สืบค้นงานวิจัย
ศึกษาการใช้ผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีชีวภาพของกรมพัฒนาที่ดิน เพื่อเพิ่มผลผลิต และคุณภาพหลังการเก็บเกี่ยวของผักอินทรีย์ในช่วงฤดูร้อนและฤดูฝนในเขตพื้นที่ภาคใต้ตอนบน
พันธุ์ทิพย์ ปานกลาง - กรมพัฒนาที่ดิน
ชื่อเรื่อง: ศึกษาการใช้ผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีชีวภาพของกรมพัฒนาที่ดิน เพื่อเพิ่มผลผลิต และคุณภาพหลังการเก็บเกี่ยวของผักอินทรีย์ในช่วงฤดูร้อนและฤดูฝนในเขตพื้นที่ภาคใต้ตอนบน
ชื่อเรื่อง (EN): Study on biotechnology products of Land Development Department for increase product and quality post harvest from organic vegetable in summer and rainy season of upper Southern Regionof Thailand
ผู้แต่ง / หัวหน้าโครงการ: พันธุ์ทิพย์ ปานกลาง
บทคัดย่อ: การใช้ผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีชีวภาพของกรมพัฒนาที่ดิน เพื่อเพิ่มผลผลิต และ คุณภาพของผลิตผลภายหลังการเก็บเกี่ยวของผักอินทรีย์ในช่วงฤดูร้อนและฤดูฝนในเขตพื้นที่ภาคใต้ตอนบนโดยดำเนินการทดลองในแปลงเกษตรกร พื้นที่หมู่ที่ 3 ตำบลท่าข้าม อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ระหว่างปี 2552-2554 โดยในแปลงวิจัยของผักคะน้า พบว่า ที่ระดับความลึก 0-15 เซนติเมตร ดินที่มีการปรับปรุงบำรุงดินด้วยวิธีแบบเกษตรกร (ตำรับที่ 1 ) มีแนวโน้มว่า มีความอุดมสมบูรณ์ของดินมากที่สุด ซึ่งมีปริมาณอินทรียวัตถุ ปริมาณฟอสฟอรัสที่เป็นประโยชน์ในดิน และค่าการนำไฟฟ้ามากที่สุด ส่วนการเจริญเติบโตและผลผลิตของผักคะน้าจากตำรับการทดลองที่ 1 ก็มีแนวโน้มว่าจะมีการเจริญเติบโตและผลผลิตมากที่สุด โดยพบว่า มีความสูงของต้น ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางลำต้นและผลผลิตมากที่สุด เช่นเดียวกับ คุณภาพหลังการเก็บเกี่ยวของผักคะน้า ซึ่งพบว่า ผลผลิตคะน้าที่เก็บเกี่ยวจากดินที่มีการปรับปรุงบำรุงดินด้วยวิธีแบบเกษตรกร (ตำรับที่ 1 ) มีแนวโน้มว่า จะมีอายุการเก็บรักษานานที่สุด และมีอัตราการสูญเสียน้ำหนักน้อยที่สุด อย่างไรก็ตาม พบว่า ตำรับการทดลองที่ 3 ถึง 5 ซึ่งมีทำการปรับปรุงดินโดยใส่ปุ๋ยหมักอัตรา 4 ตันต่อไร่ ร่วมกับเชื้อจุลินทรีย์ควบคุมเชื้อสาเหตุโรคพืช (พด.3) อัตรา 100 กิโลกรัมต่อไร่ และฉีดพ่นน้ำหมักชีวภาพ (พด.2) เจือจางในอัตราส่วน 1 : 500-2,000 อัตรา 50 ลิตรต่อไร่ ร่วมกับสารป้องกันแมลงศัตรูพืช (พด.7) เจือจางในอัตราส่วน 1 : 500 อัตรา 50 ลิตรต่อไร่ มีแนวโน้มว่า จะมีผลผลิตน้ำหนักสดของคะน้ามากกว่าตำรับการทดลองที่ 2 ซึ่งมีการจัดการดินด้วยปุ๋ยเคมีเพียงอย่างเดียว สำหรับในแปลงวิจัยของผักกวางตุ้ง พบว่า ที่ระดับความลึก 0-15 เซนติเมตร ดินที่มีการปรับปรุงบำรุงดินด้วยวิธีแบบเกษตรกร (ตำรับที่ 1 ) มีแนวโน้มว่า มีความอุดมสมบูรณ์ของดินมากที่สุด โดยพบว่า ดินในตำรับการทดลองที่ 1 จะมีค่าความเป็นกรดเป็นด่างของดิน ปริมาณอินทรียวัตถุ ปริมาณโพแทสเซียมที่แลกเปลี่ยนได้ในดิน ปริมาณแคลเซียมในดิน และค่าการนำไฟฟ้ามากที่สุด ส่วนการเจริญเติบโตและผลผลิตของผักกวางตุ้งจากตำรับการทดลองที่ 1 ก็มีแนวโน้มว่าจะมีการเจริญเติบโตและผลผลิตมากที่สุด โดยพบว่า มีความสูงของต้น ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางลำต้นและผลผลิตมากที่สุด เช่นเดียวกับ คุณภาพหลังการเก็บเกี่ยวของผักกวางตุ้ง ซึ่งพบว่า ผลผลิตกวางตุ้งที่เก็บเกี่ยวจากดินที่มีการปรับปรุงบำรุงดินด้วยวิธีแบบเกษตรกร (ตำรับที่ 1 ) มีแนวโน้มว่า จะมีอายุการเก็บรักษานานที่สุด และมีอัตราการสูญเสียน้ำหนักน้อยที่สุด อย่างไรก็ตาม พบว่า ตำรับการทดลองที่ 3 ถึง 5 ซึ่งมีทำการปรับปรุงดินโดยใส่ปุ๋ยหมักอัตรา 4 ตันต่อไร่ ร่วมกับเชื้อจุลินทรีย์ควบคุมเชื้อสาเหตุโรคพืช (พด.3) อัตรา 100 กิโลกรัมต่อไร่ และฉีดพ่นน้ำหมักชีวภาพ (พด.2) เจือจางในอัตราส่วน 1 : 500-2,000 อัตรา 50 ลิตรต่อไร่ ร่วมกับสารป้องกันแมลงศัตรูพืช (พด.7) เจือจางในอัตราส่วน 1 : 500 อัตรา 50 ลิตรต่อไร่ มีแนวโน้มว่า จะมีผลผลิตน้ำหนักสดของกวางตุ้งมากกว่าตำรับการทดลองที่ 2 ซึ่งมีการจัดการดินด้วยปุ๋ยเคมีเพียงอย่างเดียว นอกจากนี้ในแปลงวิจัยถั่วฝักยาว ที่ระดับความลึก 0-15 เซนติเมตร ดินที่มีการปรับปรุงบำรุงดินด้วยวิธีแบบเกษตรกร (ตำรับที่ 1 ) มีแนวโน้มว่า มีความอุดมสมบูรณ์ของดินมากที่สุด โดยพบว่า ดินในตำรับการทดลองที่ 1 จะมีปริมาณอินทรียวัตถุ ปริมาณฟอสฟอรัสที่เป็นประโยชน์ในดิน ปริมาณโพแทสเซียมที่เป็นประโยชน์ในดิน และค่าการนำไฟฟ้ามากที่สุด ส่วนการเจริญเติบโตและผลผลิตของถั่วฝักยาวจากตำรับการทดลองที่ 1 ก็มีแนวโน้มว่าจะมีการเจริญเติบโตและผลผลิตมากที่สุด โดยพบว่า มีความยาวฝัก ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางลำต้นและผลผลิตมากที่สุด เช่นเดียวกับ คุณภาพหลังการเก็บเกี่ยวของถั่วฝักยาว ซึ่งพบว่า ผลผลิตถั่วฝักยาวที่เก็บเกี่ยวจากดินที่มีการปรับปรุงบำรุงดินด้วยวิธีแบบเกษตรกร (ตำรับที่ 1 ) มีแนวโน้มว่า จะมีอายุการเก็บรักษานานที่สุด และมีอัตราการสูญเสียน้ำหนักน้อยที่สุด อย่างไรก็ตาม พบว่า ตำรับการทดลองที่ 3 ซึ่งมีทำการปรับปรุงดินโดยใส่ปุ๋ยหมักอัตรา 4 ตันต่อไร่ ร่วมกับเชื้อจุลินทรีย์ควบคุมเชื้อสาเหตุโรคพืช (พด.3) อัตรา 100 กิโลกรัมต่อไร่ และฉีดพ่นน้ำหมักชีวภาพ (พด.2) เจือจางในอัตราส่วน 1 : 1,000 อัตรา 50 ลิตรต่อไร่ ร่วมกับสารป้องกันแมลงศัตรูพืช (พด.7) เจือจางในอัตราส่วน 1 : 500 อัตรา 50 ลิตรต่อไร่ มีแนวโน้มว่า จะมีการเจริญเติบและผลผลิตน้ำหนักสดของถั่วฝักยาวมีค่าใกล้เคียงกับวิธีการจัดการดินด้วยปุ๋ยเคมีเพียงอย่างเดียว
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เผยแพร่โดย: กรมพัฒนาที่ดิน
คำสำคัญ: เทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว
คำสำคัญ (EN): Post harvest Technology
เจ้าของลิขสิทธิ์: สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
ศึกษาการใช้ผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีชีวภาพของกรมพัฒนาที่ดิน เพื่อเพิ่มผลผลิต และคุณภาพหลังการเก็บเกี่ยวของผักอินทรีย์ในช่วงฤดูร้อนและฤดูฝนในเขตพื้นที่ภาคใต้ตอนบน
กรมพัฒนาที่ดิน
30 กันยายน 2554
ศึกษาการใช้ผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีชีวภาพของกรมพัฒนาที่ดิน เพื่อเพิ่มผลผลิต และคุณภาพของผลิตผลภายหลังการเก็บเกี่ยวของผักกวางตุ้งอินทรีย์ในช่วงฤดูฝนและฤดูร้อนในเขตพื้นที่ภาคใต้ตอนบน ศึกษาการใช้ผลิตภัณฑ์ชีวภาพของกรมพัฒนาที่ดินในระบบเกษตรอินทรีย์เพื่อการปลูกผักคะน้าและกวางตุ้งทางภาคใต้ตอนบน การศึกษาชนิดของชันโรง (Trigona spp.) ในภาคใต้ตอนบน ของประเทศไทย . การรักษาคุณภาพของลองกองพร้อมบริโภคด้วยเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว การรักษาคุณภาพของลองกองพร้อมบริโภคด้วยเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว (ระยะที่ 2) การพัฒนากระบวนการผลิตข้าวไร่พันธุ์พื้นเมือง ในเขตพื้นที่ปลูกมันสำปะหลัง จังหวัดนครราชสีมา ปัจจัยที่มีผลต่อการผลิตมังคุดให้ได้คุณภาพของเกษตรกรในภาคใต้ การใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มผลผลิตถั่วเหลืองของเกษตรกรจังหวัดแพร่ การพัฒนาเทคโนโลยีหลังการจับกุ้งขาว โครงการวิจัย และพัฒนาระบบการปลูกสตรอเบอรี่เพื่อเพิ่มคุณภาพผลผลิตบนพื้นที่สูงของจังหวัดเพชรบูรณ์
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก