตราแนะนำ ทำให้เส้นรอบวงกึ่งหลัก 2และความยาวกิ่งหลัก 1 มีความแตกต่างทางสถิติที่ระดับความ เชื่อมั่น 95 เปอร์ซ็นต์ และทำให้ความสูงตัน ความสูงโคนตันถึงแยก ขนาดเส้น รอบวงโคนตัน เส้นรอบวงโคนที่ ความสูง 30 เซนติเมตร เส้นผ่านศูนย์กลางโคนตัน เส้นผ่านศูนย์กลางโคนตันที่ 30 เชนติเมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง กิ่งหลักที่ 2 ความยาวกิ่งหลัก 2 เทิ่มขึ้นมากที่สุด แต่ไม่มีความแตกต่างทางสถิติ ศึกษาการเจริญเติบโตและการเปลี่ยนแปลงธาตุอาหารของผลสัมจุก (Citrus reticulata Blanco) ตั้งแต่ ดอกบาน เพื่อศึกษาการเจริญเติบโตและการเปลี่ยนแปลงความเข้มขันของธาตุอาหารของผสส้มจุกทุกเดือนจาก ดอกบานจนผลสัมอายุ 7 เดือนหลังดอกบาน ดำเนินการทดลองที่ศูนย์วิจัยพืชสวนรัง ตำบลไม้ผาด อำเภอสิเกา จังหวัดตรัง ระหว่างเดือนตุลาคม 2553 ถึงเดือนกันยายน 2556 บว่ การเจริญเติบโตของผลสัมจุกเป็นแบบ Simple sigmoid cunve ระยะที่เหมาะสมในการเก็บเกี่ยวผลสัมจุกเริ่มตั้งแต่ 6 เดือนครึ่งหลังดอกบาน อายุของ ผลสัมจุกที่แตกต่างกันทำให้ความเข้มขันธาตุอาหารในเปลือกและเนื้อมีความแตกต่างกัน โดยมีความเข้ มขันของ ธาตุอาหารหลัก โพแทสเซียม(K มากที่สุด รองลงมาคือ ไนโตรเจน(N) แคลเซียม(Ca) ฟอสฟอรัส(P) แมกนีเซียม (Me) และกำมะถัน(S) ตามลำดับ ความเข้มขันของธาตุอาหารในเนื้อมากกว่าในเปลือก และความเข้มขันของธาตุ อาหารลดลงเมื่ออายุการเจริญเติบโตและพัฒนาของผลเพิ่มขึ้น ส้มจุก (Citrus reticulate Blanco) เป็นไม้ผลเฉพาะถิ่นของภาคต้ ปัญหาสำคัญประการหนึ่งในเรื่อง ความอุดมสมบูรณ์ของดินคือ การขาดธตุในโตรเจนและสังก*สี จึงศึกษาอิทธิพลของธาตุในโตรเจนและสังกะสีต่อ สัมจุก ณ ศูนย์วิจัยพืชสวนตรัง ระหว่างตุลาคม พ.ศ. 2553 - กันยายน พ.ศ. 2556 วางแผนการทดลองแบบสุ่ม สมบูรณ์ จำนวน 5 ซ้ำ ประกอบด้วย 4 สิ่งทดลอง คือ ไม่ให้ธาตุอาหาร ให้ปุ๋ยยูเรียอัตรา 30 กิโลกรัมต่อไร่ ให้ซิงค์ ซัลเฟต (Zก5O) อัตรา 0.1 เปอร์เซ็นต์ และปุ๋ยยูเรียร่วมกับซิงค์ซัลเฟต เพื่อศึกษาการเจริญเติบโตการให้ผลผลิต และความเข้มข้นของธาตุอาหารในใบของสัมจุก พบว่า การเจริญเติบโตของใบมีความแตกต่างกัน ในตัน สัมจุกที่ ได้รับปุ๋ยยูเรียร่วมกับชิงค์ซัลเฟตมีการผลใบใหม่มากที่สุด านการให้ผลผลิต จำนวนช่อดอกต่อตัน จำนวนดอกต่อ ช่อ ผลต่อช่อ และเปอร์ซ็นต์การติดผลไม่มีความแตกต่งกัน คุณภาพทางกายภาพ น้ำหนักผล และความหนาเนื้อ ของผลมีความแตกต่างกันโดยตันที่ห้ปุ๋ยยูเรียอัตรา 30โลกรัมต่อไร่ ให้ซิงค์ซัลเฟต (ZกSO.) อัตรา 0.1 เปอร์เซ็นต์ และปุยยูเรียร่วมกับงศ์ซัลเฟต์มีความแกต่างกันกับตันที่ไม่ให้ธาตุอาหาร แต่ความหนาเปลือกไม่มี ความแตกต่างกัน คุณภาพทางเคมีของผลมีความแตกต่างกัน โดยการให้ซิงค์ซัลเฟตมีปริมาณของแข็งที่สะลายน้ำ ได้ (T5S) และอัตราส่วนปริมาณของแข็งที่ละลายน้ำได้ต่อปริมาณของกรดที่ไตเตรทได้ (TSS/TA) สูงสุด การไม่ให้ ธาตุอาหารมีปริมาณของกรดที่ตเตรทได้ (TA) สูงสุด ความเข้มของธาตุอาหารในใบ การให้ซิงค์ซัลเฟต และยูเรีย ร่วมกับซิงค์ซัลเฟตทำให้ความเข้มขันของธาตุสังกะสีในใบเพิ่มขึ้น การจัดการที่เหมาะสมในการฟื้นฟูสวนสัมจุกเสื่อมโทรมพื้นที่จังหวัดสงขลาดำเนินการวิจัยระหว่างปี 2554-2556 ในแปลงปลูกสัมจุกของเกษตรกรตำบลนาหว้า อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา พื้นที่ 3 ไร่ ระยะปลูก 6x6 เมตร ตันพันธุ์สัมจุกจากการเพาะเมล็ดและกึ่งตอน อายุ 7 ปี จำนวน 120 ตัน มีการใช้เทคโนโสยีการผลิต โดย ปฏิบัติดูแลรักษาตามวิธีเกษตรดีที่เหมาะสมและได้ปรับใช้วิธีการดังกล่าวให้เหมาะสมในการปฏิบัติของเกษตรกร มี การป้องกันกำจัดโรคแมลงที่เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ตันสัมจุกโทรม ร่วมกับการให้ปุ๋ย ให้น้ำ เพื่อเพิ่มธาตุอาหารให้ พืช และตัดแต่งกิ่ง เพื่อความสมบูรณ์ แข็งแรง การลดการเข้าทำลายของโรคและแมลง โดยตันส้มจุกมีความ สมบูรณ์ แข็งแรงขึ้น สามารถให้ผลผลิตเพื่อจำหน่ายได้ในปี 2555 และ 2556 ด้านตันทุน รายได้ และ ผลตอบแทน ในปี 2554 มีตันทุนการดำเนินการ แต่ไม่มีรายได้จากผลผลิตสัมจุก เนื่องจากต้องการฟื้นฟู บำรุงเพื่อ เพิ่มความสมบูรณ์ให้ตันสัมจุกที่ไม่ได้รับการปฏิบัติดูแลที่เหมาะสม โดยมีผลผลิตที่ได้เพียงเล็กน้อย ปี 2555 มี ตันทุนการดำเนินการเพิ่มขึ้น และมีรายได้จากการจำหน่ายผลผลิตสัมจุก และปี 2556 ที่มีตันทุนการผสิตมากที่สุด แต่มีรายได้จากการจำหน่ายสัมจุกเพิ่มขึ้นทั้งต่อพื้นที่และต่อตัน และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นในปีต่อไป ทั้งนี้ในปี 2556 มี บน้ำตังกล่าวมี ตันทุนสูงในส่วนของปุยและสารเคมีที่ใช้ในการปฏิบัติดูแสรักษาและการติดตั้งระบบ บน้ำ ซึ่งระบบ ระยะเวลาการใช้งานได้ยาวนาน และเมื่อปฏิบัติตามเทคโนโลยี และมีการจัดการที่เหมาะสม สามารถปรับใช้ปุ๋ยเคมี ให้น้อยลง เพื่อลดตันทุนปุยและสารเคมีลงได้อีกในระยะยาว ซึ่งผลตอบแทนที่ได้รับก็จะเทิ่มมากขึ้น และเกษตรกร มีรายได้เพิ่มขึ้น
บทคัดย่อ (EN): Assessment of Potential Areas suitable for Neck Orange Production in The Lower South by studying of the appropriate environment for growing quality neck oranges and the relationship between some soil properties on yield and quality of neck oranges. To get the correct data environment and some soil properties for growing neck oranges. The experiments were conducted in Songkhla Province 20 orchards : in Chana District 10 orchards, Hat Yai 5 orchards, Sadao 2 orchards, Natawee 2 orchards and Tepa 1 orchard. They were carried out between October 2010 - September 2013. To record environment conditions at vegetative and reproductive growth, yield and fruit quality. The environment includes temperature, humidity, light, moisture of soil, etc. every month. Analysis of genetic variability by RAPD marker technique using 3 Primers : OPA-04, OPB-10 and OPR-03 and the relationship between some soil properties. By correcting data: the soil chemical, nutrient contents, soil physical, yield and yield quality of neck oranges. The experimental results found that the environment affects their growth, yield and development of neck oranges fruits, including light and temperature, the yield of neck oranges growing in different conditions, a single orchard with average yields of 92 fruits / tree and integrated orchard average yield 84 fruits / tree which are higher than the average yield of neck oranges grown intercropping rubber was 11 fruits / tree. Because the leaf area of neck orange for photosynthesis in single orchard was less than other conditions clearly difference. Rainfall directly affects on the production. The temperature necessary to analyze the relationship between the environment and leaf flushing by multiple regression analysis in 2012 found that the neck orange grown intercropping rubber temperature affects leaf flushing significant statistically. The regression equation of leaf flushing(%) = -245.989 +8.114 T (temperature). The quality of neck orange fruits the results that come from different planting sites. The ratio of soluble solids per volume titratable acidity of fruits in Natawee and Chana were 24.92 and 23.29 respectively, which is higher than other places. The size of fruit from Chana will have the biggest. The environment makes neck orange each growing different sites. Genetics is causes the different neck orange which was divided into four groups. It was concluded that the different neck of the orange and spiny on stem or branch did not result from genetics. In addition to the relationship between some soil properties on yield and quality of neck orange in Songkhla found that the different soil properties: most of the soil pH is acidic (4.5-5.5) with low, amounts of organic matter (OM 0.5-1.5 percent), the amount of available phosphorus in the soil is low. (5-15 mg / kg), the amount of available potassium in the soil is low (<100 mg / kg) and exchangeable calcium in the soil is low. (<5.0 cmol / kg), most exchangeable magnesium in the soil is low. (<1.0 cmol / kg) the amount of available iron in the soil were very high (50 mg / kg), the amount of available manganese in the soil is moderate. (10-20 mg / kg) the amount of available zinc in the soil were very low (<1 mg / kg) and the amount of available copper in the soil medium (1-2 mg / kg) the physical properties of the soil are different. Mostly medium fine texture soil and shallow soil, bulk density at any levels did not limit the plant growth. The study of the relationship of soil properties on the quantity and quality of neck orange production found that the quantity of organic matter in the soil, phosphorus, potassium in the soil, the depth and the bulk density of the soil could not predict yield, fresh weight, percentage of flash, fruit peel thickness, soluble solids (TSS) and titratable acidity (TA) and the ratio of soluble solids to titratable acidity (TSS / TA). The important to assess potential areas suitable for neck orange production in the Lower South found that factors affecting on yield and quality are genetics and environment such as light, temperature, humidity, soil moisture and the properties of the soil. Which must be carried out in parallel to handle follow the good orchard management to achieve.
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เผยแพร่โดย: กรมวิชาการเกษตร
คำสำคัญ: ธาตุอาหาร
คำสำคัญ (EN): Nutrition
เจ้าของลิขสิทธิ์: สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
โครงการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตส้มจุกในภาคใต้ตอนล่าง
กรมวิชาการเกษตร
30 กันยายน 2556
การศึกษาศักยภาพการผลิตถั่วเหลืองฝักสดเพื่อการบริโภคในภาคใต้ตอนล่าง โครงการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตอ้อย โครงการวิจัยและพัฒนาส้มเกลี้ยงจังหวัดลำปาง โครงการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตทานตะวัน โครงการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตมันขี้หนู โครงการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตขมิ้นอย่างยั่งยืน โครงการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตสละให้มีคุณภาพ โครงการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตและการใช้ประโยชน์มันขี้หนู การวิจัยและพัฒนากั้งตั๊กแตนเพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ โครงการวิจัยการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตและการแปรรูปงาขี้ม้อนที่มีคุณภาพดี
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก