| บทคัดย่อ: |
การศึกษาเพื่อวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตกล้วยเล็บมือนางในพื้นที่ภาคใต้ตอนบน มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจและศึกษาพื้นที่การกระจายพันธุ์ ลักษณะประจำพันธุ์ และรวบรวมพันธุ์ เพื่อการคัดเลือกพันธุ์ปลูกที่ดี และมีศักยภาพต่อการผลิตกล้วยเล็บมือนาง โดยศึกษาและพัฒนาเทคโนโลยีการการปลูกและการผลิต ตลอดจนการจัดการหลังการเก็บเกี่ยวเพื่อจำหน่ายสด แปรรูป และส่งออกกล้วยเล็บมือนางในพื้นที่ภาคใต้ตอนบน จากการศึกษาพบว่า การปลูกกล้วยเล็บมือนางที่ปลูกในภาคใต้ตอนบนส่วนใหญ่จะเป็นการปลูกแซมไม้ผล ยางพารา และปาล์มน้ำมัน เพื่อเสริมรายได้ เนื่องจากกล้วยเล็บมือนาง เป็นพืชที่ให้ผลผลิตยาวนานหลายปี สามารถแยกสายพันธุ์ตามลักษณะสีของกาบใบได้ 3 ลักษณะ คือ สายพันธุ์กาบใบสีเขียว พบทุกจังหวัดในภาคใต้ตอนบน กาบใบสีแดง พบมากที่จังหวัดชุมพรและ พังงา และกาบใบสีเขียวปนแดง พบมากที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ภูเก็ต พังงาและสุราษฎร์ธานี ส่วนลักษณะผล พบผลมีขนที่จังหวัดนครศรีธรรมราช และภูเก็ต ซึ่งเป็นลักษณะที่นิยมของตลาดในพื้นที่ เนื่องจากมีรสชาติหวาน เนื้อแน่น ส่วนผลไม่มีขนพบที่ทุกจังหวัดที่ทำการสำรวจ และเป็นที่นิยมของตลาดในพื้นที่จังหวัดชุมพร และสุราษฎร์ธานี
การทดลองเปรียบเทียบพันธุ์กล้วยเล็บมือนางในพื้นที่ภาคใต้ตอนบน จำนวน 21 สายพันธุ์ ได้แก่ กล้วยเล็บมือนางจากจังหวัดชุมพร 9 สายพันธุ์ สุราษฎร์ธานี 3 สายพันธุ์ นครศรีธรรมราช 4 สายพันธุ์ ภูเก็ต 2 สายพันธุ์ และ พังงา 3 สายพันธุ์ พบว่า กล้วยเล็บมือนางทั้ง 21 สายพันธุ์ มีการเจริญเติบโตด้านความสูง และเส้นรอบวงลำต้นเฉลี่ย 194.9 และ 39.1 เซนติเมตร อายุการเก็บเกี่ยวผลผลิตเฉลี่ย 56.1 วัน น้ำหนักเครือเฉลี่ย 4.0 กิโลกรัม จำนวนหวีต่อเครือเฉลี่ย 7.2 หวี น้ำหนักหวีเฉลี่ย 452.6 กรัม จำนวนผลต่อหวีเฉลี่ย 14.5 ผล น้ำหนักผลเฉลี่ย 26.8 กรัม ผลผลิตต่อไร่เฉลี่ย 6,326 กิโลกรัม ความหวานเฉลี่ย 25.7 บริกซ์ ความแน่นเนื้อเฉลี่ย 3.2 นิวตัน และสีผิวผลอยู่ในกลุ่ม Yellow Group 13A และ Yellow Group 13B โดยกล้วยเล็บมือนางรหัสชุมพร 8 มีการเจริญเติบโต และให้ผลผลิตสูงที่สุด อายุการเก็บเกี่ยวสั้น เหมาะสำหรับการแปรรูป หวีและผลมองดูน่ารับประทาน ส่วนนครศรีธรรมราช 1 เหมาะสำหรับทานสด เนื่องจากมีรสชาติหวาน เนื้อแน่น ผู้บริโภคนิยมรับประทาน
การศึกษาความสัมพันธ์ของระยะปลูกกับการไว้หน่อต่อการให้ผลผลิตกล้วยเล็บมือนางคุณภาพ เพื่อให้ทราบความสัมพันธ์ของระยะปลูกกับการไว้หน่อต่อการให้ผลผลิตกล้วยเล็บมือนางคุณภาพ และนำผลการศึกษามาปรับใช้กับแปลงปลูกกล้วยเล็บมือนางในแปลงเกษตรกร พบว่า กล้วยเล็บมือนางมีการเจริญเติบโตด้านความสูง และเส้นรอบวงลำต้น เฉลี่ย 165.90 และ 33.44 เซนติเมตร ส่วนผลผลิต พบว่า น้ำหนักเครือเฉลี่ย 3.72 กิโลกรัม จำนวนหวีต่อเครือเฉลี่ย 5.96 หวี น้ำหนักหวีเฉลี่ย 420.93 กรัม จำนวนผลต่อหวีเฉลี่ย 13.94 ผล น้ำหนักผลเฉลี่ย 24.41 กรัม ความหวานเฉลี่ย 25.73 Brix และสีผิวผลอยู่ในกลุ่ม Yellow Group 13B โดยการปลูกกล้วยเล็บมือนางที่ระยะ 2.0x2.0 เมตร ไว้หน่อ 3 หน่อ มีความสูง เส้นรอบวงลำต้น และผลผลิตสูงที่สุด
การศึกษาปริมาณการให้ปุ๋ยที่เหมาะสมต่อการผลิตกล้วยเล็บมือนาง พบว่าการผลิตกล้วยเล็บมือนางคุณภาพควรใส่ปุ๋ย N : P : K ต่างอัตราส่วนกันคือ การเจริญเติบปลูกใส่ปุ๋ยอัตรา 1 : 2 : 1.5 บังคับแทงปลี ใส่ปุ๋ยอัตรา 1 : 1 : 2 หลังติดผลใส่ปุ๋ยอัตรา 1.5 : 2 : 1 หรือ 1.5 : 1 : 1 หรือ 1.5 : 1 : 2 ซึ่งจากการทดลองนี้ไม่มีปฏิสัมพันธ์กันระหว่างไนโตรเจนและโปแตสเซียม
การทดสอบเทคโนโลยีการผลิตกล้วยเล็บมือนางแบบเกษตรกรมีส่วนร่วม พบว่า กล้วยเล็บมือนางมีการเจริญเติบโตทางลำต้น คือ ความสูง เส้นผ่านศูนย์กลาง และจำนวนใบเพิ่ม/เดือน ที่อายุ 8 เดือน ของหน่อที่ 1 และ 2 ของทั้ง 3 กรรมวิธี ไม่แตกต่างกันทางสถิติ ที่ระดับความเชื่อมั่น 95% โดยมีค่าเฉลี่ย 122.49 และ 163.43 เซนติเมตร 8.91 และ 11.86 เซนติเมตร และ 3.59 และ 2.92 ใบ/เดือน ตามลำดับ และการให้ผลผลิต คือ ความยาวเครือ จำนวนหวี/เครือ ของหน่อที่ 1 และ 2 ของทั้ง 3 กรรมวิธีไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติ ที่ระดับความเชื่อมั่น 95% มีค่าเฉลี่ย 49.06 เซนติเมตร 6.77 และ 6.78 หวี/เครือ ตามลำดับ ส่วนน้ำหนักเครือ พบว่า กรรมวิธีเกษตรกรและกรรมวิธีปรับปรุงของหน่อที่ 1 ( 2.35 กิโลกรัม ) มีน้ำหนักมากกว่ากรรมวิธีแนะนำ (2.21 กิโลกรัม) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับความเชื่อมั่น 95% แต่ของหน่อที่ 2 ของทั้ง 3 กรรมวิธีไม่มีความแตกต่างทางสถิติ ที่ระดับความเชื่อมั่น 95% มีค่าเฉลี่ย 2.32 กิโลกรัม และสำหรับต้นทุนในการผลิตตั้งแต่ปลูกถึงการเก็บเกี่ยวผลผลิตครั้งที่ 2 พบว่า กรรมวิธีเกษตรกรมีต้นทุนการผลิตต่ำที่สุด คือ 10,400 บาท ตามด้วยกรรมวิธีปรับปรุง คือ 14,900 บาท และกรรมวิธีแนะนำมีต้นทุนการผลิตสูงที่สุด คือ 21,700 บาท
การศึกษาวัสดุห่อเครือกล้วยต่อคุณภาพผลผลิตของกล้วยเล็บมือนาง พบว่า การห่อเครือด้วยถุงพลาสติกโพลีเอทธิลีนสีฟ้า และถุงผ้าขาวดิบ มีน้ำหนักเครือ จำนวนหวีต่อเครือ น้ำหนักหวี จำนวนผลต่อหวี และน้ำหนักผลไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติ คือ เฉลี่ยเท่ากับ 4.53 กิโลกรัม, 6.75 หวีต่อเครือ, 532.50 กรัม, 14.25 ผลต่อหวี และ 34.37 กรัม ตามลำดับ แต่จำนวนหวีต่อเครือ จำนวนผลต่อหวี และน้ำหนักผล มีความแตกต่างกันทางสถิติกับการไม่ห่อเครือ คือ 6.00 หวีต่อเครือ, 12.50 ผลต่อหวี และ28.75 กรัม ตามลำดับ ส่วนคุณภาพผลผลิต พบว่าการห่อเครือด้วยถุงพลาสติกโพลีเอทธิลีนสีฟ้า และถุงผ้าขาวดิบ มีความหวานไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติ คือ เฉลี่ยเท่ากับ 27.08 บริกซ์ แต่มีความแตกต่างกันทางสถิติกับการไม่ห่อเครือ คือ 23.83 บริกซ์ ความแน่นเนื้อพบว่าการห่อเครือด้วยถุงพลาสติกโพลีเอทธิลีนสีฟ้า ถุงผ้าขาวดิบ และ ไม่ห่อเครือไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติ คือ เฉลี่ยเท่ากับ 3.57 นิวตัน และการห่อเครือด้วยถุงพลาสติกโพลีเอทธิลีนสีฟ้า และถุงผ้าขาวดิบ มีสีผิวสุกอยู่ในกลุ่ม Yellow Group 13B ไม่พบการเข้าทำลายของโรคแมลง ส่วนการไม่ห่อมีสีผิวสุกอยู่ในกลุ่ม Yellow Group 12A และพบการเข้าทำลายของแมลงวันผลไม้ในผลสุก
การศึกษาวิธีการเก็บรักษากล้วยเล็บมือนางเพื่อการจำหน่ายผลสด พบว่า การเก็บรักษาในถุงพลาสติก PE หนา 25 ไมโครเมตร ร่วมกับด่างทับทิม 10% ของน้ำหนักผลผลิต ทั้งที่เก็บเกี่ยวที่อายุเครือ 56 วันหลังแทงปลี จะมีการเปลี่ยนแปลงคุณภาพภายนอก คือ สีผิวผลเป็นสี YG N144B ช้าที่สุด (วันที่ 15 หลังเก็บรักษา) และคุณภาพภายในมีการเปลี่ยนสีเนื้อเป็นสี YW 158C ในวันที่ 15 หลังเก็บรักษา) และมีค่าของแข็งที่ละลายน้ำได้ ที่ 16.60 องศาบริกซ์
การศึกษาสภาพการผลิตกล้วยเล็บมือนางในพื้นที่ภาคใต้ตอนบน เพื่อประเมินศักยภาพและโอกาสการผลิตในเชิงพาณิชย์โดยการสัมภาษณ์ข้อมูลตามแบบสำรวจ 5 จังหวัด คือ นครศรีธรรมราชชุมพร พังงา สุราษฎร์ธานี และภูเก็ต พบว่า เกษตรกรมีอายุเฉลี่ย 61, 61, 45, 55 และ 61 ปี ตามลำดับ จบการศึกษาชั้นประถมร้อยละ 83.33, 61.90, 71.42, 100.00 และ100.00 ตามลำดับ จังหวัดนครศรีธรรมราช มีรายได้ของครอบครัว/ปี 10,001-15,000 บาท ส่วนจังหวัดอื่นมีรายได้ของครอบครัว/ปี 20,001-25,000 บาท รายได้จากการผลิตกล้วยเล็บมือนาง 5,001-10,000 บาท เกษตรกรเป็นสมาชิกกลุ่มร้อยละ 64.59, 52.38, 57.14, 50.00 และ 50.00 ตามลำดับ โดยเกษตรกรใช้เงินทุนและพื้นถือครองของตนเอง พื้นที่ปลูกส่วนใหญ่เป็นที่ราบ สภาพดินร่วน ความเป็นกรด(pH) 6.25-6.96 ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยเท่ากับ 4,126.4, 2,197.5, 4,282.1, 1,978.8 และ 3,113.1 มิลลิเมตร อุณหภูมิเฉลี่ย 27.8, 26.6, 26.9, 27.8 และ26.6 องศาเซลเซียส ตามลำดับ การปลูกในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตใช้ระยะปลูก 4x4 เมตร ส่วนจังหวัดอื่นใช้ระยะปลูกไม่แน่นอน ไม่ใส่ปุ๋ยรองก้นหลุมร้อยละ75.00, 90.48, 100.00, 100.00 และ 100.00 ตามลำดับ เกษตรกรจังหวัดนครศรีธรรมราชใช้ปุ๋ยรองก้นหลุมสูตร 15-15-15 ส่วนชุมพรใช้มูลวัวและปุ๋ยสูตร 15-15-15 ใส่ปุ๋ยหลังปลูกร้อยละ 33.33, 100.00, 85.71, 100.00 และ100.00 โดยใช้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 ร้อยละ 43.75, 52.38, 66.66, 100.00 และ 100.00 ตามลำดับ ตัดแต่งหน่อเหลือ 3-4 ต้น/กอ ตัดปลีเมื่อผลบนหวีเริ่มสั้นและเล็กลง เก็บเกี่ยวหลังดอกบาน 7-8 สัปดาห์ ความแก่ 80 เปอร์เซ็นต์ เกษตรกรตัดส่งให้พ่อค้าคนกลางหรือบ่มขายเองในตลาดท้องถิ่น ต้นทุนการผลิตต่ำเนื่องจากปลูกแซมพืชชนิดอื่น โดยจังหวัดนครศรีธรรมราชมีต้นทุนเฉลี่ยต่ำที่สุด 3,050บาท/ไร่ รองลงมาคือจังหวัดชุมพร พังงา และสุราษฎร์ธานี 3,350, 3420 และ 3,520 บาท/ไร่ ภูเก็ต มีต้นทุนสูงที่สุด เท่ากับ 5,420 บาท/ไร่ จังหวัดภูเก็ตมีรายได้สุทธิเฉลี่ยสูงสุด 26,820 บาท /ไร่ รองลงมาคือจังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี และพังงา 23,770, 22,760 และ20,280 บาท/ไร่ จังหวัดนครศรีธรรมราช มีรายได้สุทธิเฉลี่ยต่ำที่สุด 20,170 บาท/ไร่ จังหวัดชุมพรมีค่า BCR สูงที่สุด 8.09 รองลงมาคือจังหวัดนครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี และพังงา 7.61, 7.46 และ 6.93 บาท/ไร่ จังหวัดภูเก็ต มีค่าBCRต่ำที่สุด เท่ากับ 5.94 |
| บทคัดย่อ (EN): |
The study on Research and Development on Production Technologies of Banana : Klaoy Leb Mue Nang in the Upper Southern. The objective of survey and study of the species, the characteristics of the variety and varieties. Selective breeding to cultivate better and has the potential to produce. The study and development of technology for planting and production. As well as post-harvest handling, processing and distribution for fresh and exporters of Banana : Klaoy Leb Mue Nang in the upper South. The results showed that the survey found that plantation features Banana : Klaoy Leb Mue Nang is grown in the south, the majority of bananas : Klaoy Leb Mue Nang are fruit trees, rubber and palm oil. To supplement income because Banana : Klaoy Leb Mue Nang the crops for many years. Species can be separated according to the color of the leaf has 3 different varieties of green leaf. Each province in the south, the two varieties of red leaf. Found at Chumphon and Phang Nga, a third species of leaf-green to red. Found at Nakhon Si Thammarat, Phuket, Phang Nga and Surat Thani. They also found that the varieties grown in the area, Nakhon Si Thammarat, Phangnga and Phuket will have hair as well. This is a great look as the popularity of the market since there are sweet dense than the hairless breeds. The hairless breeds results found Chumphon and Surat Thani.
An experiment comparison of banana clones CV. Leb Mu Nang in upper South of twenty one varieties : Chumphon 9 varieties, Surat Thani 3 varieties, Nakhon Si Thammarat 4 varieties, Phuket 2 varieties and Phangnga 3 varieties. This results showed that twenty one varieties of banana Leb Mu Nang had the average of high plant and circumference of plant 194.9 and 39.1 cm, respectively, the average of harvesting age of 56.1 days. All varieties had the average of bunch weight of 4.0 kg, number of hands per bunch of 7.2, hands weight of 452.6 g, number fruits per hands of 14.5, fruits weight of 26.8 g, average yield per rai 6,326 kg, total soluble solid of 25.7 brix, firmness of 3.2 N and peel color of the Yellow Group 13A and Yellow Group 13B. The banana Leb Mu Nang Chumphon 8 code had high growth and yield. It was short harvesting age, appropriate for processing and hands and fruits palatability. The banana Leb Mu Nang Nakhon Si Thammarat 1 code had appropriate for fresh eating because sweet, firmness and popularity of consumers.
The study on relationship between spacing and ratoons on quality yield of banana CV. Leb Mu Nang. The objective was study to the know on relationship between spacing and ratoons on quality yield of banana CV. Leb Mu Nang and experiment results was applied to farmers. The results showed that banana Leb Mu Nang had the average of high plant and circumference of plant 165.90 and 33.44 cm. respectively. That yield of banana Leb Mu Nang had the average of bunch weight of 3.72 kg, number of hands per bunch of 5.96, hands weight of 420.93 g, number fruits per hands of 13.94, fruits weight of 24.41 g, total soluble solid of 25.73 brix and peel color of the Yellow Group 13B. The banana Leb Mu Nang is grown spacing of 2.0x2.0 m. and three keeping suckers had highest circumference, high plant and yield.
The study on Optimum Fertilizer Rate for Leb Mu Nang Banana Production. Banana Leb Mu Nang production quality of education should fertilizer N: P: K ratio is different. Growing plant fertilizer ratio of 1: 2: 1.5 force inflorescence fertilizer application rate of 1: 1: 2 after fruit fertilizer application rate of 1.5: 2: 1 or 1.5: 1: 1 or 1.5: 1: 2 . This study found no interaction between nitrogen and potassium.
A study of the Banana production testing technology with a corporation farmers. The growth and development of 1st ratoon and 2nd ratoon is the height, stem diameter and leaf production rate results were recorded non-signification (P0.05) between in treatment had the average of plant 122.49 and 163.43 cm, 8.91 and 11.86 cm, 3.59 and 2.92 leaves/months respectively. The yield is the length bunches and the number comb/bunches of 1st ratoon and 2nd ratoon results were recorded non-signification (P0.05) between in treatment had the average of plant 49.06 cm, 6.77 and 6.78 comb/bunches respectively. The bunch weight of processed farmers and process improvement of 1st ratoon (2.35 kg/bunch) more weight than processed recommended GAP (2.21 kg/bunch) were signification (P0.05) but 2nd ratoon results were recorded non-signification (P0.05) between in treatment had the average of plant 2.32 kg. The cost of production from planting to harvest 2 nd results were production by processed farmers costs low is 10,400 baht, followed by process improvement is 14,900 baht and processed recommended GAP have the highest production costs is 21,700 baht.
The study on materials of bunch cover to quality of banana CV. Lab Mu Nang fruits. The results showed that materials of bunch cover by means of Blue Poly Ethylene bag and Calico bag none statistically significant difference of bunch weight, number of hands per bunch, hands weight, number fruits per hands and fruits weight had the average : 4.53 kg, 6.75, 532.50 g, 14.25 and 34.37 g, respectively. But statistically significant difference with bunch none-cover of number of hands per bunch, number fruits per hands and fruits weight had the average : 6.00, 12.50 and 28.75 g, respectively. The yield quality of materials of bunch cover by means of Blue Poly Ethylene bag and Calico bag had the total soluble solid none statistically significant difference had average of 27.08 brix, but statistically significant difference with bunch none-cover had average of 23.83 brix, the materials of bunch cover by means of Blue Poly Ethylene bag, Calico bag and bunch none-cover had firmness none statistically significant difference had average of 3.57 N, the materials of bunch cover by means of Blue Poly Ethylene bag, Calico bag had peel color of the Yellow Group 13B and None infestation of insects, but the bunch none-cover had peel color of the Yellow Group 12A and meet the infestation of fruit flies in fruit.
A study of the postharvest physiology relating to storage Banana for selling fresh. The results showed that banana : Klaoy Leb Mue Nang currently stocked in 25 PE bags + anti-fungal drugs + 10% potassium permanganate. There is a qualitative change is the external surface slowest has been 15 day after storage (color (YG N144B)), a qualitative change is the internal surface slowest has been 15 day after storage (color YW 158C)) and the soluble solids at 16.60 Brix.
The study of Banana CV. KluaiLeb Mu Nang production in the upper South of Thailand.To assess the potential and opportunities for commercial production. According to a survey by interviewing the five provinces of Nakhon Si Thammarat, Chumphon, Phang-Nga, SuratThani, and Phuket.Found that the average age of farmers are 61, 61, 45, 55, and 61 years old,respectively. Graduated from primary school 83.33 61.90 71.42 100 and 100 percentage, respectively.Nakhon Si Thammarat has family income per year 10,001-15,000 baht and others provinces have family income per year 20,001-25,000 baht. Earnings from Banana production 5,001-10,000 baht.Farmers membership 64.59 52.38 57.14 50 and 50 percentage, respectively.farmers use their own funds and holding ground.Planting area mostly flat. Loam soil. pH 6.25-6.96. Average rainfall 4126.4, 2197.5, 4282.1, 1978.8, and 3113.1 mm, respectively. Average temperature 27.8, 26.6, 26.9, 27.8, and 26.6 ? C, respectively.Planting in Phuket use 4x4 m spacing,however other province use uncertainty spacing.No fertilizer the hole 75, 90.48, 100, 100, and 100 percentage, respectively. Nakhon Si Thammarat ‘s farmers use 15-15-15 fertilizer the hole,howeverChumphon use cow manure and 15-15-15. Fertilizer after planting 33.33, 100, 85.71, 100, and 100 percentage, respectively by using 15-15-15 fertilizer 43.75, 52.38, 66.66, 100, and 100 percentage, respectively. Trimmed remaining 3-4 suckers/cluster.Cut banana blossom when fruits were short and smaller size.Harvested 7-8 weeks after anthesis with80 %maturity. Farmers sent the product to middleman or selling in local markets. Lower production costs due to planting with other crops.Nakhon Si Thammarat has lowest cost 3050 baht / rai, followed by Chumphon, Phang-Nga, and SuratThani 3350, 3420 and 3520 baht / rai. Phuket has highest costly 5,420 baht / rai.Phuket has highest net income 26820 baht / rai, followed by Chumphon, SuratThani and PhangNga, 23770, 22760 and 20280 baht / rai. Nakhon Si Thammarat has lowest net income 20170 baht / rai.Chumphon has highest BCR 8.09, followed by Nakhon Si Thammarat, SuratThani, and PhangNga 7.61, 7.46 and 6.93 baht / rai. Phuket has lowest BCR 5.94. |
