สืบค้นงานวิจัย
ผลของการดัดแปรสตาร์ชกล้วยด้วยวิธีรีโทรเกรเดชันต่อปริมาณสตาร์ชที่ทนต่อการย่อยด้วยเอนไซม์และสมบัติทางรีโอโลยี
สัญญา หกพุดซา - มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
ชื่อเรื่อง: ผลของการดัดแปรสตาร์ชกล้วยด้วยวิธีรีโทรเกรเดชันต่อปริมาณสตาร์ชที่ทนต่อการย่อยด้วยเอนไซม์และสมบัติทางรีโอโลยี
ชื่อเรื่อง (EN): The Effect of Retrogradation on Resistant Starch Content and Rheological Properties of Banana Starches
บทคัดย่อ: บทคัดย่อ สตาร์ชกล้วยนางพญาประกอบด้วยปริมาณอะไมโลสร้อยละ 17.09 มีโครงสร้างผลึกเป็นแบบ B (B-type) โดยมีปริมาณผลึกร้อยละ 30.47 มีอุณหภูมิเริ่มเกิดเจลาทิไน- -เซชันเท่ากับ 72.70oC และมีปริมาณสตาร์ชที่ทนต่อการย่อยด้วยเอนไซม์ในระดับสูงคือร้อยละ 60.16รูปร่างของเม็ดสตาร์ชกล้วยนางพญามีความหลากหลาย ซึ่งมีขนาดอนุภาคเฉลี่ย 25.04 ไมโครเมตร ได้ทำการดัดแปรสตาร์ชกล้วยนางพญาด้วยวิธีการเกิดรีโทรเกรเดชันที่อุณหภูมิ 4oC ที่ช่วงระยะเวลาการเก็บรักษา 1 – 15 วัน จากผลการศึกษาการดัดแปรสตาร์ชกล้วยนางพญาด้วยวิธี รีโทรเกรเดชัน ซึ่งสตาร์ชกล้วยก่อนการดัดแปรได้ผ่านการตัดสายกิ่งของอะมิโลเพคตินด้วยเอ็นไซม์ pullulanase ที่ระดับร้อยละ 77.09 พบว่าลักษณะทางโครงสร้างและคุณสมบัติเชิงหน้าที่ของสตาร์ชกล้วยนางพญาที่ผ่านการดัดแปรขึ้นอยู่กับระยะเวลาในการเก็บรักษาขณะเกิดรีโทรเกรเดชัน โดยพบว่าเมื่อระยะเวลาการเก็บรักษาเพิ่มขึ้นจาก 1 วัน เป็น 15 วัน รูปแบบโครงสร้างผลึกมีการพัฒนาจากความเป็นผลึกที่ไม่สมบูรณ์จนมีรูปแบบโครงสร้างผลึกแบบ B และพบว่าปริมาณผลึก สัดส่วนของโมเลกุลที่จัดเรียงตัวแบบเกลียวคุ่ต่อส่วนอสัณฐาน และพลังงานที่ใช้ในการเกิดเจลาติไนเซชัน (?H) มีค่าเพิ่มขึ้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าโครงสร้างของสตาร์ชกล้วยมีความแข็งแรงเพิ่มขึ้นเมื่อระยะเวลาการเก็บรักษานานขึ้น โดยส่งผลให้ความหนืดและสัมประสิทธิ์ความคงตัวของสตาร์ชเพสท์มีค่าลดลง ความแข็งแรงของเจลสตาร์ช (ค่า G' และ Go) มีค่าเพิ่มขึ้น นอกจากนั้นพบว่าการดัดแปรสตาร์ชกล้วยด้วยวิธีรีโทรเกรเดชันที่ระยะเวลาการเก็บรักษา 13 วันเป็นต้นไป ส่งผลให้ความสามารถในการถูกย่อยด้วยเอนไซม์มีค่าลดลง ขณะที่ปริมาณสตาร์ชที่ทนต่อการย่อยด้วยเอนไซม์มีค่าเพิ่มขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับสตาร์ชกล้วยก่อนการดัดแปร และพบว่าปริมาณสตาร์ชที่ทนต่อการย่อยด้วยเอนไซม์มีค่าสูงสุดเท่ากับร้อยละ 71.05 ที่ระยะเวลาการเก็บรักษา 15 วัน
บทคัดย่อ (EN): Nang paya banana starch consisted of 17.09% amylose content, which was found in B-type crystalline pattern with 30.47% crystallinity and its initial gelatinization temperature (To) was 72.60 oC. The resistant starch content of Nang paya banana starch was very high (60.16%). The granules of Nang paya banana starch occurred in different shapes with average granular size of 25.04 ?m. Nang paya banana starch was modified by retrogradation at 4oC with different storage times (1-15 days). The effect of retrogradation on structure and functional properties of Nang paya banana starch was investigated. The banana starch was debranched with pullulanase at the degree of debranching of 77.09% before retrogradation. Changes in structure and functional properties of retrograded banana starch (RBS) were found depending on storage times during starch retrogradation. An increase in storage time from 1 day to 15 days, the structure developed close to B-type crystalline pattern. In addition, the crystallinity, ratio of short-range molecular order to amorphous and the enthalpy of gelatinization (?H) increased with increasing storage times. This indicated that the strength of RBS structure was increased. Increasing the strength of RBS structure caused to decrease viscosity and consistency coefficient of starch paste and increase gel strength ( and Go) of starch. Furthermore, the susceptibility towards hydrolysis by acid and alpha–amylase enzyme of retrograded banana starch at storage time ? 13 days decreased, while resistant starch content increased comparing with native banana starch. The highest value of resistant starch content is 71.05% at 15 days of storage time.
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เผยแพร่โดย: มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
คำสำคัญ: สมบัติทางรีโอโลยี
เจ้าของลิขสิทธิ์: สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
ผลของการดัดแปรสตาร์ชกล้วยด้วยวิธีรีโทรเกรเดชันต่อปริมาณสตาร์ชที่ทนต่อการย่อยด้วยเอนไซม์และสมบัติทางรีโอโลยี
มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
30 กันยายน 2552
การชักนำให้เกิดแคลลัสในกล้วย ปริมาณสตาร์ชรีซิสแทนด์ (resistant starch) และอัตราการย่อยของอาหารที่มีส่วนประกอบสตาร์ชเป็นหลัก ผลของการแช่เยือกแข็งยิ่งยวดต่อการเปลี่ยนแปลงสมบัติของสตาร์ชมันสำปะหลัง เทคโนโลยีการผลิตและการแปรรูปกล้วยเพื่อการค้า การโคลนยีนไฟเตสทนร้อนจากแอคติโนไมซีท Thermomonospora sp. RC7 เพื่อพัฒนาการผลิตเอนไซม์ไฟเตสทดแทนการนำเข้าจากต่างประเทศ การผลิตเอทธานอลจากวัสดุเหลือทิ้งจากกล้วย การศึกษาลักษณะทางกายภาพ การเจริญเติบโต ผลผลิตและคุณภาพของกล้วยน้ำว้า ประสิทธิภาพการย่อยวัตถุดิบอาหารต่างชนิดกันของปลาช่อนทะเล(Rachycentron canadum Linnaeus,1766) การผลิตฟิล์มแป้งข้าวแบบยืดหยุ่นโดยใช้เทคนิคการเกิดรีโทรเกรเดชัน กินกล้วยเพื่อสุขภาพกันเถอะ
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก