สืบค้นงานวิจัย
ระบาดวิทยา การสื่อสารความเสี่ยง ความเสียหายของเกษตรกร การประเมินมาตรการความควบคุมโรคและแผนปฏิบัติการการเฝ้าระวังป้องกันและควบคุมโรคลัมปีสกินในประเทศไทย
นายสถิตย์พงษ์ พรหมสถิตย์ - สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน)
ชื่อเรื่อง: ระบาดวิทยา การสื่อสารความเสี่ยง ความเสียหายของเกษตรกร การประเมินมาตรการความควบคุมโรคและแผนปฏิบัติการการเฝ้าระวังป้องกันและควบคุมโรคลัมปีสกินในประเทศไทย
ชื่อเรื่อง (EN): Epidemiology, risk communication and economic loss in farms and control measure evaluation and action plan for surveillance prevention and control of Lumpy skin disease in Thailand
ผู้แต่ง / หัวหน้าโครงการ: นายสถิตย์พงษ์ พรหมสถิตย์
หน่วยงานสังกัดผู้แต่ง:
บทคัดย่อ: โรคลัมปี สกิน (LSD) เป็นโรคสัตว์อุบัติใหม่ซึ่งเป็นภัยคุกคามกับผู้เลี้ยงโค กระบือและผู้เกี่ยวข้องในประเทศไทย การศึกษาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระบาดวิทยา สื่อสารความเสี่ยง การสูญเสียในฟาร์มภูมิคุ้มกันโรค เฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงของเชื้อไวรัส พยากรณ์การระบาดการฉีดวัคซีนรวมทั้งวิจัยเชิงนโยบายจัดทำแผนปฏิบัติการเฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุม LSD ของประเทศไทย โดยใช้ กระบวนการทางระบาดวิทยา Matched Case-Control เพื่อหาปัจจัยเสี่ยง การศึกษาทางสังคมในการสื่อสารความเสี่ยงและเก็บข้อมูล คำนวณการสูญเสียของโรคภายในฟาร์มวิเคราะห์เชื้อไวรัสทางโมเลกุล การประเมินระดับภูมิคุ้มกันโรค จำลองการระบาดและระดมความ คิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย วิเคราะห์เพื่อจัดทำแผนปฏิบัติการเฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุมโรค LSD ของประเทศไทยผลการศึกษา พบว่าฟาร์มโคนมมีปัจจัยการเกิดโรคคือการเลี้ยงโคเนื้อภายในฟาร์ม และฟาร์มพบยุงชุกชุม ส่วนปัจจัยป้องกันโรคคือใช้วัคซีนป้องกันโรค การถ่ายทอดการเรียนรู้ของกรมปศุสัตว์ช่วยให้เกษตรกรมีความรู้และการปฏิบัติดีขึ้น ความรู้มีความสัมพันธ์ในเชิงบวกกับทัศนคติใน ระดับสูงถึงสูงมาก ความรู้ ทัศนคติ และการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ส่งเสริมก่อนและหลังถ่ายถอดสื่อการเรียนรู้ ไม่แตกต่างกัน การสูญเสีย ของฟาร์มที่ติดเชื้อมีมูลค่า 14,221.06 บาท/ฟาร์ม โดยค่าความเสียหายจากลูกโคตาย 5,000 บาท/ฟาร์ม สูญเสียรายได้การขายน้ำนม 5,385.26 บาท/ฟาร์ม สูญเสียค่ารักษา 3,835.80 บาท/ฟาร์ม และมีค่าใช้จ่ายในการป้องกันโรค 5,285.88 บาท/ฟาร์ม สำหรับฟาร์มโคเนื้อ พบว่าปัจจัยการเกิดโรคคือฟาร์มขนาดใหญ่ที่มีโคเนื้อมากกว่าหรือเท่ากับ 10 ตัว การมีรั้ว/แนวธรรมชาติ ความหนาแน่นของพื้นที่ป่า การ เคลื่อนย้ายโดยพ่อค้าคนกลาง และการไม่ใช้น้ำส้มควันไม้พ่นรอบๆ ฟาร์ม ความสัมพันธ์ระหว่างความรู้กับทัศนคติ และความรู้กับวิธี ปฏิบัติ เป็นความสัมพันธ์ไปในแนวทางเดียวกันในทางบวกระดับปานกลาง เกษตรกรยังขาดความรู้ในการฉีดวัคซีน เชื้อLSDVในประเทศ ไทยก่อนมีการทำวัคซีนเป็นสายพันธุ์ลูกผสม และมีการกลายพันธุ์ภายหลังจากมีการทำวัคซีนน้อยกว่าร้อยละ 2 ภูมิคุ้มกันโรคต่อLSD พบว่า ภายหลังฉีดวัคซีนในช่วงที่ศึกษาไม่มีสัตว์ในฝูงป่วยระดับภูมิคุ้มกันโรคภายหลังฉีดวัคซีนมีแนวโน้มสูงขึ้นโดยสูงที่สุดภายหลังจาก ทำวัคซีน 1 เดือน และค่อยๆลดลง ในลูกโคพบว่าไม่มีภูมิคุ้มกันต่อLSD ในวันแรกคลอด มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเมื่อลูกโคอายุ 30 วัน และ สูงสุดที่อายุ 180 วัน ตามลำดับ สัตว์ที่แสดงอาการป่วยพบสารพันธุกรรมของเชื้อLSDV ในกระแสเลือดและ nasal swab ภายหลังจากโค เนื้อแสดงอาการป่วยในวันที่ 21 โคเนื้อมีภูมิคุ้มกันในระดับที่คุ้มโรคได้ตั้งแต่วันที่เริ่มแสดงอาการป่วยแต่มีสัดส่วนต่ำ และมีสัดส่วน ภูมิคุ้มกันโรคมากที่สุดช่วงระยะเวลา 4 –5 เดือนภายหลังจากเริ่มแสดงอาการ และค่อยๆลดลงแต่ไม่มีโคเนื้อแสดงอาการป่วยใน 1 ปีที่ ศึกษาการสร้างแบบจำลองพบว่า ค่า basicreproduction number (R0) ประมาณได้ 8.50 ซึ่งประชากรโคเนื้อจะต้องได้รับวัคซีนร้อยละ 88.23 แผนปฏิบัติการเฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุม LSD มี 3 ระยะคือระยะที่ 1 (พ.ศ. 2565 - พ.ศ. 2566) เป็นระยะที่ควบคุมโรคให้ลด อุบัติการณ์โรคอย่างรวดเร็วจนไม่พบการระบาดในบางพื้นที่ ระยะที่2 (พ.ศ. 2567 - พ.ศ. 2568) เป็นระยะที่ลดอุบัติการณ์โรคจนไม่มีโรค ระบาดในประเทศไทยและระยะที่3 (พ.ศ. 2569 - พ.ศ. 2572) เป็นระยะที่ไม่พบอุบัติการณ์ของโรคและมีมาตรการเพื่อให้ได้การรับรอง สถานภาพปลอดโรคจาก WOAH แผนปฏิบัติการฉบับนี้มี7. กลยุทธ์โดยพบว่ามาตรการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคเป็นมาตรการที่มี ความสำคัญที่สุด
บทคัดย่อ (EN): The Lumpy Skin Disease (LSD) was a new emerging animal disease that poses a threat to cattle farmers and stakeholders in Thailand. The purpose of this study was to investigate the epidemiology, risk communication, farm losses, immunization, virus mutation monitoring, outbreak prediction,and policy research for LSD prevention and control in Thailand by using the Matched Case-Control epidemiological method to identify risk factors.Thesocial studies of risk communication, data collection for loss estimation, molecular virus analysis, evaluation of immunity, outbreak simulation, and stakeholder opinion were integrated to develop on action control and prevention LSD plan for in Thailand. The results of thisstudy showed that the LSDrisk factors for dairy cattlewere raising beef cattle inthe same farm and the presence of abundant mosquitoes, while vaccines was the preventive sector. The farmers’ knowledge edudation provided by the Department of Livestock Development improved knowledge and practices. There was a positive correlation between knowledge and attitude at a high to very high level (r=0.53).The knowledge, attitudes, and practices of the promoting officersassessed before and after the dissemination of learning media did not differ. The loss of infected farms with LSD was valued at 14,221.06 baht per farm, with 5,000 baht from dead calf, 5,385.26 baht from milk sales, 3,835.80 baht from treatment costs, and 5,285.88 baht for disease prevention. Risk factors of LSD infectionin cattle farmwere farmswith more than or equal to 10 cattle, natural fences or barriers, forest density, movement and purchase of cattle by animal trader, and not using insecticide to spray around the farm. The correlation between knowledge, attitude, and practice was positively related to the intermediate level. Farmers still lack knowledges in vaccination. Themolecular analysis revealed that LSDV in Thailandpresent prior the vaccination campangewasa recombinant vaccine strain. Following immunization, the mutation found in the viral genomewere less than 2 percent. After vaccination, no sick animalwas inherds. The level of immunity varied in each area, which reached at the highest level at one month after the first doseand gradually decreaseafterward. Calves had no immunity of LSD at birth, but a trend of increasing immunity was observed starting at 30 days of age, reaching its peak at 180 days. In LSD infected cattle with clinical sign, the genetic material of the virus were detected by PCR in the blood sample and nasal swab on day 21 of illness. The immunity response in infected cattle were very low when symptoms appeared on the first day, but gradually increased and peaked at 4-5 months after symptom onset, and then decreased gradually. However no symptoms were observed during 1 year period The simulation model revealed a basic reproduction number (R0) of approximately 8.50 indicating that 88.23% of the cattle population must be vaccinated to control the disease. The surveillance, prevention, and control plan for Lumpy skin disease had three phases: . Phase 1 (BE 2565 -BE 2566) to rapidly reduce the incidence of the disease and prevent outbreaks in certain areas. Phase 2 (BE 2567 -BE 2568) to eliminate the disease from Thailand. Phase 3 (BE 2569 -BE 2572) without any incidence of the disease, and includes measures to maintain disease-free status certified by the World Health Organization.The plan includes seven strategies. The plan included seven strategies, and enhancing immunity was found to be the most important measure.
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เผยแพร่โดย: สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน)
คำสำคัญ: ประเทศไทย
คำสำคัญ (EN): Thailand
เจ้าของลิขสิทธิ์: กรมปศุสัตว์
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
ระบาดวิทยา การสื่อสารความเสี่ยง ความเสียหายของเกษตรกร การประเมินมาตรการความควบคุมโรคและแผนปฏิบัติการการเฝ้าระวังป้องกันและควบคุมโรคลัมปีสกินในประเทศไทย
สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน)
2564
การพัฒนาและทดสอบประสิทธิภาพของวัคซีนต้นแบบต่อโรคลัมปี สกิน สำหรับการระบาดฉุกเฉินในประเทศไทย การพัฒนาตํารับยาห้ารากชนิดสกัดเพื่อรักษาโรคลัมปีสกินในโค-กระบือ การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมขั้นต่อยอดการขยายพันธุ์ปะการังอ่อนเพื่อลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มคุณภาพผลผลิตสำหรับการใช้ประโยชน์ในเชิงการค้าและการฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลของประเทศไทย โครงการสร้างแนวทาง/มาตรการการลดการกีดกันทางการค้าในการส่งออกจระเข้ การพัฒนาระบบอาหาร (Food system) ของประเทศไทย : ระบบการผลิตสินค้าเกษตรและการแปรรูปอาหาร การประเมินความหลากหลายทางพันธุกรรมของกระท่อม (Mitragyna speciosa (Korth.) Havil.) ในประเทศไทยโดยใช้เครื่องหมายโมเลกุลสนิปร่วมกับลักษณะสัณฐานวิทยา การต่อยอดผลงานวิจัยเรื่องกลไกการก่อโรคของเชื้อ Enterocytozoon hepatopenaei (EHP) เพื่อนำไปใช้ในการควบคุมการระบาดของเชื้อในกุ้ง การค้นหาตำรับยาแผนไทยที่มีศักยภาพในการบรรเทาอาการโรคโควิด-19 ผ่านการวิเคราะห์ตามทฤษฎีทางการแพทย์แผนไทย การเปรียบเทียบเทียบความเหมือนของสารออกฤทธิ์ที่เคยศึกษามาก่อน การใช้คอมพิวเตอร์โมเดลและการศึกษาฤทธ การประเมินประสิทธิภาพกุ้งขาวปรับปรุงพันธุ์ในโรงเพาะฟักและฟาร์มเลี้ยงกุ้งเชิงพาณิชย์ของประเทศไทย โครงการสร้างประชากรพ่อแม่พันธุ์กุ้งขาวปลอดโรคและโตดีเพื่อการเพาะเลี้ยงในประเทศไทยและการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก