สืบค้นงานวิจัย
การใช้ประโยชน์วัสดุเศษเหลือจากอุตสาหกรรมเกษตรขนาดย่อม
อุทัย กลิ่นเกษร - มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ชื่อเรื่อง: การใช้ประโยชน์วัสดุเศษเหลือจากอุตสาหกรรมเกษตรขนาดย่อม
ชื่อเรื่อง (EN): Utilization of Waste from Small Scale Agro-Industry
บทคัดย่อ: กากถั่วเหลืองเป็นแหล่งโปรตีนที่สำคัญในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ ในกากถั่วเหลืองดิบมีสารยับยั้งเอนไซม์ทริปซิน (Trypsin inhibitor) โดยจะมีผลไปขัดขวางการย่อยโปรตีนของเอนไซม์ทริปซินในทางเดินอาหาร ทำให้สัตว์ไม่สามารถใช้โปรตีนจากกากถั่วเหลืองดิบได้อย่างเต็มที่ ดังนั้นจึงมีการศึกษาการใช้แบคทีเรียกรดแลคติกที่คัดแยกได้จากกากถั่วเหลืองดิบจากโรงงานนมถั่วเหลือง จากการศึกษาการคัดเลือกเชื้อจุลินทรีย์ในกากถั่วเหลืองดิบ ได้ทำการทดสอบคุณสมบัติของเชื้อและความสามารถในการยับยั้งเอนไซม์ ทริปซิน เชื้อที่สามารถคัดแยกได้จากกากถั่วเหลืองคือ Lactobacillus fementum SP10 ไซเลจถั่วเหลืองที่หมักจาก Lactobacillus fementum SP10 ที่ปริมาณกากน้ำตาลและปริมาณเชื้อเริ่มต้น 9 และ10 เปอร์เซ็นต์โดยน้ำหนัก อุณหภูมิที่ 37 องศาเซลเซียส ให้ค่าความเป็นกรดด่าง 3.74 ปริมาณเชื้อกรดแลกติกที่ 8.65?107 และลดปริมาณทริปซินได้ 10 เปอร์เซ็นต์ การศึกษาสูตรอาหารที่เหมาะสมในการผลิตแบคทีเรียกรดแลคติก โดยการเพาะเลี้ยงในอาหารสูตรพื้นฐานที่มีการแปรผันปริมาณยีสต์ผง เป็น 0.5, 1.5, 2.5% w/v และปริมาณกากน้ำตาล เป็น 6, 8 และ 10% w/v ตามลำดับ การเพาะเลี้ยงด้วยอาหารเลี้ยงเชื้อ MRS และอาหารพื้นฐานที่มีการแทนที่ด้วยยีสต์ผงทั้ง 3 ระดับและกากน้ำตาล ทั้ง 3 ระดับ มาคำนวณหาอัตราการเจริญเติบโตจำเพาะ (?) และผลได้ของเซลล์ (Yx/s) พบว่า การใช้อาหารเลี้ยงเชื้อ MRS ให้อัตราการเติบโตจำเพาะสูงที่สุดโดยมีค่าเท่ากับ 0.2974 h-1 และให้ผลได้ของเซลล์จากสารอาหารมากที่สุดโดยมีค่าเท่ากับ2.26?1011 CFU/กรัมน้ำตาล และเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มของอาหารพื้นฐาน การใช้ยีสต์ผง 0.5% w/v กากน้ำตาล 8%w/v ให้อัตราการเจริญเติบโตจำเพาะ (?) เท่ากับ 0.0984 h-1 และให้ผลได้ของเซลล์จากสารอาหารโดยมีค่าเท่ากับ9.20?109 CFU/กรัมน้ำตาล การใช้ยีสต์ผง 1.5% w/v กากน้ำตาล 8% w/v ให้อัตราการเจริญเติบโตจำเพาะ (?) เท่ากับ 0.0522 h-1 และให้ผลได้ของเซลล์จากสารอาหารโดยมีค่าเท่ากับ 3.11?1010 CFU/กรัมน้ำตาล จากนั้นนำ Lactobacillus fementum SP10 ที่เพาะเลี้ยงได้มาทำแห้งแบบพ่นฝอยที่อุณหภูมิขาเข้า 120 ํC และอุณหภูมิขาออกเท่ากับ 70 ํC พบว่าความเข้มข้นทรีฮาโลสที่เหมาะสม คือ 2 % โดยจะให้อัตราการรอดชีวิตเท่ากับ 85.81 % และมีปริมาณเซลล์ที่รอดชีวิตเท่ากับ 2.18 x 109 cfu/g solid เมื่อปริมาณเชื้อเริ่มต้นเท่ากับ 2.86 x 109 cfu/g solidวัตถุดิบหัวกุ้งขาวสด มีปริมาณไนโตรเจนทั้งหมดเท่ากับร้อยละ 1.24 และความชื้นร้อยละ 74.62 pH เท่ากับ 7.16 ในหัวกุ้งมีจุลินทรีย์ที่เจริญและย่อยไคตินได้โดยพบ 2.0 x10 4 cfu/g สภาวะการหมักหัวกุ้งที่เลือกได้คือใช้กรดซิตริก หรือ กรดแลกติก ความเข้มข้น 0.5 M เป็นเวลา 0 6 12 ชั่วโมงที่ 28-30 องศาเซลเซียส พบการย่อยสลายหัวกุ้งได้ดีคือจากหัวกุ้งบด 75 กรัมเมื่อหมักนาน 6 ชั่วโมงจะเหลือกากที่กรองออกต่ำกว่า 20 กรัมโดยในของเหลวจากการหมัก ประกอบด้วยปริมาณของแข็งที่ละลายได้(TSS) อยู่ในช่วง 4-5 กรัมต่อหัวกุ้ง 100 กรัม และ 6-7 กรัมต่อหัวกุ้ง 100 กรัม สำหรับกรดแลกติกและกรดซิตริก ตามลำดับ ที่เวลาหมักนาน 6 ชั่วโมงการหมักในกรดทั้งสองชนิดจะได้ของเหลวที่มีปริมาณไนโตรเจนทั้งหมดและไนโตรเจนที่ไม่ใช่โปรตีนอยู่ในช่วงเท่ากับร้อยละ 1.73-1.83 และ 1.06-1.37 กรัมต่อหัวกุ้ง 100 กรัม ตามลำดับ นอกจากนั้นพบว่าระหว่างหมักตัวอย่างที่ใช้กรดแลกติก 0.1 M มีค่า pH สูงกว่า 4.5 และยังคงพบจุลินทรีย์ที่เจริญได้ในอาหารเลี้ยงเชื้อที่มีไคตินและเป็นจุลินทรีย์ที่ย่อยไคตินได้แต่มีปริมาณต่ำกว่าที่พบในวัตถุดิบหัวกุ้งมาก พบกลูโคซามีนเล็กน้อยในส่วนใสจากการหมักหัวกุ้ง ปริมาณ 0.009-0.013 mg/ml ของเหลว สารให้กลิ่นรสกุ้งมีขนาดโมเลกุลประมาณ 6-10 kDa ของเหลวที่หมักได้นำไปปรับพีเอชด้วย สารละลาย 6 N โซเดียมไฮดรอกไซด์ จนมีค่าเท่ากับ 5.75 จึงตั้งไฟเคี่ยวที่อุณหภูมิ90-95 องศาเซลเซียส จนข้นหนืด(ปริมาตรเปลี่ยนจาก 100 มลเหลือ 30 มล) บรรจุขวดแก้วทนร้อนขณะร้อน ปิดฝาและต้มในอ่างน้ำเดือดนาน 15 นาที ทำให้เย็นแล้ว เก็บในตู้เย็น ผลิตภัณฑ์กลิ่นรสกุ้งที่ได้ นำมาเป็นเครื่องปรุงรสอาหารที่ต้องการกลิ่นรสกุ้งเช่น ข้าวผัด ผัดผัก ต้มยำ หรือทาบนขนมปังกรอบและอบจะได้ขนมขบเคี้ยวกลิ่นรสกุ้ง เศษวัสดุเหลือทิ้งจากกิจกรรมทางการเกษตรได้แก่ทะลายปาล์มน้ำมันเปล่า ทางใบปาล์มน้ำมัน และเส้นใยปาล์มน้ำมันถูกนำมาใช้ศึกษาเพื่อใช้เป็นวัสดุบรรจุภัณฑ์เยื่อกระดาษขึ้นรูปสำหรับบรรจุผลไม้สด ผลการศึกษาการผลิตเยื่อด้วยวิธีซัลเฟตสามารถกำจัดลิกนินจากทะลายปาล์มน้ำมันเปล่าได้มากกว่าทางใบปาล์มน้ำมัน และทางใบปาล์มน้ำมันมีปริมาณเซลลูโลสสูงที่สุด นอกจากนี้จากผลของการศึกษาองค์ประกอบทางเคมีแสดงให้เห็นว่าเส้นใยปาล์มน้ำมันไม่เหมาะสมในการนำมาสกัดเยื่อเนื่องจากมีปริมาณเถ้าและลิกนินที่สูง เยื่อที่สกัดได้ถูกนำมาผสมกับเยื่อกระดาษรีไซเคิลและขึ้นเป็นแผ่นกระดาษเพื่อศึกษาสมบัติเชิงกลของแผ่นกระดาษที่ผลิตได้พบว่ากระดาษจากเยื่อทางใบปาล์มน้ำมันเพียงชนิดเดียวมีค่าดัชนีความต้านทานแรงดึงขาด ดัชนีความต้านทานแรงกดวงแหวนและดัชนีความต้านทานแรงดันทะลุสูงที่สุด และการผสมเยื่อจากทางใบปาล์มน้ำมันเป็นการปรับปรุงสมบัติเชิงกลของกระดาษที่ผลิตจากเยื่อกระดาษรีไซเคิล เมื่อเปรียบเทียบกับกระดาษจากเยื่อทะลายปาล์มน้ำมันพบว่ากระดาษที่ผสมเยื่อจากทะลายปาล์มน้ำมันเพียงชนิดเดียวมีค่าสมบัติเชิงกลต่าง ๆ ต่ำที่สุด เนื่องจากลักษณะของเยื่อที่ผลิตได้จากทะลายปาล์มน้ำมันเปล่ามีลักษณะละเอียดและเป็นผงเป็นจำนวนมาก ดังนั้นจึงส่งผลให้สมบัติเชิงกลมีค่าต่ำ การวิเคราะห์ความต้านทานแรงกดและค่าความแข็งตึงของบรรจุภัณฑ์เยื่อกระดาษขึ้นรูปแสดงให้เห็นว่าบรรจุภัณฑ์ขึ้นรูปจากทางใบปาล์มน้ำมันมีความต้านทานแรงกดและค่าความแข็งตึงสูงกว่าบรรจุภัณฑ์เยื่อกระดาษขึ้นรูปจากเยื่อกระดาษรีไซเคิล โดยไม่ขึ้นอยู่กับสภาวะการเก็บรักษาภายใต้สภาวะมาตรฐาน (27 Oซ ความชื้นสัมพัทธ์ 65%) และสภาวะจำลองของห้องเย็น (12?2 Oซ ความชื้นสัมพัทธ์ 90?5%) เยื่อกระดาษจากทางใบปาล์มน้ำมันถูกนำมาขึ้นรูปเป็นบรรจุภัณฑ์เยื่อกระดาษขึ้นรูปด้วยวิธีการกดอัดและทดสอบความต้านทานแรงกดและเปรียบเทียบกับบรรจุภัณฑ์เยื่อกระดาษขึ้นรูปจากกระดาษรีไซเคิลและถาดโฟมพบว่า และเมื่อทดสอบด้วยวิธีการสั่นสะเทือน พบว่าผิวของบรรจุภัณฑ์เยื่อกระดาษขึ้นรูปจากทางใบปาล์มน้ำมันมีความแข็งกระด้าง ส่งผลให้แอปเปิ้ลเกิดรอยช้ำที่มีขนาดใหญ่กว่า 6.4 มิลลิเมตรถึง 88.89% ซึ่งจากผลการวิจัยนี้ แสดงให้เห็นว่าบรรจุภัณฑ์เยื่อกระดาษขึ้นรูปทางใบปาล์มน้ำมันเหมาะสมสำหรับการขนส่งผลิตภัณฑ์ที่ต้องการความคงรูปสูง หากต้องการขนส่งสินค้าทางการเกษตรที่มีผิวบาง อาจต้องมีการปรับปรุงคุณสมบัติด้วยสารเติมแต่งที่สามารถเพิ่มความฟ่ามให้กับเส้นใย เพื่อลดผลกระทบจากการกระแทกต่อไปจากการศึกษาผลของความดันที่ใช้ในกระบวนการแยกแล็กโทสจากสวีทเวย์ด้วยเครื่องอัลตราฟิลเตรชันโดยใช้เยื่อแผ่นที่มีค่าน้ำหนักโมเลกุลตัดออก 30 กิโลดาลตัน ต่อค่าเพอมิเอทฟลักซ์ ค่าการกักกันโปรตีน ค่าการกักกันแล็กโทส ปริมาณผลได้ของแล็กโทส และปริมาณการสูญเสียแล็กโทส โดยควบคุมความดันที่ 10, 15 และ 20 psi พบว่าเมื่อค่าแฟคเตอร์ความเข้มข้นเพิ่มขึ้นจาก 1 ถึง 4 ค่าเพอมิเอทฟลักซ์ที่ความดัน 20 psi มีค่ามากกว่าค่าเพอมิเอทฟลักซ์ที่ความดัน 15 และ 10 psi เมื่อค่าแฟคเตอร์ความเข้มข้นเพิ่มขึ้นจาก 4 ถึง 5 ค่าเพอมิเอทฟลักซ์ที่ความดัน 20 psi มีค่าต่ำกว่าค่าเพอมิเอทฟลักซ์ที่ความดัน 15 psi นอกจากนี้ยังพบว่าเมื่อใช้ความดัน 15 และ 20 psi ค่าการกักกันโปรตีน ค่าการกักกันแล็กโทส ปริมาณผลได้ของแล็กโทส และปริมาณการสูญเสียแล็กโทส ไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p>0.05) ดังนั้นความดันที่เหมาะสมในการแยกแล็กโทสด้วยเครื่องอัลตราฟิลเตรชัน คือ 15 psi เมื่อนำเพอมิเอทที่ได้จากกระบวนการอัลตราฟิลเตรชันไปทำแห้งแบบพ่นฝอยที่อุณหภูมิลมร้อนเข้า 2 ระดับคือ 160 และ 180 องศาเซลเซียส และอัตราการไหลของอากาศอัด 2 ระดับคือ 8 และ 11 กิโลกรัมต่อชั่วโมง แล็กโทสผงที่ได้นำไปวิเคราะห์ปริมาณความชื้น ปริมาณแล็กโทส ปริมาณโปรตีน ขนาดอนุภาค และค่าสี (ค่า L a และ b) ผลการทดลองที่ได้ พบว่า อุณหภูมิลมร้อนเข้าและค่าอัตราการไหลของอากาศอัดไม่ส่งผลต่อปริมาณความชื้น ปริมาณแล็กโทส ปริมาณโปรตีน ขนาดอนุภาค และค่า L ของแล็กโทสผง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p?0.05) ค่า a และ b เป็นปัจจัยที่ได้รับอิทธิพลจากอัตราการไหลของอากาศอัดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p?0.05) โดยแล็กโทสผงที่ได้มีค่า a มากขึ้น และค่า b ลดลง เมื่ออัตราการไหลของอากาศอัดเพิ่มขึ้น เมื่อนำส่วนของรีเทนเททที่ได้จากกระบวนการอัลตราฟิลเตรชันไปทำแห้งแบบพ่นฝอยที่อุณหภูมิลมร้อนเข้า 2 ระดับคือ 140 และ 160 องศาเซลเซียส และอัตราการไหลของอากาศอัด 2 ระดับคือ 8 และ 11 กิโลกรัมต่อชั่วโมง โปรตีนเวย์ผงที่ได้จากการทำแห้งแบบพ่นฝอยนำไปวิเคราะห์ปริมาณความชื้น ปริมาณแล็กโทส ปริมาณโปรตีน ขนาดอนุภาค และค่าสี (ค่า L a และ b) ผลการทดลองที่ได้ พบว่า อุณหภูมิลมร้อนเข้าและอัตราการไหลของอากาศอัดไม่มีผลต่อปริมาณความชื้น ปริมาณแล็กโทส และค่าสีอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p?0.05) อย่างไรก็ตามที่อัตราการไหลของอากาศอัดเท่ากับ 8 กิโลกรัมต่อชั่วโมง เมื่ออุณหภูมิลมร้อนเข้าเพิ่มขึ้นจาก 140 เป็น 160 องศาเซลเซียส ส่งผลให้ปริมาณโปรตีนลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p?0.05) นอกจากนี้ที่อุณหภูมิลมร้อนเข้า 140 องศาเซลเซียส เมื่ออัตราการไหลของอากาศอัดเพิ่มขึ้นจาก 8 เป็น 11 กิโลกรัมต่อชั่วโมง ส่งผลให้ปริมาณโปรตีนและขนาดอนุภาคของโปรตีนเวย์ผงลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p?0.05) งานวิจัยนี้มุ่งศึกษาการศึกษาคุณสมบัติการต้านออกซิเดชั่นและสารประกอบแอนโธไซยานินส์จากเปลือกองุ่น โดยศึกษาผลของชนิดตัวทำละลายที่ใช้ในการสกัด (น้ำ น้ำร้อน และ เอทานอลเข้มข้น 10%, 20%, 30%, 50% และ 80%) ต่อปริมาณสารประกอบฟีนอลลิก, ฟลาโวนอยด์ และแอนโธไซยานินและ คุณสมบัติการต้านออกซิเดชั่นจากเปลือกองุ่นอบแห้งที่เป็นวัสดุเศษเหลือจากอุตสาหกรรมผลิตไวน์ จากผลการทดลองพบว่าสารสกัดเปลือกองุ่นที่ใช้ 50% เอทานอลเป็นตัวทำละลายที่มีประสิทธิภาพในการสกัดสูงที่สุด (p?0.05) โดยมีปริมาณสารประกอบฟีนอลลิก 20.22?1.20 mg GAE /g DS (mg Gallic acid equivalents/g dry sample) ฟลาโวนอยด์ 9.22?0.67 mg CE/g DS (mg Catechin equivalents/g dry sample) และแอนโธไซยานิน 1.73?0.02 mg C-3-G/ g DS (mg Cyanidin-3-glucoside/g dry sample) เมื่อตรวจสอบสมบัติการต้านสารอนุมูลอิสระของสารสกัดจากเปลือกองุ่นโดยวิธีการ 2,2’-azobis (3-ethylbenzthiazoline-6-sulfonic acid) diammonium salt (ABTS) และ 2,2-Diphenyl-1-picryl hydrazyl (DPPH) พบว่าสารสกัดของ 50% เอทานอล มีสมบัติการต้านสารอนุมูลอิสระสูงที่สุด (p?0.05) เมื่อตรวจสอบแอนโธไซยานินส์ชนิดหลักโดยเทคนิค High Performance Liquid Chromatography (HPLC) จากผลการทดลองพบว่าแอนโธไซยานินส์ชนิดหลักเป็นอนุพันธุ์ของมัลวิดิน โดยมีปริมาณ 81.2 + 2.9 mg /100g ตัวอย่างแห้ง
บทคัดย่อ (EN): Soybean pulp are important source of protein in feed industry. It has non-competitive trypsin inhibition by obstructing protein hydrolysis of trypsin in gastrointestival tract and then animal can’t use soybean protein uncompletely. Hence, the study of lactic acid bacteria (LAB) was occurred in order to reduce trypsin inhibitors found in soybean pulp. LAB isolated from soybean pulp shown deactivating trypsin inhibitors was Lactobacillus fermentum SP10. Soybean pulp silage fermented by Lactobacillus fermentum SP10 at molasses 9 % w/v, inoculums 10 % w/w, and 37o C had pH 3.74, bacteria count 8.65?107 cfu/g and 10 % triypsin inhibitor reduction. For the study of LAB production from optimum 2 % w/w trehalose medium source. The use of yeast powder and molasses as nitrogen and carbon source in standard media for cultivated L. fermentum SP10 at 37o C, as well as also compare with enrichment media, MRS media. The effect of amount of yeast powder (0.5, 1.5 and 2.5% w/v): molasses (6, 8 and 10 % w/v) on bacterial growth were investigated. The results showed that L. fermentum SP10 cultivation with MRS provided the highest specific growth rate (?) of 0.2974 h-1 and the highest yield (Yx/s) of 2.26?1011 CFU/g.sugar was occurred. When compared with the used 0.5% w/v yeast powder and 8% w/v molasses provided the highest specific growth rate (?) of 0.0984 h-1 and the highest yield (Yx/s) of 9.20?109 CFU/g.sugar. The use of 0.5% w/v yeast powder and 8% w/v molasses provided the highest specific growth rate (?) 0.0522 h-1 and the highest yield (Yx/s) of 3.11?1010 CFU/g.sugar. The cultivated Lactobacillus fermentum SP10 was freeze dried with inlet and outlet temperature 120 and 70 ํC, respectively. At the trehalalose concentration 2 % w/w, the highest survival rate was 85.81 % from the cell concentration 2.86 x 109 cfu/g solid.Shrimp heads of P. vannamei were used as raw material. Shrimp heads consisted of 1.24% total nitrogen(TN) and 74.62% moisture with pH 7.16 and contained 2x10 4 cfu/g of bacteria that can digest chitin. The conditions for acid hydrolysis of shrimp head were selected which were citric and lactic acid 0.5 M with 0,6,12 hr incubation at 28-30? C. After acid hydrolysis for 6 hr 75 g of ground shrimp head were digested leaving only less than 20g residue. The extract of shrimp head consisted of TSS in the range of 4-5 g/100g shrimp head and 6-7 g/100g shrimp head for lactic and citric acid hydrolysis respectively. At 6 hr of acid hydrolysis the extract from both type of acids composed of TN 1.73-1.83 g/100g shrimp head and nonprotein nitrogen(NPN) 1.06-1.37 g/100g shrimp head. Only the treatment that used 0.1 M lactic acid has pH higher than 4.5 After addition of acid the amount of bacteria that can digest chitin were reduced largely. Glucosamine content was 0.009-0.013 mg/ml which is very low. The product that concentrate from acid hydrolysis extract showed strong shrimp odor and flavor . Peptides of 6-10 kDa were responsible for these good odor and flavor. The concentrated product packed in bottle and pasteurized (100? C 15 min) can be kept in refrigerator for some months. Unutilized agricultural wastes including oil palm empty fruit bunch, frond, and fiber were brought to use as packaging materials for molded pulp packaging for fresh fruit produce. The study showed that sulfate or kraft pulping process could eliminate more lignin content from oil palm empty fruit bunch than the frond. The investigaton on chemical composition showed that oil palm fiber was not suitable for pulping due to high ash and lignin contents. The pulps from empty fruit bunch and frond were later mixed with recycled paper in order to form papers. The papers from the frond exhibited the highest tensile resistance index, ring crush resistance index, and burst resistance index. Moreover, the mixture of frond pulp with recycled pulp indicated the improvement of paper strength. Molded pulp packaging from oil palm frond was produced by a hydraulic compression machine and then compared with a foam tray and a common packaging molded from recycled pulp. It was found that the molded-pulp tray from oil palm frond, stored under a standard condition (27 OC, 65% RH) and a simulated cool room (12?2 OC, 90?5% RH) was capable to enduring a compression load at 1894 and 1679 N, respectively. Finally, the vibration testing showed that the stiff surface of the oil palm frond tray resulted for 88.89% bruised apples. To this end, it can be concluded that molded pulp packaging using oil palm frond may rather satisfy to handle and transport rigid products. In addition, it should be pointed out that the property enhancemen can be done for the future research by using additives that develop the pulp bulkiness, in order to reduce effects that can be arisen from shocks during the application of transportation.The effects of transmembrane pressure on permeate flux, protein rejection, lactose rejection, lactose yield and loss of lactose for separation of lactose from sweet whey using ultrafiltration with 30 kDa molecular weight cut - off membrane were investigated. The transmembrane pressure was controlled at 10, 15 and 20 psi. It was found that when concentration factor (F) increased from 1 to 4, the permeate flux at 20 psi was higher than those at 15 and 10 psi. However, when concentration factor increased from 4 to 5, the permeate flux at 20 psi was smaller than that at 15 psi. In addition, the results showed that protein rejection, lactose rejection, lactose yield and loss of lactose at 15 and 20 psi were not significantly different (p?0.05). The transmembrane pressure of 15 psi was thus a proper ultrafiltration transmembrane pressure for separation of lactose from sweet whey. The ultrafiltration whey permeate was spray dried at two inlet air temperatures of 160 and 180 ?C and two compressed air flow rate of 8 and 11 kg/h. The obtained lactose powders were then evaluated for moisture content, lactose content, protein content particle, size and color (L, a, b values). The results showed that the inlet air temperature and compressered air flow rate have no significant (p?0.05) influence on moisture content, lactose content, protein content, particle size and L value of lactose powder. The parameters found to be significantly (p?0.05) affected by the compressed air flow rate were a and b values. Increasing of compressed air flow rate led to the increase of the a value but decrease of the b value. The spray drying of the ultrafiltration whey retentate was carried out at two inlet air temperatures of 140 and 160 ?C and two compressed air flow rate of 8 and 11 kg/h. Whey protein powder thus obtained after spray drying were determined for moisture content, lactose content, protein content, particle size and color (L, a, b values). It was observed that the moisture content, lactose content and color were not significantly affected by inlet air temperature and compressed air flow rate (p?0.05). However, increasing of inlet air temperature from 140?C to 160?C at compressed air flow rate of 8 kg/h caused significantly decreasing in protein content (p?0.05). Additionally, increasing of compressed air flow rate from 8 kg/h to 11 kg/h at inlet air temperature 140 ?C resulted in significant reductions of protein content and particle size of whey protein powders (p?0.05). The objective of this research was to study the antioxidant capacity and anthocyanin content of grape skins. Total phenolic, total flavonoid and total anthocyanin contents in grape peels extracted using different solvents (water, hot water, 10%, 20%, 30%, 50% and 80% ethanol) were investigated. The results showed that 50% ethanol had the highest efficiency in extracting total phenolics, total flavonoids and total anthocyanins from grape peels (p?0.05). In 50% extraction of grape peels consisted with total phenolics 20.22?1.20 mg GAE /g dry sample, total flavonoids 9.22?0.67 mg CE /g dry sample and total anthocyanins 1.73?0.02 mg C-3-G/ g dry sample. The result of antioxidant capacity of grape peels and seeds extract evaluated using 2,2’-azobis (3-ethylbenzthiazoline-6-sulfonic acid) diammonium salt (ABTS) and 2,2-Diphenyl -1-picryl hydrazyl (DPPH) assays also showed that 50% of ethanol extract grape peels and seeds also had the highest antioxidant capacity (p?0.05). HPLC analysis showed that the predominant anthocyanin in grape skin was malvidin derivative (81.2 + 2.9 mg /100g dry sample).
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เผยแพร่โดย: มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
คำสำคัญ: อุตสาหกรรมเกษตรขนาดย่อม
เจ้าของลิขสิทธิ์: สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
การใช้ประโยชน์วัสดุเศษเหลือจากอุตสาหกรรมเกษตรขนาดย่อม
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
30 กันยายน 2552
การใช้วัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรเพื่อการผลิตเห็ด การใช้ประโยชน์จากน้ำมันเหลือใช้จากอุตสาหกรรมแปรรูปมะพร้าว การใช้ประโยชน์วัสดุอินทรีย์เหลือทิ้งจากภาคเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรในเขตภาคตะวันตกของประเทศไทย แบบหล่อคอนกรีตจากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร การใช้ประโยชน์จากเศษเหลือของสับปะรดเป็นอาหารสัตว์ การผลิตและใช้เทคโนโลยีเอนไซม์เพื่อจัดการและเพิ่มมูลค่าของเหลือใช้จากอุตสาหกรรมเกษตร การใช้วัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรในการเลี้ยงโค-กระบือ การพัฒนาปุ๋ยอินทรีย์เคมีจากเศษเหลือขี้เถ้าของโรงไฟฟ้าชีวมวลและวัสดุเหลือใช้จากภาคเกษตร การใช้ประโยชน์จากเศษเหลือทิ้งของข้าวโพดฝักอ่อนจากโรงงานอุตสาหกรรมอาหารกระป๋อง การใช้ประโยชน์จากของเหลือในอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันเป็นอาหารแพะ
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก